Skip to main content

เรื่องไม่เป็นเรื่องบางครั้งก็ชวนให้น่ารำคาญ ทำให้ต้องมาคอยอารัมภบทออกตัวมากมาย ทั้งๆ ที่ไม่จำเป็น 

ลำพังผมน่ะ เกือบหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ไม่ได้รับเงินเดือนจากประเทศไทย ทำงานหามรุ่งหามค่ำที่ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ยังต้องจ่ายภาษีรายได้บางส่วนให้ประเทศไทย แถมกลับไปยังต้องใช้ทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอีกสองเท่าของเวลาที่ลามา ใครต่อใครในประเทศไทยจะไม่สนุกด้วยก็แล้วแต่ แต่ผมก็ยินดีรับหน้าที่ตามโอกาสที่ได้รับหลังการรัฐประหาร แม้จะทำให้พลาดโอกาสอื่นๆ ไปอีกมากก็ตาม 

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นช่วง spring recess คือการหยุดหนึ่งสัปดาห์ระหว่างภาคการศึกษาที่สองของมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา แต่ละมหาวิทยาลัยจะหยุดไม่ตรงกัน มหาวิทยาลัยวิสคอนซินที่ผมสอนอยู่น่ะ หยุดสัปดาห์ที่แล้ว ส่วนผมน่ะแค่หยุดสอน แต่ไม่ได้หยุดทำงาน เพราะต้องไปงานสัมมนาวิชาการสองงานติดๆ กัน  

แห่งหนึ่งคืองานประชุมประจำปีของสมาคมเอเชียศึกษา (AAS) ปีนี้เขาจัดที่เมืองชิคาโก หลังจากสอนเสร็จเย็นวันพฤหัสบดี ผมก็ลากกระเป๋าไปขึ้นรถบัส 3 ชั่วโมง ไปถึงชิคาโกแสนหนาวยามดึกดื่น แล้วอยู่ประชุม 3 วัน ผมเสนองานวันอาทิตย์ ซึ่งก่อนจะเสนองาน ก็ตระเตรียมเสียดึก เพราะกลัวว่าจะไม่เป็นระบบ ไม่ชัดเจน ด้วยเวลานำเสนอเพียง 20 นาที แต่เตรียมไปถึงตี 3 ของอีกวัน แล้วก็ต้องไปเสนองานตั้งแต่ 8 โมงเช้า ไม่อยากบอกก็คงต้องบอกให้รู้กันว่ามันไม่ได้สบายๆ เดินไปที่ประชุม แต่ผมต้องตื่น 6 โมง อาบน้ำแต่งตัว ขึ้นรถไฟ ต่อรถเมล์ เดินฝ่าลมหนาวไปโรงแรมที่ประชุมแต่เช้าเพื่อให้ทันเวลาเริ่มประชุม 

จากนั้นก็ดีหน่อยที่พอจะมีเวลาพักที่ชิคาโกอีก 1 วัน จึงได้ไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์อีก 2 แห่ง (เอาไว้ค่อยหาโอกาสมาเล่าใหม่) แล้วก็วิ่งไปเมืองบอสตันและเคมบริจด์ เพื่อไปร่วมประชุมทางวิชาการที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในอีก 2 วันถัดมา กว่าจะไปถึงก็ดึกดื่นเที่ยงคืนกว่า เพราะเครื่องบินล่าช้า ไปพักกับเพื่อนอาจารย์ที่จะประชุมด้วยกันหนึ่งคืน ก่อนที่วันรุ่งขึ้นจะลากกระเป๋าย้ายไปเข้าพักโรงแรมที่มหาวิทยาลัยจัดให้ ซึ่งดีที่อยู่ใกล้ที่ประชุมในวันถัดมา ในงานนี้ ผมร่วมนำเสนอด้วยคนหนึ่ง เป็นผลงานที่เริ่มศึกษาใหม่ และก็เป็นคนละเรื่องกันกับที่เสนอที่ชิคาโก

