Skip to main content

"การศึกษา" ต้องการพื้นที่ลักษณะใดลักษณะหนึ่ง เมื่อความรู้เปลี่ยนแปลงไป เมื่อการเรียนรู้ไม่ได้อยู่ในอำนาจของสถาบันการศึกษาเพียงเท่านั้น พื้นที่การเรียนรู้ก็ย่อมจะต้องเปลี่ยนไปด้วย แต่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลกการเรียนรู้ ยังมีคนบางกลุ่มดื้อรั้นขัดขวางการเปลี่ยนแปลง

 
การศึกษาในยุคของสถาบันการศึกษาสร้างขอบเขตของการเรียนรู้ให้จำกัดขีดวงอยู่ในกรอบของความสัมพันธ์เชิงอำนาจ แจ็ค กูดี้ (Jack Goody) นักมานุษยวิทยาผู้ใคร่ครวญและศึกษาเปรียบเทียบระบบการศึกษาทั่วโลกหลายยุคหลายสมัยเสนอว่า การศึกษาสมัยก่อนนั้นอาศัยเครื่องมือสื่อสารแบบมุขปาฐะ ปากต่อปาก จึงอยู่ในขอบเขตของความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน ความรู้จึงจำกัดพื้นที่ เพราะหากไม่ไปพบผู้สอน ณ ที่ใดที่หนึ่ง ก็จะไม่ได้ความรู้ ระบบการศึกษาแบบนี้จึงอยู่ในกรอบของ "ครู-ศิษย์" ที่ความรู้ของของครูยากที่จะถูกท้าทาย เนื่องจากระบบอาวุโส และพิธีกรรมของระบบอาวุโส ปิดกั้นการแลกเปลี่ยนความเห็นอย่างตรงไปตรงมาระหว่างครูกับศิษย์ 
 
หากแต่ด้วยอักษร หนังสือ และการแพร่ขยายของการพิมพ์ ความรู้ไม่ได้จำกัดอยู่ในพื้นที่กรอบห้องเรียนหรือสถาบันการศึกษาอีกต่อไป แม้ว่าสถาบันการศึกษายังมีอยู่ แต่หนังสือแพร่ความรู้ไปทั่ว หนังสือทำให้ผู้เรียนไม่ต้องเกรงกลัวครูบาอาจารย์ แม้ว่าบางสังคม อย่างสังคมไทย ยังพยายามสืบทอดความคิดเกี่ยวกับหนังสือแบบเก่า ที่ให้เรากราบ เคารพหนังสือประดุจครูบาอาจารย์ แต่นั่นก็ไม่สามารถปิดกั้นโอกาสที่ผู้อ่านจะถกเถียงกับผู้เขียนในกระบวนการของการเรียนรู้ คือการอ่าน ได้ง่ายๆ แบบเดิมอีกต่อไป 
 
แม้ว่าแจ็ค กูดี้จะเข้าใจอะไรผิดๆ บ้างในรายละเอียด แต่ข้อสังเกตของเขาก็ช่วยให้เข้าใจการเปลี่ยนระบบการเรียนรู้ จากยุคสมัยที่หนังสือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่มีเพียงคนหยิบมือสามารถอ่าน เขียน และครอบครองได้ ไปสู่ยุคที่การศึกษาของมวลชน (mass education) ทำให้หนังสือที่มีอยู่ดาดดื่น ถูกเข้าถึง ถูกอ่าน ถูกแจกจ่ายซื้อขายแลกเปลี่ยนกันไปทั่ว ได้เป็นอย่างดี
 
แม้กระนั้น พื้นที่ของการพบปะ แลกเปลี่ยนความรู้แบบมุขปาฐะก็ยังคงมีบทบาทสำคัญ เนื่องจากการสนทนายังคงเป็นรูปแบบการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ หากแต่รูปแบบโครงครอบอำนาจของการสนทนาย่อมต้องเปลี่ยนไป การศึกษาปัจจุบันจึงพยายามส่งเสริมการเรียนรู้แบบ "สัมมนา" และการจัด "เสวนา" ที่ผู้เรียนสามารถแลกเปลี่ยนความเห็นกันเองและกับผู้นำการสอน มากกว่าจะเป็นการ "บรรยาย" และ "ปาฐกถา" ที่ผู้สอนยังคงอำนาจของการครอบครองความรู้และการถ่ายทอดความรู้อยู่อย่างเต็มเปี่ยม การศึกษาแบบปากต่อปากในปัจจุบันจึงลดทอนอำนาจครอบงำของครูลงไปมากแล้ว
 
