Skip to main content

วาทกรรม "ประชาธิปไตยแบบไทย" ถูกนำกลับมาใช้เสมอๆ เพื่อลดทอนความน่าเชื่อถือของแนวคิดประชาธิปไตยสากล 

วาทกรรมนี้มักมีข้อสรุปร่วมกันว่า สังคมไทยเป็นสังคมที่มีลักษณะเฉพาะของตนเอง มีระบบคุณค่าพิเศษของตนเอง จึงไม่สามารถนำเอาแนวความคิดประชาธิปไตยซึ่งเป็นแนวคิดแบบตะวันตกเข้ามาใช้ได้ การสร้างคำอธิบายสนับสนุนวาทกรรมนี้มีตั้งแต่การกล่าวว่า สังคมไทยเป็นสังคมที่มีความสงบสุขร่มเย็นอยู่แล้ว มีสถาบันทางการเมืองที่ดีงามอยู่แล้ว ไปจนกระทั่ง สังคมไทยก็เป็นประชาธิปไตยในแบบของตนเองมานานแล้วด้วยการสั่นกระดิ่งร้องทุกข์ต่อผู้ปกครอง

หากแต่เมื่อพิจารณาให้ชัดเจนขึ้นก็จะพบว่าใครก็ตามที่อ้างแนวคิดประชาธิปไตยแบบไทย ก็มักจะเป็นผู้ที่เสวยสุขอยู่ในโครงสร้างอำนาจที่ค้ำจุนความเหลื่อมล้ำเอาไว้ และเมื่อใดก็ตามที่มีการรัฐประหารในประเทศไทย วาทกรรมประชาธิปไตยแบบไทยก็จะเริ่มทำงานทันที ดังที่เราจะเห็นคนที่สนับสนุนการรัฐประหาร 22 พ.ค.2557 จำนวนมากลุกขึ้นมาสาธยายความพิเศษไม่เหมือนใครของสังคมไทย แล้วจึงสรุปว่า ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่สามารถใช้แนวคิดประชาธิปไตยสากลได้ 

วาทกรรมประชาธิปไตยแบบไทยฟังดูเหมือนมีเหตุผลน่าเชื่อถือ แต่อันที่จริงแล้ววาทกรรมนี้วางอยู่บนหลักคิดหรือตรรกะที่ผิดพลาด ทั้งนี้ก็เพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงของสังคมไทยเองและบิดเบือนพัฒนาการทางสังคมในโลก วาทกรรมประชาธิปไตยแบบไทยวางอยู่บนตรรกะวิบัติสำคัญสองประการคือ "ตรรกะคู่ตรงข้าม" และ "ตรรกะสัมพัทธ์นิยมสามานย์" 

"ตรรกะคู่ตรงข้าม" คือการสร้างข้อเสนอจากการสร้างคู่ขัดแย้งตรงข้ามกันขึ้นมา เพื่อทำให้ข้อเสนอตนเองเด่นชัด พร้อมๆ กับเพื่อหักล้างข้อเสนอตรงข้ามลงไป ในการสร้างวาทกรรมประชาธิปไตยแบบไทย มีการสร้างกรอบความคิดขึ้นมาว่าไทยตรงข้ามกับฝรั่ง ไทยเป็นสังคม "ตะวันออก" และจึงตรงข้ามกับ "ตะวันตก" คู่ตรงข้ามนี้ยังเสนออีกด้วยว่า ประชาธิปไตย = ตะวันตก ซึ่งตรงข้ามกับ ไทย = ไม่ใช่ประชาธิปไตย นอกจากนั้นยังมีนัยแฝงเชิงคุณค่าว่า ไทย ดีกว่า เหมาะกว่า ตะวันตก และประชาธิปไตยจึงไม่ดี ไม่เหมาะกับไทย แต่ต้องดัดแปลงให้เป็นประชาธิปไตยแบบไทย จึงจะเหมาะกับสังคมไทย 