เอาล่ะ เล่าปูพื้นให้ดูดราม่าน่าเห็นใจกันบ้าง แทนการอวดชีวิตการดื่มกินความสำราญ ราวกับทิ้งการงานจากกรุงเทพฯ มาเที่ยวเล่นสนุกสนาน แล้วเมื่อไปพิพิธภัณฑ์แต่ละทีน่ะ มันก็เป็นการเป็นงานทั้งนั้น ถ้ามันยังไม่เป็นประโยชน์ในวันนี้ ก็จะเป็นในวันข้างหน้า ก็ช่วยไม่ได้ที่ประเทศไทยไม่ฉลาดพอที่จะสร้างพิพิธภัณฑ์เอาไว้ให้การศึกษากับประชาชน ผมก็เลยตื่นตาตื่นใจกับประเทศที่เขามีพิพิธภัณฑ์ไปทั่ว แม้กระทั่งในมหาวิทยาลัยบางแห่งอย่างที่ฮาร์วาร์ด (จะว่าอวดที่ได้มาก็ได้ เพราะอยากอวดสิ่งที่ดีๆ ถ้าไม่อยากรู้ ก็ไม่ต้องอ่านกัน ก็เท่านั้นเอง) 

ในระหว่างที่มีเวลาครึ่งวันที่เมืองเคมบริดจ์ ผมก็รบกวนเพื่อน ซึ่งก็คือดร.บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ (เป็นการรบกวนจริงๆ เพราะต้องพึ่งให้เขามาเหนื่อยและเสียเวลาเดินด้วย แถมยังได้เข้าฟรีในฐานะแขกของเพื่อนซึ่งไปเป็นนักวิชาการอาคันตุกะที่นั่น) เพื่อนพาเข้าชมพิพิธภัณฑ์ถึง 4 แห่งด้วยกัน รวมเข้ากับคราวก่อนที่ไป มฮ. แล้วก็รวมเป็นว่าได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ที่ มฮ. ถึง 5 แห่งด้วยกัน แต่ละแห่งผมไม่มีเวลาอ่านข้อมูลอะไรมากมายเพราะเวลาดูน้อยมาก เนื่องจากมีโอกาสอยู่ที่เมืองนี้ไม่กี่วันก็ต้องกลับมาสอนหนังสือต่อ 

แห่งแรกที่ไปคราวก่อนคือ Peabody Museum พิพิธภัณฑ์ชาติพันธ์ุวิทยาแห่งนี้สะสมของเกี่ยวกับชนพื้นเมืองอเมริกัน หรือชาวอเมริกันอินเดียนนั่นแหละ ของที่น่าสนใจมากสำหรับผมคือภาพวาดบันทึกชีวิตของชาวอินเดียน ที่มักวาดเกี่ยวกับการรบบนหลังม้า นอกจากนั้นก็มีเสาโทเทม แบบจำลองเล่าเกี่ยวกับพิธีกรรมบ้าง วิถีชีวิตที่น่าสนใจอย่างการล่าปลาวาฬบ้าง แล้วก็มีเครื่องมือเครื่องไม้ต่างๆ นอกจากนั้น พิพิธภัณฑ์นี้ยังมีอาวุธแปลกๆ จากที่ต่างๆ ทั่วโลก ผมเดาว่าเดิมคงเป็นของสะสมของใครสักคน อาวุธจากบางถิ่นน่าสนใจ อย่างอาวุธที่ทำจากฟันปลาฉลาม 

ในการมา มฮ. ครั้งที่สอง ผมเข้าชมพิพิธภัณฑ์อีก 4 แห่ง แห่งแรกคือ Semitic Museum เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ว่าด้วยโลกยุคโบราณของเขตวัฒนธรรมเซมิทิก ครอบคลุมชาวอิสราเอล อียิปต์ โฟนีเชียน อราเมียน บาบิโลเนียน อาหรับ และอื่นๆ พิพิธภัณฑ์นี้เอาของสะสมทั้งของอาจารย์ที่ฮาร์วาร์ดเอง และมีของจำลองจากของจริงจากที่ต่างๆ ทั่วโลก ที่น่าสนใจคือโลงไม้ที่ใช้บรรจุมัมมี่ ซึ่งน่าจะเป็นของจริง แต่สีสัน วัสดุ ดูคงทนมาก แม้ว่าจะตกทอดมาเป็นพันปี ในส่วนของวัตถุจำลอง เช่น หลักจารึกกฎหมายฮามูราบี ซึ่งเพื่อนที่พาไปอธิบายว่าเป็นกฎหมายที่จารึกเป็นชิ้นแรกของโลก วัตถุจำลองเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงว่า พิพิธภัณฑ์นี้น่าจะถูกใช้เพื่อการศึกษา ให้นักศึกษาได้เห็นของที่เสมือนของจริง ไม่ได้มุ่งเก็บของเก่าเท่านั้น 

 

 