ในประเทศไทยปัจจุบัน ผมเห็นพื้นที่อยู่ 2 แห่ง ที่แสดงบทบาทโดดเด่นในการสร้างพื้นที่การเรียนรู้นอกห้องเรียนแบบสัมมนา เสวนา กระทั่งสนทนา และลงมือทดลอง ปฏิบัติการ สร้างกิจกรรม นั่นคือร้านบุ๊ค รีพับบลิค (Book Re:public) และห้องสมุดเดอะ รี้ดดิ้ง รูม (The Reading Room) บุ๊ครีพับบลิคเป็นร้านหนังสือที่เชียงใหม่ แต่จัดกิจกรรมเสวนาแลกเปลี่ยนความเห็นมากมาย จนผมมักจะคิดว่าเป็นห้องสมุด ส่วนเดอะรี้ดดิ้งรูมเป็นห้องสมุดด้านศิลปะ ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ เป็นสถานที่ส่วนบุคคลที่เปิดให้คนทั่วไปเข้าไปอ่านไปใช้ได้ จนผมมักจะคิดว่าเป็นร้านหนังสือ
 
ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้หรือในปัจจุบันนี้จะไม่มีร้านหนังสือหรือห้องสมุดที่ทำบทบาทนี้ เพียงแต่ ณ เวลานี้ สองแห่งนี้โดดเด่นที่สุดด้วยการสร้างกิจกรรมการเรียนรู้ในแบบที่สามารถดึงดูดให้คนรุ่นใหม่ คนทำงานที่ยังมีเวลาของตัวเอง ครอบครัวแบบใหม่ที่ไม่ใช้เวลากับการเดินห้างสรรพสินค้า มาเข้าร่วมกิจกรรมได้อย่างต่อเนื่อง 
 
ทั้งสองแห่งจับประเด็นเฉพาะหน้า ร่วมสมัย คุยกันเรื่องเท่ๆ ในบรรยากาศสบายๆ ถึงขนาดนั่งๆ นอนๆ เอกเขนกราวกับนั่งคุยกันที่บ้าน ทั้งสองแห่งได้รับทุนสนับสนุนให้จัดกิจกรรมจากแหล่งทุนต่างๆ จึงสามารถส่งเทียบเชิญผู้นำการเรียนรู้มาได้จากทั่วสารทิศในสยาม ทั้งสองแห่งเผยแพร่ความรู้ออกไปในวงกว้างกว่าห้องสนทนา ไปสู่โลกกว้าง ด้วยการบันทึกการสนทนา บันทึกบทเรียน อัพโหลดขึ้นยูทูป ให้คนเข้าถึงได้ทั่วโลก
 

หากจะไปให้ไกลจนสุดขอบของพื้นที่การศึกษา โลกอินเทอร์เน็ตสร้างพื้นที่ใหม่ที่ท้าทายขอบเขตของอำนาจการเรียนรู้อย่างใหญ่หลวง กระทั่งว่าหากผู้มีอำนาจ "เล่นเน็ต" อย่างจริงจังและกล้าพอที่จะรับรู้ความเป็นไปอย่างแท้จริงของสังคม ก็จะรู้ว่าโลกแบบเดิมๆ ที่มีคนกราบกรานแห่แหนนั้น มันได้ปลาสนาไปนานแล้ว ในแง่นี้ พื้นที่สองแห่งนั้นได้สร้างความเชื่อมต่อ ระหว่างโลกของการสนทนาปากต่อปาก ไปสู่การศึกษาที่แทบจะไร้ขอบเขตในอินเทอร์เน็ต

ถามว่ามีห้องเรียนหรือสถาบันการศึกษาใดในประเทศนี้ทำได้ใกล้เคียงกับที่สถานที่ 2 แห่งนี้ทำได้บ้าง ถามว่าการเรียนรู้ในลักษณะนี้เป็นการศึกษาที่สร้างคนให้คิดเป็น ให้ถกเถียงได้ ให้ตอบโจทย์สังคมปัจจุบัน ตอบโจทย์ชีวิตร่วมสมัยได้ใช่หรือไม่ ถามว่าสถานที่ทั้งสองแห่งนี้จัดกิจกรรมอย่างเปิดเผย ให้สาธารณชนรับรู้ ให้เจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบว่าอยู่ในกรอบของกฎหมายไม่ใช่หรือ แล้วทำไมต้องกลัวด้วย
 
ในบรรยากาศที่ผู้บริหารสถาบันการศึกษาในปัจจุบันมุ่งแต่จะ "เก็บแต้ม" ทำคะแนนประกันปริมาณในนามที่ตั้งขึ้นเพื่อหลอกตัวเองว่าเป็นการประกันคุณภาพ ต้องตอบโจทย์ให้ได้ว่า ปีนี้สถาบันตนเองทำรายได้ได้เท่าไหร่ จะเลี้ยงตัวเองได้หรือไม่ จะถูกตัดงบประมาณหรือไม่ 
 
