Skip to main content
บทสนทนาระหว่าง นายอานันท์ ปันยารชุน กับนายภิญโญ ไตรสุริยธรรมา ล่าสุด เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2557 ที่โรงแรมมณเฑียร มีสาระที่น่าสนใจหลายประการต่อการเข้าใจการเมืองไทย 

 
ที่สำคัญประการหนึ่งคือ ในการรัฐประหารครั้งก่อนหน้านี้เมื่อปี 2549 นายอานันท์ไม่ได้แสดงท่าทีอย่างชัดเจนอะไร แต่ในครั้งนี้จะด้วยเพราะคณะรัฐประหารได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก หรือจะด้วยเพราะรัฐประหารครั้งนี้ยังไม่เข้มแข็งพอก็แล้วแต่ นายอานันท์ก็ได้ออกมาแสดงความเห็นทางการเมืองอย่างเต็มตัวว่าตนเองมีท่าทีตอบรับด้วยดีต่อการรัฐประหารครั้งนี้ ในอีกด้านหนึ่ง ทำให้เห็นว่าการต่อสู้ทางการเมืองที่ผ่านมาในประเทศไทยยังไม่พ้นจากยุคของการผลัดกันรุกผลัดกันรับหรือวงจรอุบาทว์ของอำนาจรัฐราชการและอำนาจประชาธิปไตยอันมีประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจสูงสุด
 
นายอานันท์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสองครั้ง ครั้งแรกหลังรัฐประหาร 2534 โดยการแต่งตั้งของคณะรัฐประหาร ครั้งที่สองหลังเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 ซึ่งเกิดการชุมนุมประท้วงการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พลเอกสุจินดา คราประยูร หลังการเลือกตั้งทั่วไป จนเกิดการปราบปรามการชุมนุมโดยทหาร ทำให้ประชาชนบาดเจ็บและเสียชีวิต พลเอกสุจินดาลาออก แล้ว นายอาทิตย์ อุไรรัตน์ ก็เสนอชื่อนายอานันท์แทนที่จะเป็น พลอากาศเอกสมบุญ ระหงษ์ ที่แต่งตัวรอเก้อ จากนั้นนายอานันท์จึงเริ่มกระบวนการปฏิรูปการเมือง จนยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดีกระทั่งเกิดดอกผลสำคัญในสมัยรัฐบาลพลเรือนจากการเลือกตั้งสมัย นายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรี จึงได้มีรัฐธรรมนูญ 2540 ที่ทำให้พรรคไทยรักไทยและทักษิณ ชินวัตร ขึ้นสู่อำนาจในเวลาต่อมา
 
การดำรงตำแหน่งทั้งสองครั้งของนายอานันท์จึงแตกต่างกัน ครั้งแรก นายอานันท์มีอำนาจจากการรัฐประหาร ครั้งที่สอง นายอานันท์มีอำนาจจากรัฐสภา เนื่องจากรัฐธรรมนูญขณะนั้นไม่ได้ระบุว่านายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง ในแง่นี้ ความชอบธรรม การได้รับความยอมรับของนายอานันท์จากสาธารณชนจึงดูเสมือนเป็นความนิยมอันเนื่องมาจากการเป็นปฏิปักษ์กับการรัฐประหาร คนนิยมนายอานันท์ไม่ใช่เพราะเขาช่วยคณะรัฐประหาร แต่เพราะเขามากอบกู้สถานการณ์ที่ทหารทำเลวร้ายเอาไว้ก่อนต่างหาก แต่แล้วทำไมในขณะนี้นายอานันท์จึงมาแสดงท่าทีเห็นดีเห็นงามกับคณะรัฐประหารครั้งนี้ จนชวนให้คิดไปได้ว่า นายอานันท์ดูจะเห็นดีเห็นงามกับการรัฐประหารครั้งก่อนๆ นี้ด้วย
 
ในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งแรก นายอานันท์เข้ามาทำให้ภาพลักษณ์ของคณะรัฐประหารดีขึ้น แต่นายอานันท์ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ พูดง่ายๆ คือ นายอานันท์ไม่ได้สามารถช่วยให้การรัฐประหารเป็นรัฐประหารที่ดีได้ ครั้งที่สอง เห็นได้ชัดว่านายอานันท์เข้ามาเป็นปฏิปักษ์กับคณะรัฐประหาร ทั้งในแง่ที่เข้ามาขัดผลประโยชน์อันอาจจะเกิดจากการสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหารผ่านพรรคการเมืองที่คณะรัฐประหารหนุนหลัง และเป็นปฏิปักษ์กับคณะรัฐประหารด้วยการมีส่วนวางพื้นฐานไปสู่การสร้างรัฐธรรมนูญ 2540 ที่เน้นการกระจายอำนาจและการสร้างความเข้มแข็งให้การเมืองระบอบรัฐสภา เห็นจะมีก็แต่การสร้างระบบการตรวจสอบด้วยองค์กรอิสระนั่นแหละ ที่นายอานันท์อาจจะภาคภูมิใจมากที่สุดจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ดี การที่นายอานันท์ยกการเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหลังการรัฐประหารของตนเองมาเพื่อเป็นตัวอย่างของ "การรัฐประหารที่อาจจะดี" นั้นจึงค่อนข้างผิดฝาผิดตัว
 
การเมืองไทยก่อนและหลังพฤษภาคม 2535 แตกต่างกันอย่างยิ่ง ทำให้เราไม่สามารถเทียบเคียงการเมือง 2 ยุคอย่างตรงไปตรงมาได้ง่ายๆ และการรัฐประหารปี 2534 ก็แทบจะเป็นคนละเรื่องกันกับการรัฐประหาร 2557 ที่สืบทอดต่อยอดการรัฐประหาร 2549 แต่ก็กล่าวได้เช่นกันว่าการรัฐประหาร 2557 คือความสืบเนื่องกันของการรัฐประหารปี 2535 และอีกหลายครั้งก่อนหน้านั้น นั่นคือการสืบทอดอำนาจของ "นักการเมืองรัฐราชการ"
 
นายอานันท์ยืนอยู่ตรงไหนกันแน่ในการรัฐประหารเหล่านี้ ย่อมปรากฏจุดยืนของเขาอย่างชัดเจนในการสนทนาของเขากับนายภิญโญล่าสุดนี่เอง
 
ถ้าจะสรุปย่อง่ายๆ การเมืองแบบรัฐราชการ (bureaucratic  polity) ก็คือการเมืองที่อำนาจการบริหาร การกำหนดนโยบาย และการใช้กำลัง อยู่ในมือของข้าราชการเสียเป็นส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมด อำนาจในการบริหารอาจเป็นของนักการเมืองส่วนหนึ่ง แต่หัวหน้าคณะรัฐบาลและผู้นำรัฐบาลในตำแหน่งสำคัญๆ มักจะเป็นตำแหน่งของข้าราชการ และส่วนใหญ่แล้วคือนายทหารในราชการ ส่วนฝ่ายใช้กำลัง ตั้งแต่กำลังอาวุธสงครามไปจนถึงกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด แน่นอนว่าอยู่ในมือของข้าราชการ ส่วนฝ่ายมันสมองที่เรียกกันว่าเทคโนแครต (technocrats) หรือที่ อาจารย์รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ เคยเรียกว่า "ขุนนางนักวิชาการ" เป็นกลุ่มคนที่เสนอนโยบาย คนเหล่านี้อาจเป็นข้าราชการหรือใครก็ตามที่ข้าราชการเชิญมาช่วยงาน แต่ที่สำคัญคือ ขุนนางนักวิชาการเหล่านี้มักไม่มีศรัทธาต่อการเลือกตั้ง ไม่เอาตัวเองไปคลุกคลีกับการเมืองของการเลือกตั้ง ไม่คิดจะลงเลือกตั้ง แต่รอคอยเวลาที่จะถูกใช้โดยนักการเมืองรัฐราชการ นายอานันท์นับเป็นนักการเมืองรัฐราชการคนหนึ่งที่จัดได้ว่าเป็นขุนนางนักวิชาการ
 