ตรรกะคู่ตรงข้ามแบบนี้มีปัญหาอย่างน้อยสามประการคือ หนึ่ง ตรรกะนี้ไม่ได้อธิบายสังคมไทยจากลักษณะภายในเอง แต่อธิบายจากการเปรียบเทียบ ความเป็นไทยจึงไม่ได้มีเนื้อในที่ได้รับการพิจารณาอย่างเฉพาะเจาะจงจริงๆ แต่เป็นความเป็นไทยที่ถูกเลือกหยิบมาเฉพาะส่วนที่เข้ากับคำอธิบายแบบนี้ หรือแม้แต่ประดิษฐ์ขึ้นมาเพียงเพื่อให้แตกต่างจากความเป็นตะวันตกในจินตนาการ เช่น การอ้างว่าสังคมไทยเน้นความสามัคคีความเป็นระเบียบ ส่วนสิทธิเสรีภาพเป็นแนวคิดตะวันตกจึงไม่เข้ากับสังคมไทย

สอง เหมาว่าตะวันตกเหมือนกันหมดพร้อมกับเหมาว่าตะวันออกเหมือนกันหมด เช่นคิดว่าสังคมตะวันตกให้สิทธิเลือกตั้งเท่าเทียมกันหมด ทั้งที่จริงๆ แล้วในยุโรปบางประเทศเพิ่งให้สิทธิผู้หญิงลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเมื่อ 40 ปีมานี้เอง และที่จริงแล้ววิธีเลือกตั้งของประเทศประชาธิปไตยต่างๆ ก็แตกต่างกันออกไป พร้อมกันนั้น ด้วยตรรกะคู่ตรงข้ามจึงเหมาว่าตะวันออกเหมือนกันหมด และเลยเหมาว่าไทยเหมือนกันหมด เช่น เชื่อว่าสังคมไทยเน้นคุณค่าของคนดีที่เหมารวมว่าเหมือนกันหมด การเลือกตั้งด้วยหลักหนึ่งคนหนึ่งเสียงจึงไม่เหมาะสม เพราะขัดกับหลักการคัดสรรคนดีมากเป็นผู้ปกครอง ซึ่งมีเฉพาะคนดีด้วยกันเท่านั้นจึงจะรู้ว่าใครสมควรเป็นผู้ปกครอง ไม่ใช่ทุกคนจะเลือกได้ ตรรกะแบบนี้ละเลยความเป็นตะวันตกในตะวันออกและละเลยความเป็นตะวันออกในตะวันตก หรือพูดง่ายๆ คือ ละเลยรายละเอียดหลากหลายของสังคม

สาม ตรรกะแบบนี้นำไปสู่การหลงใหลในพวกเดียวกันเอง หลงใหลในระบบคุณค่าที่เชื่อว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของตนเอง และพาลเห็นว่าระบบคุณค่าของคนอื่น ของสังคมอื่น เลวร้ายไปด้วยกันไม่ได้กับของเรา ดังเช่นการไม่ยอมรับระบบคุณค่าแบบประชาธิปไตยเพียงเพราะเห็นว่าประชาธิปไตยเป็นของตะวันตก ไม่เข้ากับระบบคุณค่าของเรา ไม่ยอมรับว่าสิทธิมนุษยชน เสรีภาพในร่างกาย เสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญเหนือความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ เพราะเหมาเอาว่าความเป็นไทยเน้นสถาบันหลักเหนือประชาชน เหมาเอาว่าเสรีภาพประชาชนเป็นวิธีคิดตะวันตกที่เลวร้ายไม่เข้ากับสังคมไทย

วิธีคิดแบบนี้จึงไม่ได้ต่างอะไรกับที่ชาวตะวันตกกลุ่มหนึ่งใช้มองเชิงเหยียดชาวตะวันออกเพียงแต่เป็นการกลับตาลปัตรความคิดเท่านั้นเอง การยกย่องตนเองด้วยตรรกะคู่ตรงข้ามแบบนี้ก็เป็นการตกกับดักวิธีคิดที่ตนเองพยายามปฏิเสธนั่นเอง พูดอีกอย่างคือ ยังพายเรือวนเวียนอยู่ในอ่างความคิดแบ่งเขาแบ่งเรา เกลียดเขาบูชาเราอย่างไม่ลืมหูลืมตาอยู่นั่นเอง วิธีคิดนี้นำมาซึ่งปัญหามากมาย เนื่องจากไม่ยุติธรรมกับข้อเท็จจริงรายละเอียด และยังวางกรอบความคิดไว้แต่ต้นจนกระทั่งกำหนดกรอบการกระทำที่ตามมา ผลก็คือเราจะติดกับดักความคิดนี้อยู่อย่างนั้น ถอดไม่ออก ไม่สามารถก้าวข้ามกับดักความคิดว่า "ไทยตรงข้ามกับตะวันตก ประชาธิปไตยเป็นของตะวันตก และดังนั้นประชาธิปไตยไม่เข้ากับสังคมไทย" ได้

