Skip to main content

เมื่อเช้า (26 มค.) ผมไปเลือกตั้งล่วงหน้าที่เขตจอมทอง ด้วยเหตุจำเป็นไม่สามารถไปเลือกตั้งวันที่ 2 กพ. ได้ ก่อนไป สังหรณ์ใจอยู่ก่อนแล้วว่าจะเกิดเหตุไม่ดี ผมไปถึงเขตเลือกตั้งเวลาประมาณ 9:00 น. สวนทางกับผู้ชุมนุมนกหวีดที่กำลังออกมาจากสำนักงานเขต นึกได้ทันทีว่ามีการปิดหน่วยเลือกตั้งล่วงหน้า มวลชนหลักร้อย ดูฮึกเหิม ท่าทางจะไปปิดหน่วยเลือกตั้งอื่นต่อไป ผมถ่ายรูปคนจำนวนหนึ่งไว้

ผมเข้าไปถึงหน่วยเลือกตั้ง เจ้าหน้าที่บอกว่าให้กลับบ้าน ไม่มีการเลือกตั้งแล้ว ผมโมโหมาก ถามเจ้าหน้าที่ว่าใครสั่ง เจ้าหน้าที่บอกว่า กกต. บอกให้เลื่อนเลือกตั้งแล้ว บางคนบอกผอ.เขตให้ยกเลิก ผมขอหนังสือยกเลิก ก็ไม่มีใครชี้แจงอะไรผมเดินไปถามเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าที่ สน. มีใครรับแจ้งความไหม เขาบอกมี ผมก็วิ่งไปที่สน.บางมด จะไปแจ้งความ

ไปถึงสน. ตำรวจบอกไม่ต้องแจ้งความแล้ว เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้งกับเจ้ากกต.กำลังแจ้งความว่ามีผู้ชุมนุมมาปิดหน่วยเลือกตั้ง เจ้าหน้าที่จากสนง.เขตบอกให้กลับไปที่สนง.เขตเพื่อลงทะเบียนแจ้งรักษาสิทธิ์เลือกตั้ง ผมทำตามโดยดี โดยไม่ได้ทันเฉลียวใจว่า ที่จริงผมก็มีสิทธิ์แจ้งความดำเนินคดีกับคนที่มาผิดหน่วยเลือกตั้งและมีสิทธิ์แจ้งความดำเนินคดีกับการไม่พยายามปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้ง

แต่อีกใจ ผมก็เห็นใจเจ้าหน้าที่ ว่าเขาคงถูกข่มขู่คุกคามอย่างรุนแรง ไม่อยากถือโทษว่าพวกเขาเองก็อาจสมรู้ร่วมคิดกับการปิดหน่วยเลือกตั้งด้วย เมื่อได้เห็นประกาศปิดหน่วยเลือกตั้งด้วยเหตุผลว่า "มีกลุ่มผู้ชุมนุมปิดสำนักงานเขตจอมทอง" ผมก็ลงทะเบียนรักษาสิทธิ์ไว้ทันที

พวกคุณที่เป่านกหวีดร่วมกับ กปปส. น่ะ พวกคุณคิดหรือว่าการทำแบบนี้แล้วจะช่วยให้ประเทศชาติเจริญก้าวหน้าไปได้ 

แต่ที่เสียใจที่สุดคือ พวกคุณทำไมต้องมาตัดสิทธิของผม ทำไมต้องมาคิดแทนผมว่าคะแนนเสียงผมไม่มีค่า เป็นอันว่าผมไม่สามารถเลือกได้ว่าผมจะให้ใครบริหารประเทศ ผมไม่สามารถกำหนดชะตาชีวิตผมได้ แม้ว่าผมจะเลือกคนที่พวกคุณเห็นว่าชั่วร้ายขนาดไหน แต่ในเมื่อคนเหล่านั้นยังมีสิทธิ์รับเลือกตั้ง ผมก็มีสิทธิ์เลือกคนเหล่านั้นอยู่ดี 