สรุปรวมความแล้ว ผู้กุมอำนาจที่เป็นข้าราชการและผู้ได้รับเชิญเข้ามาเกี่ยวข้อกับผู้กุมอำนาจในระบอบนี้ ก็ล้วนเป็น "นักการเมือง" ด้วยกันทั้งสิ้น หากแต่พวกเขารังเกียจที่จะนับตัวเองอย่างนั้น ทั้งๆ ที่พวกเขาก็เข้าสู่เวทีอำนาจ ช่วงชิงอำนาจกับนักการเมืองในระบบเลือกตั้งเช่นกัน พวกเขาเพียงแต่เป็นนักการเมืองในคราบข้าราชการ อิงแอบอำนาจกับรัฐราชการ จึงเรียกได้ว่าเป็น "นักการเมืองรัฐราชการ" (bureaucratic politicians)
 
ในระบอบการเมืองแบบรัฐราชการ ประชาชนถูกกีดกันจากการมีส่วนร่วมในการปกครอง นโยบายประเทศถูกกำหนดมาแล้วโดยขุนนางนักวิชาการ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง จึงไม่มีโอกาสได้นำเสนอนโยบายที่ตนไปหาเสียงเข้าสู่สภาได้เต็มที่นัก ในระบอบรัฐราชการ พรรคการเมืองจึงเล็ก ลีบ และแตกกระสานซ่านเซ็นไม่เป็นปึกแผ่น มีแนวโน้มแก่งแย่งอำนาจกันเพื่อเป็นใหญ่เพียงส่วนตัวชั่วคราว มีแนวโน้มที่นักการเมืองจากการเลือกตั้งจะเข้ามาสู่ตำแหน่งเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ รัฐราชการจึงเป็นที่มาของการฉ้อฉลของนักการเมืองจากการเลือกตั้ง เพราะนักการเมืองจากการเลือกตั้งไม่มีความจำเป็นในระบบเท่านักการเมืองรัฐราชการ นักการเมืองจากการเลือกตั้งในที่สุดก็กลายเป็นเพียงผู้รับใช้นักการเมืองรัฐราชการ และเพราะการเลือกตั้งไม่สามารถสะท้อนเสียงของประชาชนได้ ดังนั้น การเลือกตั้งจึงไม่มีความหมาย การซื้อเสียงขายเสียงจึงเกิดขึ้นทั่วไป อันเนื่องมาจากการกระจุกตัวของอำนาจในหมู่ข้าราชการ อันเนื่องมาจากการตรวจสอบควบคุมจากประชาชนไม่มีความหมายนี่เอง
 
หากแต่หลังการสร้างระบบการเลือกตั้งและระบบพรรคการเมืองแบบใหม่ พร้อมทั้งการออกแบบให้อำนาจการบริหารและการกำหนดนโยบายกระจายไปสู่การเมืองท้องถิ่นมากขึ้น ผ่านการเลือกตั้งกำนันและผู้ใหญ่บ้านตามวาระและผ่านการเลือกตั้งนายกและสมาชิกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนการกระจายงบประมาณ เงินทุนลงสู่ท้องถิ่น และให้ท้องถิ่นสามารถเก็บภาษีท้องถิ่นไว้บำรุงตนเองได้มากขึ้น ส่งผลให้องค์กรท้องถิ่นเหล่านี้สามารถดำเนินนโยบายตอบสนองท้องถิ่นได้มากขึ้น การเลือกตั้งทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่นจึงมีความหมายมากยิ่งขึ้น ยิ่งเมื่อพรรคการเมืองใหญ่อย่างไทยรักไทยดำเนินนโยบายที่ส่งผลให้เกิดการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนอย่างกว้างขวาง พรรคการเมือง นักการเมือง และการเมืองระบอบรัฐสภาจึงมีความหมายมากขึ้น
 