ในบรรยากาศที่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยบางแห่งเห็นการออกนอกระบบเป็นความก้าวหน้า แต่ยังอธิบายให้นักศึกษาของตนเองเข้าใจไม่ได้ว่า การทำงานมานาน 25 ปี แสดงว่าตนเองรักสถาบันนั้นมากกว่านักศึกษาที่เรียนอยู่ 4 ปีแต่เป็นห่วงทิศทางการศึกษาของการออกนอกระบบมากกว่าผู้บริหารได้อย่างไร 
 
ในบรรยากาศที่ผู้ปฏิบัติงานในสถาบันการศึกษาถูกอุดมการณ์ "ครู" ครอบงำไม่ให้เรียกร้องสวัสดิการและค่าแรง ในบรรยากาศที่นักศึกษามหาวิทยาลัยเข้าห้องเรียนเพื่อแช็ทไลน์ เล่น BB ถ่ายรูป อัพรูปถ่ายในห้องเรียน แล้วรับปริญญาเมื่อเก็บหน่วยกิตครบ 
 
ในบรรยากาศแบบนี้ บุ๊ครีพับบลิคและเดอะรี้ดดิ้งรูมสร้างห้องเรียนที่เปิดให้คนสมัครใจเข้ามาไขว่คว้าความรู้เอง มาเจ็บสมองเอง มานั่งหลังขดหลังแข็งเองเป็นชั่วโมงๆ บุ๊ครีพับบลิคและเดอะรี้ดดิ้งรูมสร้างการเรียนรู้ที่เข้าใกล้การศึกษาในอุดมคติมากกว่ามหาวิทยาลัย 
 
แล้วถามว่าทำไมใครบางกลุ่มที่ระแวงสงสัยในกิจกรรมของสถานที่ทั้งสองแห่งนี้จึงไม่ลองเข้าร่วมกิจกรรม แล้วแลกเปลี่ยนกับวิทยากรและผู้เข้าร่วมกิจกรรมด้วยเหตุด้วยผลบ้าง ไม่ใช่เอาแต่อาศัยระบบอำนาจนิยม เอาแต่เที่ยวด่าว่าลับหลัง หรือโทรศัพท์ ส่งจดหมายมาคุกคาม
 
ด้วยบทบาทดังกล่าวของบุ๊ครีพับบลิคและรีดดิ้งรูม ผมว่าใครก็ตามที่หาเหตุบีบคั้น ใส่ร้ายป้ายสี ตัดสินคนอื่นบนอคติของรสนิยมทางการเมืองตนเอง จะไม่สามารถทัดทานพลังการศึกษาของห้องเรียนทั้งสองนี้ได้ เพราะห้องเรียนทั้งสองตอบโจทย์การศึกษาที่ ถ้ามหาวิทยาลัยและโรงเรียนจะยังไม่ถึงกับไร้น้ำยาไปโดยสิ้นเชิง ก็นับวันจะยิ่งไม่สามารถทำบทบาทให้การศึกษาได้ดีโดยลำพังอีกต่อไป

 

