Skip to main content

 

วันวาเลนไทน์ในแบบที่เข้าใจกันทุกวันนี้ กลายเป็นทั้งวัฒนธรรมโลกและวัฒนธรรมท้องถิ่น ที่ผ่านมาผมก็ไม่เคยคิดกับมันหรอก แต่เมื่อคุณคำ ผกาชวนไปพูดคุยเรื่ิงความรักในรายการดีว่าส์ คาเฟ่ เมื่อวันที่ 14 กพ. ผมก็ตอบตกลงอย่างไม่ลังเล ก็มันน่าตื่นเต้นน้อยเสียเมื่อไหร่ ที่จะได้ออกรายการสดกับสามสาวแสนฉลาดและรวยเสน่ห์ แต่จากที่เขาชวนคุยเรื่องรักใคร่ ไปๆ มาๆ ก็กลับวกไปกลายเป็นเรื่องรัฐเร่่ืองไพร่เสียได้ 

 
ขอเอาร่างความคิดที่เตรียมเพืื่อไปพูดในรายการ มาเรียบเรียงแบบไม่ตกแต่งมาก แต่ก็อยากให้ได้เนื้อหนัง แถมมีอ้างอิง ไม่ได้เพื่อให้ดูหรู แต่เพื่อให้ผู้ใฝ่รู้ นำไปค้นคว้าสอบทานต่อ
 
(1) รักเอยจริงหรือที่ว่าหวาน
 
ความรักคือการผูกสัมพันธ์กับผู้อื่น เพราะผู้อื่นมีหลายแบบ ความรักจึงมีหลายแบบ และเพราะความรักมีหลายแบบ ตัวตนของเราที่รักใครแต่ละคนจึงมีหลายแบบ แต่มีความรักบางแบบเท่านั้นที่ถูกยกย่องเชิดชู

มีคนแบ่งความรักออกเป็น 4 แบบ หนึ่ง affection รักแบบเอ็นดู เมตตา เช่น ความรักในครอบครัว รักสัตว์ สอง friendship รักแบบเพื่อน สาม eros รักแบบมีราคะ มีตัณหา มีความใคร่ สี่ charity รักแบบอุทิศตน เสียสละเพื่อผู้อื่น (ดูบทนำของ Ryang 2006)
 
แต่ละแบบของความรัก มักอ้างความสำคัญสูงสุดความศักดิ์สิทธิ์ของความรักแบบตน เช่น พ่อแม่บอกไม่มีความรักใดบริสุทธิ์เท่ารักของพ่อแม่ เพื่อนบอกตายแทนกันได้ หนุ่มสาวบอกรักจนจะกลืนกินกันได้ นักบุญบอกรักเพื่อนมนุษย์โดยไม่หวังอะไรคือรักที่ยิ่งใหญ่
 
(2) รักซ้อนซ่อนรัก
 
นอกจากรักแต่ละแบบยังแข่งกันแล้ว บางทีความรักชนิดหนึ่ง ถูกซ่อนไว้ใต้รูปแบบความรักชนิดอื่น  
 
เช่นว่า รัฐสมัยใหม่ใช้ความรักในการปกครอง ความรักเป็นเทคโนโลยีแห่งอำนาจของรัฐ รัฐทำให้เรารักรัฐ แต่อาจไม่ได้ใช้ความรักในรูปแบบของรักชาติ รักประชาชนโดยตรง แต่เป็นความรักที่แฝงในรูปแบบความรักแบบอื่นๆ 
 
ยกตัวอย่างเช่น แทนที่จะให้รักชาติ รักเพื่อนร่วมชาติ แต่ให้รักประมุขของชาติแทน แล้วทำให้ประมุขของชาติและคนในชาติจินตนาการว่าอยู่ในครอบครัว สร้างความรักของชาติในนามความรักครอบครัว ทำให้ทุกคนอยู่ในครัวเรือนเดียวกัน วิธีนี้ช่วยให้ความสัมพันธ์ในสังคมขนาดใหญ่ ถูกลดทอนลงเหลือเพียงความสัมพันธ์ในครอบครัว นำวาทกรรมครอบครัวบดบังความรับผิดชอบทางการเมืองได้เหมือนกัน
 