อีกตรรกะที่มักจะพบในวิธีคิดประชาธิปไตยแบบไทยคือ "สัมพัทธ์นิยมสามานย์" โดยทั่วๆ ไปแล้ว สัมพัทธ์นิยมเป็นแนวคิดที่ว่า อะไรก็ตามไม่ได้มีค่าความสมบูรณ์ในตัวเอง หากแต่มีค่าโดยเปรียบเทียบกับสิ่งอื่นๆ เสมอ คนสูง จึงไม่ได้หมายความว่าสูงที่สุด แต่สูงโดยเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ เท่าที่จะเห็นได้เท่านั้น คนดี ก็ไม่ได้ดีกว่าใครอื่นทั้งหมด แต่ดูดีกว่าคนที่เอามาเทียบกันเท่านั้น ความคิดลักษณะนี้ถูกนำมาใช้กับการวัดทางสังคมและวัฒนธรรมด้วย เช่น สังคมที่ดูซับซ้อนกว่า ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นสังคมที่มีพัฒนาการที่สูงกว่าสังคมอื่น แต่ที่ดูซับซ้อนกว่าก็เพราะมีปัจจัยจำเป็นภายในสังคมนั้นเองที่ต้องการความซับซ้อนบางด้าน ส่วนสังคมที่ดูเหมือนเรียบง่าย ก็ไม่ใช่ว่าด้อยพัฒนา แต่เพราะมีความต้องการพัฒนาการของสังคมในลักษณะนั้น และอันที่จริง สังคมที่ดูเหมือนเรียบง่ายก็มีความซับซ้อนในระบบสังคมและวัฒนธรรมเองอยู่เหมือนกัน

แต่เมื่อนำมาใช้อธิบายสังคมไทยตามวาทกรรมประชาธิปไตยแบบไทยตรรกะนี้ถูกนำมาบิดเบือนด้วยการสร้างวาทกรรมว่า สังคมไทยมีลักษณะเฉพาะของตนเอง มีพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของตนเอง แตกต่างจากสังคมตะวันตกที่ปัจจุบันพัฒนาไปเป็นสังคมประชาธิปไตย การที่สังคมไทยไม่เป็นประชาธิปไตยจึงไม่ได้เสียหายอะไร และไม่ได้ด้อยพัฒนากว่าสังคมประชาธิปไตยแต่อย่างใด ไม่จำเป็นและไม่ควรต้องทำให้สังคมไทยพัฒนาไปเหมือนสังคมตะวันตก ประชาธิปไตยจึงไม่จำเป็นกับสังคมไทย และการที่สังคมไทยไม่เป็นประชาธิปไตยก็ไม่ได้ทำให้สังคมไทยล้าหลังสังคมตะวันตก

การใช้วาทกรรมเช่นนี้เป็นการนำหลักการสัมพัทธ์นิยมมาใช้อย่างบิดเบือนหลักการสำคัญของแนวคิดสัมพัทธ์นิยมในการอธิบายสังคม-วัฒนธรรมต่างๆ นั้น อยู่ที่การยอมรับความเสมอภาคกันของสังคมที่แตกต่างกัน หลักนี้ไม่ยกย่องสังคม-วัฒนธรรมใด เหนือสังคม-วัฒนธรรมอื่น และถ้ายอมรับหลักการความเท่าเทียมกัน ก็จะต้องยอมรับไม่ใช่แต่เพียงว่าวัฒนธรรมไทยเท่าเทียมกับวัฒนธรรมตะวันตก แต่จะต้องยอมรับด้วยเช่นกันว่า ค่านิยม วัฒนธรรม และระบบคุณค่าของคนบ้านนอก คนต่างจังหวัด มีค่าเท่าเทียมกันกับของคนกรุงเทพฯ ดังนั้น หลักสัมพัทธ์นิยมจึงไปด้วยกันได้กับหลักคิดแบบประชาธิปไตย ที่โดยหลักการแล้วให้อำนาจประชาชนอย่างเท่าเทียมกัน และดังนั้นจึงต้องยอมรับการตัดสินใจทางการเมือง การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งของคนต่างจังหวัด 