พวกคุณดีกว่าผมอย่างไรจึงมาตัดสินใจแทนผมได้ พวกคุณรู้ดีกว่าผมอย่างไรจึงจะมาตัดสิทธิ์การตัดสินใจของผม พวกคุณคือใคร ก็แค่คนเท่าผม 

พวกคุณไว้ใจคนที่พวกคุณเดินตามเขาอยู่ได้อย่างไร ผมคนหนึ่งที่ไม่ไว้ใจ แต่หากพวกเขาเข้าสู่กระบวนการของการเคารพหนึ่งคนหนึ่งเสียงแล้วได้เป็นผู้บริหารประเทศ ผมก็จะยอมรับอำนาจเขา แต่ก็จะวิจารณ์เขา โต้เถียงกับพวกเขา แต่หากพวกเขาเข้ามาสู่อำนาจ มีอำนาจการบริหารโดยวิธีพิเศษแล้ว พวกคุณคิดหรือว่าพวกเขาจะฟังใคร

ตกเย็น ผมไม่รู้จะทำอย่างไรจึงจะลดความโกรธได้ ก็เลยออกไปจุดเทียน เป็นเทียนเล่มแรกที่จุดในขบวนการจุดเทียนเพื่อรักษาสิทธิ์ เป็นแสงเทียนริบหรี่ที่ไม่ส่งเสียงให้ใครได้ยินได้ เพราะเสียงของผมถูกริบไปแล้วด้วยอำนาจป่าเถื่อนในการเลือกตั้งครั้งนี้