ในญี่ปุ่นช่วงสงครามโลก หนุ่มสาวญี่ปุ่นเคยถูกเรียกร้องให้รักกันเพื่อผลิตลูกให้พ่อของพวกเขา คือองค์จักรพรรดิ ความรักในลักษณะนี้ถูกส่งผ่านมาในสมัยต่อมา มีการโปรโมทเรื่องความรักอันบริสุทธิ์ระหว่างหนุ่มสาว เน้นพรหมจรรย์ของเด็กสาวที่ได้รับการศึกษา ทั้งหมดนี้เพื่อทำให้ประชาชนเข้าใจว่า หนุ่มสาวรักกันด้วยตนเอง แต่ถึงที่สุดแล้วคือเพื่อประเทศชาติ จนกระทั่งหนุ่งสาวแต่งงานมีลูกกัน ผลิตประชากรญี่ปุ่นได้ถึงเป้า 100 ล้านคนในปลายทศวรรษ 60 (เรื่องญี่ปุ่น ดู Ryang 2006)
 
(3) รักโรแมนติกครองโลก (เนื้อหาส่วนใหญ่ของตอนนี้มาจาก Jankowiak and Fischer 1992)
 
เราอาจนิยามรักโรแมนติกได้ว่าเป็น ความดึงดูดใจอย่างเข้มข้นอันเนื่องมาจากจินตนาการต่อคนอื่น ในบริบทที่มีอารมณ์วาบหวามอีโรติกเข้ามาเกี่ยวข้อง และรักโรแมนติกมักนำมาซึ่งความเจ็บปวดเมื่อจากพราก 

รักโรแมนติกคือรักแบบที่กล่าวถึงกันมากในวันวาเลนไทน์ แต่แนวคิดที่มักกล่าวถึงกันเพื่อวิพากษ์รักโรแมนติกคือแนวคิดที่ว่า รักโรแมนติกเป็นความรักแบบสมัยใหม่ เป็นรักแบบปัจเจกชนนิยม สังคมนอกตะวันตก นอกยุโรปและอเมริการเหนือ ส่วนที่อื่นๆ ในโลก หากจะมีรักโรแมนติก ก็จะมาจากยุโรป จากซีกโลกตะวันตกนี่เอง
 
แต่มีผู้ถกเถียงว่า รักโรแมนติกไม่ได้มีเฉพาะในยุโรป ทัศนะแบบนั้นมัน "ยูโรเซนทริก" คือเหมาเอายุโรปเป็นศูนย์กลางไปเสียหมดมากเกินไป แนวคิดแบบนี้มักมองว่า นอกยุโรปหรือยุโรปก่อนสมัยใหม่ มีความรักในกรอบของความจำเป็นทางเศรษฐกิจหรือสังคมเท่านั้น ไม่มองความรับเพื่อความใคร่ของปัจเจก
 
แต่จากการใช้สถิติศึกษาโรแมนติกเลิฟ เก็บตัวอย่างจาก 166 สังคมทั่วโลก (ในรายการ ผมพูดผิดเป็น 600 ตัวอย่าง) เข้าใจว่าไม่มียุโรปตะวันตก คงเนื่องจากสองทวีปนั้นเห็นได้ชัดว่ามีวัฒนธรรมรักโรแมนติกอยู่แล้ว ส่วนอเมริกาเหนือ เข้าใจว่าจะเก็บข้อมูลจากชนพื้นเมือง มากกว่าชาวอเมริกันสมัยใหม่ ซึ่งเรารู้กันชัดเจนอยู่แล้วว่ามีวัฒนธรรมรักโรแมนติก 
 
วิธีเก็บข้อมูลข้างต้น เขาดูจากข้อมูลเกี่ยวกับสังคมเหล่านั้นว่า สังคมนั้นมีการแสดงความรู้สึกเจ็บปวดส่วนตัว มีเพลงรักหรือนิทานรักๆ ใคร่ๆ ที่มีอารมณ์แบบโรแมนติกเลิฟ มีเรื่องการหนีกันไปอยู่กินโดยพ่อแม่ สังคมไม่รับรู้ มีข้อมูลยืนยัยการมีอยู่ของความรักแบบรักใคร่หนุ่มสาว ตามที่เจ้าของวัฒนธรรมยืนยันเอง หรือตามที่นักมานุษยวิทยายืนยันว่ามีโรแมนติกเลิฟ 
 
ข้อค้นพบทางสถิติง่ายๆ ชี้ว่า ทุกเขตวัฒนธรรมในโลก ทุกทวีป มีรักโรแมนติกในร้อยละที่สูงถึงเกือบ 80% ขึ้นไป ที่สูงสุดคือ ที่มีมากคือเอเชียกลาง หมู่เกาะแฟซิฟิค เมดิเตอร์เรเนียน คือเกิน 93% ที่น้อยสุกคือในแอฟริกา แต่มีบางสังคมเช่นกันที่ ไม่พบเนื้อหาส่วนใดที่มีการบันทึกเกี่ยวกัรักโรแมนติกเลย แต่มีเพียง 11.5% แต่บางที อาจเป็นเพราะสังคมเหล่านี้ปกปิดข้อเท็จจริงเรื่องนี้อย่างมิดชิด จึงไม่มีข้อมูล หรือบางที นักมานุษยวิทยาเองไม่สนใจ จึงไม่ได้เก็บข้อมูลเหล่านี้มา
 