กล่าวอีกอย่างคือ หากเห็นว่าสังคมไทยเท่าเทียมกับสังคมตะวันตก ก็จะต้องยอมรับด้วยว่า สังคมกรุงเทพฯ เท่าเทียมกับสังคมต่างจังหวัด คนกรุงเทพฯเท่าเทียมกับคนต่างจังหวัด "คนเท่ากัน" ไม่ว่าจะมีการศึกษามากน้อย หรือมีฐานะแตกต่างกันอย่างไรก็ตาม

การอ้างว่าสังคมไทยมีลักษณะเฉพาะและจึงต้องมีประชาธิปไตยแบบเฉพาะหรือไม่มีเลยก็ได้เพราะสังคมไทยไม่เคยมีประชาธิปไตยนั้น เป็นวาทกรรมที่สร้างขึ้นจากตรรกะวิบัติดังกล่าว วาทกรรมนี้สร้างขึ้นมาเพื่อค้ำจุนความเหลื่อมล้ำต่ำสูง เพื่อคงความได้เปรียบของคนกลุ่มหนึ่งไว้ มากกว่าที่จะถูกนำมาเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้สังคม วาทกรรมประชาธิปไตยแบบไทยจึงไม่เคยถูกเอ่ยจากปากผู้คนเบื้องล่างของสังคม วาทกรรมประชาธิปไตยแบบไทยจึงเป็นความเฉพาะเจาะจงของความเป็นไทย ที่อำพรางความอยุติธรรม ความเหลื่อมล้ำ และการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของประชาชนเอาไว้

 

(มติชนรายวัน 22 ธันวาคม 2557)