แห่งต่อมาคือ Harvard Museum of Natural History ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่โตมาก มีวัตถุตามธรรมชาติและสิ่งประดิษฐ์จัดแสดงมากมาย นอกจากพิพิธภัณฑ์แร่ที่อุดมไปด้วยหินชนิดต่างๆ แล้ว ยังมีห้องแสดงแมลง ที่มีกระทั่งแมลงสาบหลากพันธ์ุ ห้องแสดงสัตว์สตัฟฟ์ กระดูกสัตว์ดึกดำบรรพ์ ที่มีกระทั่งกระดูกไดโนเสาร์ และที่โดดเด่นน่ามหัศจรรย์อีกอย่างคือ แก้วเป่าเป็นตัวอย่างพืชพันธ์ุต่างๆ ที่มีขนาด รูปทรง สีสัน สมจริงอย่างเหลือเชื่อ เพื่อนที่พาไปชมเล่าว่า มฮ. จ้างให้ช่างเป่าแก้วจำลองพืชพันธ์ุเหล่านี้เพื่อการศึกษาของมหาวิทยาลัยน่าสังเกตว่า แก้วเป่าจำลองพืชหลายๆ ชนิดที่แสดงอยู่นี้ มักเป็นพืชจากเขตร้อนชื้น ช่างเป่าทำได้เหมือนจริงมาก ทั้งอ่อนช้อย ทั้งละเอียดลออ และได้สัดส่วนที่งดงามสมจริงมาก 

จากนั้นผมไปชม Putnam Gallery ซึ่งไม่เชิงว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ แต่ก็เก็บสะสมและจัดแสดงอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ตั้งแต่ยุคเครื่องกลจนถึงยุคอิเล็คทรอนิก ที่น่าตื่นเต้นคืออุปกรณ์ยุคเครื่องกล บางชิ้นมีอายุเกือบ 200 ปีเลยทีเดียว อย่างอุปกรณ์ที่แสดงระบบสุริยจักรวาล อุปกรณ์เหล่านี้ผมดูไม่ค่อยเข้าใจ อ่านก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง เพียงแต่ทึ่งกับการเก็บสะสมเครื่องมือที่แสดงพัฒนาการของวิทยาศาสตร์และมหาวิทยาลัยไปพร้อมๆ กัน ทึ่งกับการที่วิทยาศาสตร์ยุคก่อนมีจินตนาการในการแสดงและค้นหาความจริงทางวัตถุที่เห็นหรือจับต้องไม่ได้ง่ายๆ  

แห่งสุดท้ายที่ไป ก่อนที่ทั้งผมและเพื่อนจะหมดเรี่ยวแรงและเราก็หมดเวลาสำหรับการเยี่ยมชม ก็คือ Fogg Museum of Art ถึงตอนนี้ทั้งสองคนเหนื่อยมากแล้ว ผมก็เลยเลือกดูเฉพาะห้องศิลปะยุคโมเดิร์น ซึ่งก็มีงานเด่นๆ ของศิลปินที่ชื่นชอบอยู่หลายชิ้น แค่ได้ดูงานของคนเหล่านี้ไม่กี่ชิ้นอย่างใกล้ๆ ชนิดได้เห็นรอยฝีแปรงและสีสันอย่างชัดเจน แถมถ่ายรูปได้ด้วย แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ที่จริงพิพิธภัฑณ์แห่งนี้ยังมีศิลปะวัตถุยุคอื่นๆ อีกมากมาย จัดแสดงในอาคาร 3-4 ชั้นก็ไม่รู้แน่ แต่เพราะเหน็ดเหนื่อยมากและหมดเวลาแล้ว ก็เลยต้องยกยอดเอาไว้เมื่อไหร่มีโอกาสมาอีกก็คงจะได้มาชมผลงานเหล่านั้นในชั้นอื่นๆ บ้าง 

 

หลังชมพิพิธภัณฑ์ได้ยังไม่ครบทั้ง 5 แห่ง ผมก็อุทานในใจแล้วว่า ผมยอมรับมหาวิทยาลัยแห่งนี้จริงๆ ที่ว่ามีชื่อเสียงน่ะ ไม่ใช่แค่ว่าเพราะความสามารถทางวิชาการ เงินทุนสูง เพียงเท่านั้น แต่ยังมีการสะสมความรู้ การลงทุนจัดแสดงต่อสาธารณะ การศึกษาจากวัตถุจริงและจำลอง การรักษาวัตถุเหล่านี้  