บทความชิ้นเดียวกันนี้ยังยกตัวอย่างงานเขียนที่ให้รายละเอียด เช่น หนังสือชื่อ นิสา (Nisa) ที่ศึกษาชาวคุง หรือที่เราเรียกบุชแมน มีเรื่องรักใคร่ในความเข้าใจแบบของเขาเองเต็มไปหมด หรือเรื่องสมันราชวงศ์ Sung (928-1233) ความรักในนิทานเรื่อง เทพธิดาหยก (Jade Goddess) ที่หนุ่มคนหนึ่งผิดหวังความรักจากหญิงสาวที่หมั้นหมายแล้ว ท้ิงอาชีพการงานทั้งหมดไปกับความเศร้า ภายหลังพบว่า คู่รักขอบเธอก็เป็นแบบเดียวกัน 
 

อย่างไรก็ดี การแสดงออกซึ่งความรักแบบนี้ในแต่ละสังคมต่างกัน เช่นนิทานกลอน "ส่งชู้สอนสาว" ของชาวไทดำในเวียดนาม ที่ถูกอ่านถูกตีความแบบหนึ่งในสมัยก่อน แต่ในสมัยคอมมิวนิสต์ ก็นำวรรณกรรมนี้มาตีความอีกแบบว่าสะท้อนสำนึกความขัดแย้งทางชนชั้น ส่วนของไทย ลิลิตพระลอ วรรณกรรมเก่าแก่ก็มีรักโรแมนติกเป็นแกนกลาง เพียงแต่ก็ถูกตีความอีกแบบ ว่ารักโรแมนติกเป็นความลุ่มหลง เป็นสิ่งที่ไม่ดี

 
(4) เซ็กส์เพื่อชีวิตกับเซ็กส์เพื่อเซ็กส์
 
พูดกันมากว่า สังคมยุโรปตะวันตกสมัยวิคทอเรียนในศตวรรษที่ 19 กดทับเซ็กส์ แต่ฟูโกต์เถียงว่า ยุคนั้นไม่ได้กดทับเซ็กส์ แต่มันเปิดมากขึ้นด้วยซ้ำ เพียงแต่เซ็กส์ถูกเปิดเผยในแบบที่แตกต่างจากสมัยก่อน คือในภาษาแบบการแพทย์ แบบวิทยาศาสตร์ แบบจิตวิทยา แบบประชากรศาสตร์มากขึ้น เพื่อจัดการทิศทางของการพูดและปฏิบัติการเรื่องนี้ 
 
แต่เมื่อพูดถึงมากเข้า มันก็ควบคุมไม่ได้ เกิดการหลุดลอด เล็ดลอดไปของเรื่องราว และกลายป็นการเปิดให้เรื่องเซ็กส์บบต่างๆ รวมทั้งเรื่องคนรักเพศเดียวกัน เพศสัมพันธ์แบบใช้ความรุนแรง ใช้อุปกรณ์กระตุ้นต่างๆ งานเขียนเกี่ยวกับเซ็กส์แบบนี้ เกิดขึ้นมากมายในสมัยวิคทอเรียนเช่นกัน กลายเป็นว่าเซ็กส์ถูกพูดถึงมากขึ้น
 
ประวัติศาสตร์ของความใคร่หลังมียาคุม และไวอากร้า เพศสัมพันธ์จริงเปลี่ยนไปเป็น sex for sex's sake มากขึ้น คนคิดถึงเซ็กส์ที่อยู่นอกบริบทครอบครัวมากขึ้น (ดูวีดีโอ Sex: An Unnatural history 2011)
 
การที่รัฐไทยควบคุมการมีเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่นในวันวาเลนไทน์ ทั้งๆ ที่การคุมกำเนิดมีมานานแล้ว จึงดูเหมือนเป็นความล้าหลังของการคุมกำเนิด หากแต่ก็มองได้อีกมุมหนึ่งว่า การควบคุมนี้คือส่วนหนึ่งของการควบคุมแรงงาน ควบคุมวัยรุ่นให้ได้รับการฝึกฝนแรงงานอย่างเชื่องเชื่อ กันไม่ให้วัยรุ่นเตลิดไปกับความสุขส่วนตัวก่อนเข้าสู่ตลาดแรงงาน นี่เป็นส่วนหนึ่งของการสร้้าง "ทุนมนุษย์เชื่องๆ" เข้าสู่ตลาดแรงงาน
 