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
ขอแสดงความคารวะจากใจจริงถึงความกล้าหาญจริงจังของพวกคุณ พวกคุณแสดงออกซึ่งโครงสร้างอารมณ์ของยุคสมัยอย่างจริงใจไม่เสแสร้ง อย่างที่แม่ของพวกคุณคนหนึ่งบอกกล่าวกับผมว่า "พวกเขาก็เป็นผลผลิตของสังคมในยุค 10 ปีที่ผ่านมานั่นแหละ" นั่นก็คือ พวกคุณได้สื่อถึงความห่วงใยต่ออนาคตของสังคมไทยที่พวกคุณนั่นแหละจะต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อไปให้สังคมได้รับรู้แล้ว
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ปฏิกิริยาของสังคมต่อการกักขังนักศึกษา 14 คนได้ชี้ให้เห็นถึงการก้าวพ้นกำแพงความกลัวของประชาชน อะไรที่กระตุ้นให้ผู้คนเหล่านี้แสดงตัวอย่างฉับพลัน และการแสดงออกเหล่านี้มีนัยต่อสถานการณ์ขณะนี้อย่างไร
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ในโลกนี้มีสังคมมากมายที่ไม่ได้นับว่าตนเองเป็นกลุ่มชนเดียวกัน และการแบ่งแยกความแตกต่างของกลุ่มคนนั้นก็ไม่ได้ทาบทับกันสนิทกับความเป็นประเทศชาติ ชาว Rohingya (ขอสงวนการเขียนด้วยอักษรโรมัน เพราะไม่เห็นด้วยกับการออกเสียงตามภาษาพม่า) ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของกลุ่มคนที่ไม่ได้มีขอบเขตพื้นที่ที่อาศัยครอบครองอยู่ทาบกันสนิทกับขอบเขตพื้นที่ประเทศใดประเทศหนึ่ง 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ช่วงเวลาของการสัมภาษณ์นักศึกษาใหม่ในแต่ละปีถือเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ผมจะใช้อัพเดทความเปลี่ยนแปลงของสังคมหรือทำความเข้าใจสังคม จากมุมมองและประสบการณ์ชีวิตสั้นๆ ของนักเรียนที่เพิ่งจบการศึกษามัธยม ปีที่ผ่านๆ มาผมและเพื่อนอาจารย์มักสนุกสนานกับการตรวจสอบสมมติฐานของแต่ละคนว่าด้วยประเด็นต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องความขัดแย้งทางการเมือง บางทีก็ตรงกับที่มีสมมติฐานไว้บ้าง บางทีก็พลาดไปบ้าง 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อวาน (31 พค. 58) ผมไปเป็นเพื่อนหลานสาววัย 13 ปี ที่ชวนให้ไปเที่ยวงานเทศกาลการ์ตูนญี่ปุ่นที่โรงแรมแห่งหนึ่งแถวถนนสุขุมวิท ผมเองสนับสนุนกิจกรรมเขียนการ์ตูนของหลานอยู่แล้ว และก็อยากรู้จักสังคมการ์ตูนของพวกเขา ก็เลยตอบรับคำชวน เดินทางขึ้นรถเมล์ ต่อรถไฟฟ้าไปกันอย่างกระตือรือล้น
ยุกติ มุกดาวิจิตร
สนามบินที่ไหนๆ ก็ดูเหมือนๆ กันไปหมด อยู่ที่ว่าจะออกจากไหน ด้วยเรื่องราวอะไร หรือกำลังจะไปเผชิญอะไร ในความคาดหวังแบบไหน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
"ปับ เจียน ความ เจ้า ปัว ฟ้า" แปลตามตัวอักษรได้ว่า "หนังสือ เล่า เรื่อง เจ้า กษัตริย์ (แห่ง)ฟ้า" ซึ่งก็คือไบเบิลนั่นเอง แต่แปลเป็นภาษาไทดำแล้วพิมพ์ด้วยอักษรไทดำ อักษรลาว และอักษรเวียดนาม เมื่ออ่านแล้วจะออกเสียงและใช้คำศัพท์ภาษาไทดำเป็นหลัก
ยุกติ มุกดาวิจิตร
กรณีการออกเสียงชื่อชาว Rohingya ว่าจะออกเสียงอย่างไรดี ผมก็เห็นใจราชบัณฑิตนะครับ เพราะเขามีหน้าที่ต้องให้คำตอบหน่วยงานของรัฐ แต่ผมไม่เห็นด้วยกับการออกเสียงให้ตายตัวเบ็ดเสร็จว่าควรจะออกเสียงอย่างไรกันแน่ ยิ่งอ้างว่าออกเสียงตามภาษาพม่ายิ่งไม่เห็นด้วย ตามเหตุผลดังนี้ครับ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
วันนี้ (7 พค. 58) ผมสอนวิชา "มานุษยวิทยาวัฒนธรรม" ที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซินเป็นวันสุดท้าย มีเรื่องน่ายินดีบางอย่างที่อยากบันทึกไว้ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
มันคงมีโครงสร้างอะไรบางอย่างที่ทำให้ "ร้านสะดวกซื้อ" เกิดขึ้นมาแทนที่ "ร้านขายของชำ" ได้ ผมลองนึกถึงร้านขายของชำสามสี่เมืองที่ผมเคยอาศัยอยู่ชั่วคราวบ้างถาวรบ้าง
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อปี 2553 เป็นปีครบรอบวันเกิด 80 ปี จิตร ภูมิศักดิ์ มีการจัดงานรำลึกใหญ่โตที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อเอ่ยถึงจิตรทีไร ผมก็มักเปรยกับอาจารย์ประวัติศาสตร์จุฬาฯ ท่านหนึ่งว่า "น่าอิจฉาที่จุฬาฯ มีวิญญาณของความหนุ่ม-สาวผู้ชาญฉลาดและหล้าหาญอย่างจิตรอยู่ให้ระลึกถึงเสมอๆ" อาจารย์คณะอักษรฯ ที่ผมเคารพรักท่านนี้ก็มักย้อนบอกมาว่า "ธรรมศาสตร์ก็ต้องหาคนมาเชิดชูของตนเองบ้าง"
ยุกติ มุกดาวิจิตร
วันที่ 30 เมษายน 2558 เป็นวันครบรอบ 40 ปี "ไซ่ง่อนแตก"Ž เดิมทีผมก็ใช้สำนวนนี้อยู่ แต่เมื่อศึกษาเกี่ยวกับเวียดนามมากขึ้น ก็กระอักกระอ่วนใจที่จะใช้สำนวนนี้ เพราะสำนวนนี้แฝงมุมมองต่อเวียดนามแบบหนึ่งเอาไว้