ผมว่า ลำพังพิพิธภัณฑ์ทางด้านชาติพันธ์ุวิทยา ด้านศิลปะ ด้านโบราณคดีเอเชียตะวันออกใกล้ ด้านธรรมชาติวิทยา และวิทยาศาสตร์ ทั้ง 5 แห่งนี้ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดก็นับได้ว่ามีขุมความรู้มากกว่าบางประเทศที่แทบไม่มีพิพิธภัณฑ์เหล่านี้สักแห่งเลยด้วยซ้ำ แถมที่มีอยู่ก็ล้วนแล้วแต่ด้อยคุณภาพทั้งวัตถุจัดแสดงและความรู้ในการจัดแสดงด้วยซ้ำ ที่พูดอย่างนี้ก็เพื่อให้ศึกษาจากเขาแล้วพัฒนาตนเอง ไม่ใช่ให้ต้องไปกราบกรานเชิดชูบูชาเขา

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
อันที่จริงผมก็นึกไม่ถึงว่าจะมีคนสนใจข่าวนี้กันมากนัก เรื่องอาจจะเป็นเพราะมีการใช้คำในการรายงานข่าวเบื้องต้นอย่างคลาดเคลื่อนไป ก็เลยทำให้เป็นที่น่าตกใจ แต่อีกนัยหนึ่งก็ชี้ให้เห็นปัญหาการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนจนกระทั่งเมื่อมีการแสดงการต่อต้านด้วยการปฏิเสธที่จะอยู่ใต้อำนาจกดทับนั้น คนก็จึงตอบรับกันอย่างกระหน่ำ อย่างไรก็ดี ผมก็อยากชี้แจงให้กระจ่างเพิ่มเติมว่า ทำไมผมจึงเลือกที่จะแสดงสถานภาพในการเดินทางมาต่างประเทศของผมในครั้งนี้เพิ่มเติมผ่านข้อเขียนนี้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เพิ่งผ่านมาเพียง 5 เดือนอาจจะยังเร็วเกินไปที่จะถามว่า หลังรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 แล้วขบวนการประชาชนจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่หากมองย้อนกลับไป แล้วมองไปข้างหน้าอีกสักหน่อย ก็น่าจะลองคิดถกเถียงกันบ้างว่า ขบวนการประชาชนน่าจะไปทางไหนต่อไป
ยุกติ มุกดาวิจิตร
TED รายการบรรยายสาธารณะที่มีชื่อเสียงและผมก็ติดตามเรียนรู้มาสม่ำเสมอ ได้เผยแพร่คลิปบรรยายของคีท เชน นักเศรษฐศาสตร์ที่เสนอข้อถกเถียงว่า ภาษามีความเชื่อมโยงกับการออมตั้งแต่เมื่อ 2 ปีที่แล้ว แต่ผมเพิ่งได้ยินเกี่ยวกับการศึกษานี้มาตั้งแต่ต้นภาคการศึกษานี้ในชั้นเรียนวิชามานุษยวิทยาภาษา ที่นักศึกษาคนหนึ่งเอ่ยถึงการศึกษานี้ และเพิ่งได้ดูด้วยตัวเองเมื่อ 3-4 วันก่อนนี้เอง เห็นว่าน่าสนใจดีก็เลยนำไปให้นักศึกษาดูและถกเถียงกันในชั้น 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
การอัตวินิบาตกรรมของคุณนวมทอง ไพรวัลย์ทำให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง นัยหนึ่งถือว่าเป็นการประท้วงต่อการรัฐประหาร อีกนัยหนึ่งถือเป็นการยืนยันความจริงจังและบริสุทธิ์ใจต่ออุดมการณ์ อีกนัยหนึ่งอาจปลุกเร้าสำนึกของผู้ร่วมอุดมการณ์ หรืออีกนัยหนึ่งก็เกรงว่าจะเป็นความสูญเสียที่สูญเปล่า
ยุกติ มุกดาวิจิตร
การสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยแตกต่างจากการสอนหนังสือในระดับโรงเรียนก็คงจะตรงที่ว่า ผู้สอนในระดับมหาวิทยาลัยไม่ได้เรียนการสอนมาก่อน อาจจะมีการอบรมเรื่องการเรียนการสอนบ้าง มีการประเมินผลให้ผู้สอนพิจารณาปรับปรุงตนเองบ้าง มีการประเมินตนเองบ้าง แต่ถึงที่สุดแล้ว ผู้สอนมีส่วนสร้างระบบการเรียนการสอนด้วยตนเอง