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
วันนี้เป็นวันระลึก "เหตุการณ์ 28 กุมภาพันธ์" 1947 หรือเรียกกันว่า "228 Incident" เหตุสังหารหมู่ประชาชนทั่วประเทศไต้หวัน โดยรัฐบาลที่เจียงไคเชกบังคับบัญชาในฐานะผู้นำก๊กมินตั๋งในจีนแผ่นดินใหญ่
ยุกติ มุกดาวิจิตร
มีเพื่อนขอให้ผมช่วยแนะนำร้านอาหารในฮานอยให้ แต่เห็นว่าเขาจะไปช่วงสั้นๆ ก็เลยแนะนำไปไม่กี่แห่ง ส่วนร้านเฝอ ขอแยกแนะนำต่างหาก เพราะร้านอร่อยๆ มีมากมาย เอาเฉพาะที่ผมคุ้นๆ แค่ 2-3 วันน่ะก็เสียเวลาตระเวนกินจนไม่ต้องไปกินอย่างอื่นแล้ว
ยุกติ มุกดาวิจิตร
มีวันหนึ่ง อาจารย์อคินเดินคุยอยู่กับอาจารย์ที่ผมเคารพรักท่านหนึ่ง ผมเดินตามทั้งสองท่านมาข้างหลังอย่างที่ทั้งสองท่านรู้ตัวดี ตอนนั้นผมกำลังเรียนปริญญาเอกที่อเมริกา หรือไม่ก็เรียนจบกลับมาแล้วนี่แหละ อาจารย์อคินไม่รู้จักผม หรือรู้จักแต่ชื่อแต่ไม่เคยเห็นหน้า หรือไม่ก็จำหน้าไม่ได้ ผมแอบได้ยินอาจารย์อคินเปรยกับอาจารย์อีกท่านว่า
ยุกติ มุกดาวิจิตร
คืนวาน วันฮาโลวีน นักศึกษาชวนผมไปพูดเรื่องผี ปกติผมไม่อยู่รังสิตจนมืดค่ำ แต่ก็มักใจอ่อนหากนักศึกษาชวนให้ร่วมเสวนา พวกเขาจัดงานกึ่งรื่นเริงกึ่งเรียนรู้ (น่าจะเรียกว่าเริงรู้ หรือรื่นเรียนก็คงได้) ในคืนวันผีฝรั่ง ในที่ซึ่งเหมาะแก่การจัดคือพิพิธภัณฑ์มานุษยวิทยา เพราะมีของเก่าเยอะ ก็ต้องมีผีแน่นอน ผมก็เลยคิดว่าน่าสนุกเหมือนกัน 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมไม่ถึงกับต่อต้านกิจกรรมเชียร์อย่างรุนแรง เพราะคนสำคัญใกล้ตัวผมก็เป็นอดีตเชียร์ลีดเดอร์งานบอลประเพณีฯ ด้วยคนหนึ่ง และเพราะอย่างนั้น ผมจึงพบด้วยตนเองจากคนใกล้ตัวว่า คนคนหนึ่งกับช่วงชีวิตช่วงหนึ่งของมหาวิทยาลัยมันเป็นเพียงแค่ส่วนเสี้ยวหนึ่งของพัฒนาการของแต่ละคน แต่ก็ยังอยากบ่นเรื่องการเชียร์อยู่ดี เพราะความเข้มข้นของกิจกรรมในปัจจุบันแตกต่างอย่างยิ่งจากในสมัยของผม
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมเพิ่งไปเก็บข้อมูลวิจัยเรื่องการรู้หนังสือแบบดั้งเดิมของ "ลาวโซ่ง" ในไทยที่อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ได้ราว 2 วัน ได้ข้อมูลมากมายเกี่ยวกับประเด็นที่สนใจ แต่ก็ได้อย่างอื่นมาด้วยไม่น้อยเช่นกัน เรื่องหนึ่งคือความรู้เกี่ยวกับปลา
ยุกติ มุกดาวิจิตร
วันก่อนปฐมนิเทศนักศึกษาปริญญาโท-เอกของคณะ ในฐานะคนดูแลหลักสูตรบัณฑิตศึกษาทางมานุษยวิทยา ผมเตรียมหัวข้อมาพูดให้นักศึกษาฟัง 4 หัวข้อใหญ่
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ชื่อโมเฮน-โจ-ดาโรแปลตามภาษาซินธ์ (Sindh) ว่า "เนิน (ดาโร) แห่ง (โจ) ความตาย (โมเฮน)" เหตุใดจึงมีชื่อนี้ ผมก็ยังไม่ได้สอบถามค้นคว้าจริงจัง แต่ชื่อนี้ติดหูผมมาตั้งแต่เรียนปริญญาเอกอยู่ที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน และเพราะโมเฮนโจดาโรและเมืองคู่แฝดที่ห่างไกลออกไปถึง 600 กิโลเมตรชื่อ "ฮารัปปา" นี่แหละที่ทำให้ผมชอบวิชาโบราณคดีและทำให้อยากมาปากีสถาน 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ก่อนมา รู้อยู่แล้วว่าปากีสถานช่วงเดือนนี้คือเดือนที่ร้อนมาก และก็เพิ่งรู้ว่าเดือนนี้แหละที่ร้อนที่สุด แต่ที่ทำให้ “ใจชื้น” (แปลกนะ เรามีคำนี้ที่แปลว่าสบายใจ โดยเปรียบกับอากาศ แต่ที่ปากีสถาาน เขาคงไม่มีคำแบบนี้) คือ ความร้อนที่นี่เป็นร้อนแห้ง ไม่ชื้น และจึงน่าจะทนได้มากกว่า 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ครึ่งวันที่ผมมีประสบการณ์ตรงในกระบวนการยุติธรรมไทย บอกอะไรเกี่ยวกับสังคมไทยมากมาย
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมลองเอากรณีทุบรถกับทุบลิฟมาเปรียบเทียบกัน แล้วก็เห็นความแตกต่างกันมากหลายมุม ได้เห็นความเหลื่อมล้ำของสังคมที่สนใจกรณีทั้งสองอย่างไม่สมดุลกัน แต่สุดท้ายมันบอกอะไรเรื่องเดียวกัน คือความบกพร่องของสถาบันจัดการความขัดแย้งของประเทศไทย 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
คนรุ่นใหม่ครับ...