เอกสารและวีดีโอแนะนำสำหรับการค้นคว้าต่อ
 
- Jankowiak, William R. and Fischer, Edward F. (1992.) "A Cross-Cultural Perspective on Romantic Love" Ethnology. 31(2): 149-155.
- Ryang, Sonia. (2006.) Love in Modern Japan: Its estrangement from self, sex, and society. London: Routledge.
- Foucault, Michel. (1978 [1976].) The History of Sexuality, volume I: An introduction. New York: Pantheon. 
- Sex: An unnatural history E01 (2011) (http://www.youtube.com/watch?v=KCFN8fHLjss&feature=youtube_gdata_player). Accessed on February 13, 2013.
- คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (2554) วารสารสังคมศาสตร์ (ฉบับความรัก). 23(1-2).

 

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
 การที่ประธานรัฐสภาปัดข้อเรียกร้องของประชาชนกว่า 3 หมื่นคน ที่นำโดยคณะนิติราษฎร์และคณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 ด้านหนึ่งนับเป็นความขลาดเขลาของประธานรัฐสภา ด้านหนึ่งสะท้อนความขลาดเขลาของพรรครัฐบาลที่บอกปัดข้อเสนอนี้มาตั้งแต่ ครก.112 เริ่มรณรงค์
ยุกติ มุกดาวิจิตร
 บ้านเก่าเมืองหลัง เป็นสำนวนของคนไทดำในเวียดนาม เมื่อก่อน พอได้ขึ้นไปเยี่ยมเยือนพี่น้องชาวไทดำที่เซอนลาแต่ละครั้ง ก็จะถูกพวกคนเฒ่าคนแก่ล้อว่า “เหมือนพวกหลานๆ กลับมาเยี่ยมบ้านเก่าเมืองหลังสินะ” ในความหมายที่ว่า เหมือนผมได้กลับไปเยี่ยมบ้านเกิดเมืองนอนนั่นเอง ทั้งๆ ที่ตอนนั้น ก็ห่างหายไปแค่เพียงหลายเดือน หรืออย่างมากก็ในรอบปี
ยุกติ มุกดาวิจิตร
  ขอบอกว่า วันนี้นอยกับบูราวอย (Michael Burawoy) พอสมควร
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมติดตามละคร "แรงเงา" อย่างใกล้ชิด...จากที่เพื่อนๆ เล่ากันน่ะ ไม่ได้ดูเองหรอก (เพราะไม่มีทีวีดู ไม่ชอบดูทีวี และไม่ดูทีวีมาหลายปีแล้ว) แต่ก็เกิดสงสัยว่า "ทำไมไอ้ผอ.มันโง่งี้(วะ)" ถ้าจะตอบว่า "ผู้ชายหล่อก็เหมือนผู้หญิงสวยนั่นแหละ มันโง่" ก็คงจะดูโง่ไปหน่อย ก็เลยลองคิดต่อดูว่า หนึ่ง ที่จริงไม่ได้มีแต่ ผอ.ในละครแรงเงาโง่อยู่คนเดียวหรอก พระเอกละครไทยกี่เรื่องต่อกี่เรื่อง มันก็โง่แบบนี้กันทั้งนั้นแหละ ส่วนใหญ่เลยนะผมว่า 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ปิดเทอมนี้อดพานักอ่านตัวยงคนหนึ่งที่บ้านไปงานสัปดาห์หนังสือ เพราะเธอขาแพลง เจ็บถึงขั้นเข้าเฝือกและใช้ไม้เท้าเดิน เธอบอก "เอาไว้มีงานอีกครั้งลุงต้องพาหนูไปนะ" วันนี้ก็เลยขอเขียนอวยนักเขียนสักหน่อย (คนเราไม่ต้องคอยหาทางวิจารณ์ข้อด้อยคนอื่นกันทุกเมื่อเชื่อวันก็คงสามารถจรรโลงสังคม
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผ่านมาสี่วัน ถ้าจะให้บอกว่าประทับใจอะไรกับปราสาทหินบ้าง คงยากที่จะบอก เพราะวิ่งผ่านหินก้อนต่างๆ มากมายเสียจนไม่ทันได้หยุดคิดกับอะไรต่างๆ ดีที่ได้นักโบราณคดี นักประวัติศาสตร์ และนักมานุษยวิทยามากมายมาให้ความรู้ข้างๆ หูเวลาท่านถกเถียงกัน จึงพอจะเก็บเกี่ยวเชื่อมโยงอะไรมาได้บ้าง
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ยุกติ มุกดาวิจิตร