กล่าวอีกอย่างหนึ่งได้ว่า การสลายอำนาจของนักการเมืองรัฐราชการส่งผลให้การเมืองไทยพัฒนาไปสู่สิ่งที่ อาจารย์ประภาส ปิ่นตบแต่ง เรียกว่า "ประชาธิปไตยที่กินได้" ในแง่นี้ สิ่งที่ อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ เรียกว่าเป็น "รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน" จึงเปลี่ยนไป รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนฉบับใหม่นี้นักการเมืองรัฐราชการมีอำนาจน้อยลง มีการยอมรับอำนาจของประชาชนมากขึ้น ยอมรับการมีส่วนร่วมของประชาชนมากขึ้น ประชาชนเห็นความสำคัญของการเลือกตั้งมากขึ้น
 
ประชาชนเชื่อมั่นในอำนาจของตนเองมากขึ้น เพราะประชาธิปไตยกินได้ เพราะเสียงจากการกากบาทแล้วหย่อนบัตรลงไปถูกนับรับรู้ มีตัวมีตนมากขึ้น เพราะนโยบายพรรคการเมืองสะท้อนเสียงของพวกเขาเหล่านั้นมากขึ้น     
 
อย่างไรก็ดี ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2540 และรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนฉบับใหม่ยังมีกลไกของรัฐราชการซุกซ่อนอยู่ กลไกที่ว่านั้นคือองค์กรอิสระ ที่ช่วยให้นักการเมืองรัฐราชการสืบทอดอำนาจต่อไปได้ ในบทสนทนากับ นายภิญโญ ไตรสุริยธรรมา นายอานันท์ ปันยารชุน แสดงให้เห็นอย่างเดนชัดว่านายอานันท์เชื่อมั่นในระบบ "ธรรมาภิบาล" เหนือระบบการเลือกตั้ง ธรรมาภิบาลของเขาจะหมายถึงอะไรหากไม่ใช่รัฐราชการ นั่นเพราะเขาเชื่อว่าการรัฐประหารโดยทหารในครั้งนี้มีโอกาสที่จะนำมาซึ่งระบบธรรมาภิบาลที่ดีได้ นายอานันท์จึงไม่เชื่อในธรรมาภิบาลที่วางอยู่บนระบบการมีส่วนร่วมของประชาชน ไม่เชื่อในระบบการตรวจสอบด้วยอำนาจของประชาชนส่วนใหญ่ ไม่เชื่อในระบบตัวแทน นายอานันท์จึงเป็นปากเป็นเสียงให้กับนักการเมืองรัฐราชการอย่างเต็มที่
 
เมื่อผสานกับรัฐธรรมนูญฉบับทางการที่มีระบบการตรวจสอบนักการเมืองผ่านองค์กรอิสระแล้ว ทำให้อำนาจของประชาชนที่ได้รับการยอมรับมากขึ้นจากรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนหลัง 2540 กลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากับอำนาจรัฐราชการ ที่คอยเข้ามากระแซะบ่อนเซาะทำลายอำนาจประชาชนทั้งในการรัฐประหาร 2534, 2549 และ 2557 เมื่อมองย้อนกลับไปโดยตลอดของประวัติศาสตร์การเมืองไทยแล้ว เราคงจะยังต้องอยู่กับการต่อสู้ขับเคี่ยวกันระหว่างนักการเมืองจากการเลือกตั้งกับนักการเมืองรัฐราชการอันมีนายอานันท์เป็นตัวอย่างที่เด่นชัดไปอีกนาน
 