ยุกติ มุกดาวิจิตร
"อาร์บอรีทั่ม" (Arboretum) เป็นสวนพฤกษศาสตร์ขนาดใหญ่ร่วม 3 พันไร่ของมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน สวนนี้ไม่ได้ตั้งอยู่ในบริเวณที่ตั้งมหาวิทยาลัย แต่ก็อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก หากขยันเดิน สักชั่วโมงหนึ่งก็ถึง ถีบจักรยานไปก็สัก 20 นาที อาจเร็วกว่าขับรถที่ต้องเจอกับป้ายหยุด ทางแยก ไฟสัญญาณ กว่าจะถึงก็สัก 30 นาที
ยุกติ มุกดาวิจิตร
นักวิชาการมิได้มีสถานภาพพิเศษแตกต่างไปจากคนอื่นๆ ในสังคม เพียงแต่อาชีพนักวิชาการเป็นอาชีพที่ต้องพัฒนาความคิดความอ่านตลอดเวลา นักวิชาการจึงไม่ควรมีขอบเขตของความคิดความอ่าน พร้อมๆ กับที่ไม่ควรปิดกั้นขอบเขตของความคิดคนอื่น 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
กว่า 3 เดือนที่ผ่านมาผมไปชมการแสดงดนตรีไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ นึกเสียดายที่เมื่อ 10 กว่าปีก่อนที่มาเรียนไม่ค่อยมีโอกาสได้เข้าร่วมกิจกรรมเหล่านี้เลย เมื่อวานนี้ (ตามเวลาที่อเมริกา) ผมก็เพิ่งออกจากห้องแสดงดนตรีมา จนทำให้ผมคิดขึ้นมาได้ว่า นี่ผมอยู่ในโลกไหนกัน แล้วทำไมที่ที่ผมอยู่เป็นปกติเขาถึงไม่ทำสถาบันการศึกษาให้เป็นสถานที่บ่มเพาะความเจริญของจิตใจได้อย่างนี้บ้าง 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เดอร์ แรธสเคลเลอร์เป็นบาร์เบียร์ของมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน ตั้งอยู่ในตึกกิจกรรมนักศึกษา (ที่นี่เรียกว่า Memorial Union) ตึกกิจฯ นี้ตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1928 โน่นเลย บาร์เบียร์แห่งนี้ก็น่าจะอายุไม่น้อยไปกว่าตึกที่มันอาศัยอยู่เท่าใดนัก
ยุกติ มุกดาวิจิตร
สัปดาห์ที่ผ่านมาผมเข้าร่วมกิจกรรมสังคมวิชาการซ้ำซ้อนกันหลายงาน ตั้งแต่บรรยายเรื่องการทำวิจัยในเวียดนามให้นักศึกษาบัณฑิตศึกษาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ฟัง ต่อด้วยปาร์ตี้ประจำปีของศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาของมหา'ลัยวิสคอนซิน ซึ่งเป็นงานแบบ potluck party และก็ฟองดูปาร์ตี้เล็กๆ ที่บ้านอาจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งก็ไม่ใช่อะไรมากไปกว่าขนมปังจุ่มชีสต้มเดือด ทั้งหมดนั้นได้อะไรสนุกๆ มามากมาย
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผ่านมาได้ 3 สัปดาห์ วิชาที่ผมสอนที่วิสคอนซินเริ่มสนุกขึ้นเรื่อยๆ ในห้องมีนักเรียน 10 คน ขนาดพอๆ กับที่เคยสอนที่ธรรมศาสตร์ แต่ที่ต่างคือในห้องเดียวกันนี้มีทั้งนักเรียนปริญญาตรี โท และเอกเรียนร่วมกัน เพียงแต่ข้อกำหนดของงานและความคาดหวังจากนักเรียนระดับ ป.ตรีกับ ป.โท-เอก ย่อมแตกต่างกัน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ท่านถามอย่างนี้กับสื่อมวลชน ต่อหน้าสาธารณชน ใครเขาจะกล้าตอบ ก็ในเมื่อท่านมีปืนอยู่ในมือ ใครเอาปืนจี้หัวท่านไว้แล้วท่านจะตอบความในใจที่ขัดความรู้สึกเขาได้ไหมล่ะ เรื่องแค่นี้น่าจะเข้าใจนะ