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
หากผมจะเลิกเรียกอาจารย์ว่าอาจารย์เสีย ก็คงไม่มีใครใส่ใจอะไร เพียงแต่ผมเองต่างหากที่ยังใส่ใจว่า อาจารย์เคยสอนหนังสือผม และอาจารย์ก็ยังเป็นนักวิชาการรุ่นอาวุโสที่อยางน้อยก็มีศักดิ์ทางวิชาการที่โลกวิชาการในสายอาชีพเดียวกับผมเขายกย่องนับถือกัน ไม่อย่างนั้นอาจารย์ก็คงไม่ได้รับการยกย่องมาจนทุกวันนี้ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
วันสุดท้ายของการเดินทางในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม คณะเราเดินทางกลับฮานอย แต่เส้นทางที่กลับผ่านดินแดนในตำนานสำคัญที่ผมไม่เคยแวะมาก่อน คือศาลเจ้าหุ่งม์เวือง (Đền Hùng Vương) ที่เชื่อมโยงกับตำนานไข่ร้อยฟองและกำเนิดของกลุ่มชาติพันธ์ุไต
ยุกติ มุกดาวิจิตร
จากเมืองไลและเมืองซอมา ผมกับเพื่อนร่วมทางมุ่งหน้าไปจุดหมายต่อไปคือไปพักที่เมืองถาน (Than Uyên) เมืองสำคัญของชาวไตดำอีกเมืองหนึ่ง เพื่อที่วันรุ่งขึ้นจะได้เดินทางต่อไปยังเมืองลอ (Nghĩa Lộ) โดยผ่านนาขั้นบันไดในถิ่นของชาวม้งที่อำเภอ หมู่ กัง จ่าย (Mù Căng Chải) และถิ่นฐานชาวเย้าที่ทำนา ณ เมืองลุง (Tú Lệ) แล้วพักค้างคืนที่เอียน บ๋าย (Yên Bái) ก่อนมุ่งหน้าสู่ฮานอยในอีกวันหนึ่ง ตลอดเส้นทางนี้ผมใจหายกับความเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ตลอดการเดินทาง สิ่งหนึ่งที่หนักหนาเสมอคือการดื่มกินกับคนพื้นเมือง ในการเดินทางครั้งนี้ มื้อที่แสนสาหัสที่สุดคือมื้อที่ต้องทั้งประคองตัวเอง ทั้งไม่ให้เสียน้ำใจ และทั้งไม่ให้เพื่อนร่วมทางเหน็ดเหนื่อยเกินกว่าจะร่วมทางกันต่อไปได้อย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมืองไลเป็นเมืองสำคัญอย่างไรในประวัติศาสตร์เวียดนาม สยาม และฝรั่งเศส คงเป็นคำถามที่ไม่มีใครสนใจนัก เพราะเมืองไลปัจจุบันกำลังกลายเป็นอดีตที่ถูกกลบเกลื่อนลบเลือนไปจนเกือบหมดสิ้น ทั้งจากน้ำเหนือเขื่อน และจากการจัดการปกครองในปัจจุบัน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมืองแถงมนดั่งขอบกระด้ง เมืองคดโค้งเยี่ยงเขาควาย
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อสักเกือบ 15 ปีก่อน ผมไปเสาะหาบ้านนาน้อยอ้อยหนูที่เมืองแถง (เดียนเบียนฟู) กับอาจารย์คำจอง นักชาติพันธ์ุวิทยาชาวไตดำ/เวียดนาม 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมืองลา (Sơn La) ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว แทบไม่มีใครรู้จักเมืองลาแม้ว่าเมืองนี้จะมีประวัติศาสตร์สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเดียนเบียนฟู เนื่องจากเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสใช้เป็นฐานในการปกครองเมืองคนไต แต่เดียนเบียนฟูโด่งดังขึ้นมาจากการที่ฝรั่งเศสแพ้พวกคอมมิวนิสต์เวียดนามอย่างราบคาบ ทำให้คนไม่ได้ทันสนใจว่า ก่อนหน้านั้นฝรั่งเศสปกครองเมืองคนไตอย่างไร แล้วมีฐานที่มั่นสำคัญอยู่ที่ไหนก่อนที่จะไปอยู่ที่เมืองแถงหรือเดียนเบียนฟู
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมมาเมืองมุน (Mai Châu, Hoà Bình) ครั้งแรกเมื่อปี 1998 มาเป็นผู้ช่วยวิจัย ตอนนั้นมาเดือนกุมภาพันธ์ อากาศหนาวมากแล้วเตรียมตัวไม่พอ ยังไม่รู้จักความหนาว เมื่อมาถึงที่นี่ ได้แต่นั่งผิงไฟ ขณะนั้นเมืองมุนเริ่มเปิดให้นักท่องเที่ยวมาพัก มีโฮมสเตย์อยู่สัก 5-6 หลัง
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ทุนมหาวิทยาลัยเกียวโตนี่ดีกว่าที่ผมคิด เดิมทีแค่รู้ว่าได้ทุนมาเพื่อทำวิจัย ซึ่งก็จะทำอะไรก็ทำไปเถอะ ตามข้อเสนอขอทุนที่เขียนไปไม่ถึงหนึ่งหน้ากระดาษ งานที่รับผิดชอบคือเสนองานสักสองครั้ง แล้วพยายามพิมพ์อะไรออกมาก็โอเคแล้ว นี่จึงถือว่าเป็นทุนชั้นยอด
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาผมเดินทางด้วยรถไฟชินคันเซนจากเกียวโตไปโตเกียว มีเรื่องราวมากมายที่น่าบันทึกไว้ ณ ที่นี่ แต่เบื้องต้นขอเล่าเพียงตลาด Tsukiji ก่อน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ตกใจเหมือนกันที่ Divas Cafe จะเลิกออกอากาศแล้ว อยากบันทึกสั้นๆ ว่าผมดีใจ ภูมิใจ ปลื้มใจ ที่เคยได้เป็นแขกในรายการดีว่าส์ คาเฟ่ เป็นรายการที่ไปคุยด้วยสนุกมาก พิธีกรรุกเร้ามาก เวลาสั้นจนต้องปรับจังหวะการพูดให้เร็วมาก แถมบางครั้งยังต้องหาจังหวะแย่งพิธีกรพูดอีก