มติชนรายวัน 20 สิงหาคม 2557

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
อันที่จริงผมก็นึกไม่ถึงว่าจะมีคนสนใจข่าวนี้กันมากนัก เรื่องอาจจะเป็นเพราะมีการใช้คำในการรายงานข่าวเบื้องต้นอย่างคลาดเคลื่อนไป ก็เลยทำให้เป็นที่น่าตกใจ แต่อีกนัยหนึ่งก็ชี้ให้เห็นปัญหาการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนจนกระทั่งเมื่อมีการแสดงการต่อต้านด้วยการปฏิเสธที่จะอยู่ใต้อำนาจกดทับนั้น คนก็จึงตอบรับกันอย่างกระหน่ำ อย่างไรก็ดี ผมก็อยากชี้แจงให้กระจ่างเพิ่มเติมว่า ทำไมผมจึงเลือกที่จะแสดงสถานภาพในการเดินทางมาต่างประเทศของผมในครั้งนี้เพิ่มเติมผ่านข้อเขียนนี้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เพิ่งผ่านมาเพียง 5 เดือนอาจจะยังเร็วเกินไปที่จะถามว่า หลังรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 แล้วขบวนการประชาชนจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่หากมองย้อนกลับไป แล้วมองไปข้างหน้าอีกสักหน่อย ก็น่าจะลองคิดถกเถียงกันบ้างว่า ขบวนการประชาชนน่าจะไปทางไหนต่อไป
ยุกติ มุกดาวิจิตร
TED รายการบรรยายสาธารณะที่มีชื่อเสียงและผมก็ติดตามเรียนรู้มาสม่ำเสมอ ได้เผยแพร่คลิปบรรยายของคีท เชน นักเศรษฐศาสตร์ที่เสนอข้อถกเถียงว่า ภาษามีความเชื่อมโยงกับการออมตั้งแต่เมื่อ 2 ปีที่แล้ว แต่ผมเพิ่งได้ยินเกี่ยวกับการศึกษานี้มาตั้งแต่ต้นภาคการศึกษานี้ในชั้นเรียนวิชามานุษยวิทยาภาษา ที่นักศึกษาคนหนึ่งเอ่ยถึงการศึกษานี้ และเพิ่งได้ดูด้วยตัวเองเมื่อ 3-4 วันก่อนนี้เอง เห็นว่าน่าสนใจดีก็เลยนำไปให้นักศึกษาดูและถกเถียงกันในชั้น 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
การอัตวินิบาตกรรมของคุณนวมทอง ไพรวัลย์ทำให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง นัยหนึ่งถือว่าเป็นการประท้วงต่อการรัฐประหาร อีกนัยหนึ่งถือเป็นการยืนยันความจริงจังและบริสุทธิ์ใจต่ออุดมการณ์ อีกนัยหนึ่งอาจปลุกเร้าสำนึกของผู้ร่วมอุดมการณ์ หรืออีกนัยหนึ่งก็เกรงว่าจะเป็นความสูญเสียที่สูญเปล่า
ยุกติ มุกดาวิจิตร
การสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยแตกต่างจากการสอนหนังสือในระดับโรงเรียนก็คงจะตรงที่ว่า ผู้สอนในระดับมหาวิทยาลัยไม่ได้เรียนการสอนมาก่อน อาจจะมีการอบรมเรื่องการเรียนการสอนบ้าง มีการประเมินผลให้ผู้สอนพิจารณาปรับปรุงตนเองบ้าง มีการประเมินตนเองบ้าง แต่ถึงที่สุดแล้ว ผู้สอนมีส่วนสร้างระบบการเรียนการสอนด้วยตนเอง
ยุกติ มุกดาวิจิตร
"อาร์บอรีทั่ม" (Arboretum) เป็นสวนพฤกษศาสตร์ขนาดใหญ่ร่วม 3 พันไร่ของมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน สวนนี้ไม่ได้ตั้งอยู่ในบริเวณที่ตั้งมหาวิทยาลัย แต่ก็อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก หากขยันเดิน สักชั่วโมงหนึ่งก็ถึง ถีบจักรยานไปก็สัก 20 นาที อาจเร็วกว่าขับรถที่ต้องเจอกับป้ายหยุด ทางแยก ไฟสัญญาณ กว่าจะถึงก็สัก 30 นาที
ยุกติ มุกดาวิจิตร
นักวิชาการมิได้มีสถานภาพพิเศษแตกต่างไปจากคนอื่นๆ ในสังคม เพียงแต่อาชีพนักวิชาการเป็นอาชีพที่ต้องพัฒนาความคิดความอ่านตลอดเวลา นักวิชาการจึงไม่ควรมีขอบเขตของความคิดความอ่าน พร้อมๆ กับที่ไม่ควรปิดกั้นขอบเขตของความคิดคนอื่น 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
กว่า 3 เดือนที่ผ่านมาผมไปชมการแสดงดนตรีไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ นึกเสียดายที่เมื่อ 10 กว่าปีก่อนที่มาเรียนไม่ค่อยมีโอกาสได้เข้าร่วมกิจกรรมเหล่านี้เลย เมื่อวานนี้ (ตามเวลาที่อเมริกา) ผมก็เพิ่งออกจากห้องแสดงดนตรีมา จนทำให้ผมคิดขึ้นมาได้ว่า นี่ผมอยู่ในโลกไหนกัน แล้วทำไมที่ที่ผมอยู่เป็นปกติเขาถึงไม่ทำสถาบันการศึกษาให้เป็นสถานที่บ่มเพาะความเจริญของจิตใจได้อย่างนี้บ้าง 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เดอร์ แรธสเคลเลอร์เป็นบาร์เบียร์ของมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน ตั้งอยู่ในตึกกิจกรรมนักศึกษา (ที่นี่เรียกว่า Memorial Union) ตึกกิจฯ นี้ตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1928 โน่นเลย บาร์เบียร์แห่งนี้ก็น่าจะอายุไม่น้อยไปกว่าตึกที่มันอาศัยอยู่เท่าใดนัก
ยุกติ มุกดาวิจิตร
สัปดาห์ที่ผ่านมาผมเข้าร่วมกิจกรรมสังคมวิชาการซ้ำซ้อนกันหลายงาน ตั้งแต่บรรยายเรื่องการทำวิจัยในเวียดนามให้นักศึกษาบัณฑิตศึกษาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ฟัง ต่อด้วยปาร์ตี้ประจำปีของศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาของมหา'ลัยวิสคอนซิน ซึ่งเป็นงานแบบ potluck party และก็ฟองดูปาร์ตี้เล็กๆ ที่บ้านอาจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งก็ไม่ใช่อะไรมากไปกว่าขนมปังจุ่มชีสต้มเดือด ทั้งหมดนั้นได้อะไรสนุกๆ มามากมาย
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผ่านมาได้ 3 สัปดาห์ วิชาที่ผมสอนที่วิสคอนซินเริ่มสนุกขึ้นเรื่อยๆ ในห้องมีนักเรียน 10 คน ขนาดพอๆ กับที่เคยสอนที่ธรรมศาสตร์ แต่ที่ต่างคือในห้องเดียวกันนี้มีทั้งนักเรียนปริญญาตรี โท และเอกเรียนร่วมกัน เพียงแต่ข้อกำหนดของงานและความคาดหวังจากนักเรียนระดับ ป.ตรีกับ ป.โท-เอก ย่อมแตกต่างกัน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ท่านถามอย่างนี้กับสื่อมวลชน ต่อหน้าสาธารณชน ใครเขาจะกล้าตอบ ก็ในเมื่อท่านมีปืนอยู่ในมือ ใครเอาปืนจี้หัวท่านไว้แล้วท่านจะตอบความในใจที่ขัดความรู้สึกเขาได้ไหมล่ะ เรื่องแค่นี้น่าจะเข้าใจนะ