Skip to main content

ด้วยชื่อเรื่องที่ไม่คุ้นหู และหน้าปกเป็นรูปน้ำตกกลางป่าสวยงาม วรรณกรรมเยาวชนเล่มนี้ชวนให้สะดุดใจและเปิดอ่าน ซึ่งก็ใช้เวลาอ่านไม่นานนักก็จบเล่มเพราะมีความหนาไม่ถึง 50 หน้ารวมภาพประกอบ


"เจ๊าะเกอโด่ เด็กบ้านดอย" เป็นอีกเล่มหนึ่งที่ผ่านการคัดสรรจากโครงการวรรณกรรมเยาวชนรางวัลพระราชทาน แว่นแก้ว จัดพิมพ์โดยไม่กลัวขาดทุนโดย "นานมีบุ๊ค" เจ้าเก่า และเรียบเรียงโดย "อุดร วงษ์ทับทิม"


วรรณกรรมเรื่องนี้กล่าวถึงความเป็นอยู่ของ "ปาเกอะญอ" ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งที่อาศัยอยู่ตามเชิงเขาหรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า "ชาวเขา" ผ่านสายตาของคนที่ไม่ใช่ "คนใน" หรือไม่ใช่ชาว "ปาเกอะญอ" จะมากจะน้อยเรื่องเล่าเกี่ยวกับชาว "ปาเกอะญอ" จึงผ่านการ "ตีความ" แล้ว


อย่างไรก็ตาม จากเนื้อหาแล้วแสดงให้เห็นว่าผู้เรียบเรียงใกล้ชิดผูกพันกับชาว"ปาเกอะญอ" ดีพอสมควร คลุกคลีอยู่นานพอที่จะรู้จักลำนำ นิทานหลายบทและออกจะชื่นชมวัฒนธรรมของชาว "ปาเกอะญอ" อยู่ไม่น้อย


"เจ๊าะเกอโด่" คือชื่อของเด็กชายชาว "ปาเกอะญอ" แห่งบ้าน "กะชอเร" ที่ได้รับการปลูกฝังให้ภาคภูมิในคุณค่าวัฒนธรรมของตนเองจากปู่ ย่า ผู้อาวุโสในหมู่บ้าน เขาไม่มีความน้อยเนื้อต่ำใจในการเป็น "ชนกลุ่มน้อย" หรือเป็น "ชาวเขา" หากแต่ยินดีที่จะสืบทอดคุณค่าดั้งเดิมที่สั่งสมมาหลายชั่วอายุคน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการนับถือผีตามแบบอย่างบรรพบุรุษในขณะที่ "ปาเกอะญอ" หลายครอบครัวเปลี่ยนไปเข้ารีตกับศาสนาใหม่เพราะแรงจูงใจทางด้านสังคมสงเคราะห์ และแรงยั่วเย้าของความทันสมัย


ความเป็นอยู่และกิจกรรมในชีวิตประจำวัน

ของชาว "ปาเกอะญอ" ตามเนื้อเรื่องนั้นมีลำธาร

เป็นแกนกลางที่คอยหล่อเลี้ยงและให้บทเรียนแก่ชีวิต


"เจ๊าะเกอโด่รู้สึกว่าแม่พลอโกรคือสายน้ำ

แห่งความรัก และสันติสุขที่ธรรมชาติได้มอบให้

แก่พี่น้องปาเกอะญอแห่งบ้านกะชอเรทุกคน

โดยไม่แบ่งแยกว่าใครจะอยู่ฟากฝั่งไหนของแม่น้ำ

จะยังคงนับถือผีตามอย่างปู่ย่าตาทวด

หรือว่าแปรเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่นใด" (หน้า 26)


ลำธารสอนให้รู้จักการอ่อนน้อมถ่อมตน

ต่อธรรมชาติซึ่งมนุษย์ต้องพึ่งพาและมอบความรักให้ทุกคนอย่างเท่าเทียมโดยไม่แบ่งแยกศาสนา เชื้อชาติ


ปาเกอะญอรุ่มรวยด้วยลำนำ เรื่องเล่าที่เป็นนิทานสอนใจซึ่งเป็นกลวิธีหนึ่งในการปลูกฝังเด็ก ๆ มีลำนำอยู่บทหนึ่ง ซึ่งให้ข้อคิด น่าสนใจ

"แม่น้ำสาละวิน หลงตัวว่าใหญ่เอง"

"แม่น้ำโขงใหญ่ หลงตัวว่าใหญ่เอง"

"ใหญ่เพราะห้วยเล็ก ๆ ไหลลงสู่"

"เล็ก ๆ ไม่ไหลลงสู่ ใหญ่ ๆ ก็จะขอดแห้ง" (หน้า 18)


ความน่าสนใจของ "เจ๊าะเกอโด่ เด็กบ้านดอย" น่าจะอยู่ที่ความเรียบง่าย ใสสะอาดของการดำเนินชีวิต ความงดงามแห่งธรรมชาติ คุณค่าแห่งชีวิตดั้งเดิมที่คนรุ่นหลังควรจะสืบทอดและความรุ่มรวยทางด้านวัฒนธรรม ตลอดจนความรอบรู้ของผู้เรียบเรียงเกี่ยวกับวัฒนธรรมของชาว "ปาเกอะญอ"


อย่างไรก็ตาม วรรณกรรมเยาวชนแล่มนี้มีส่วนที่จะเพิ่มเติมและปรับปรุงในหลาย ๆ ส่วนด้วยกันคือ

1.เนื้อหา ดูเหมือนว่า "เจ๊าะเกอโด่ เด็กบ้านดอย" จะเป็นวรรณกรรมที่ไม่มี "โครงเรื่อง" (plot) ไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีปมให้คลี่คลาย ไม่มีจุดจบของเรื่อง ผู้เรียบเรียงได้แต่เล่าไปเรื่อย ๆ เหมือนไม่รู้จะเล่าอะไร ซึ่งทำให้ "เจ๊าะเกอโด่ เด็กบ้านดอย" ขาดความน่าติดตามเพราะไม่มีอะไรให้ต้องติดตาม


2.ความเชื่อมโยง จากการที่ "เจ๊าะเกอโด่ เด็กบ้านดอย" ไม่มีโครงเรื่อง จึงทำให้ในแต่ละบทขาดความเชื่อมโยง ไม่มีทิศทางและเป้าหมาย มีแต่การบรรยายฉากและรำพึงรำพันไปเรื่อย ๆ เท่านั้น


ผมอยากจะขอยกตัวอย่างโครงเรื่องหรือ plot ที่สามารถจะใส่เข้าไปในวรรณกรรมเล่มนี้ได้ เช่น การต่อสู้เพื่อปกป้องวัฒนธรรมดั้งเดิมจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว หรือ ความพยายามที่ตัวละครที่จะหาทางเรียนต่อในระดับสูง ๆ ขึ้น หรือการเดินทางเพื่อไปหาแหล่งต้นน้ำ ในระหว่างทางอาจพบเจอกับเรื่องสนุก ๆ ได้ผจญภัยระหว่างเดินทางพอหอมปากหอมคอ


3.ความสนุกสนาน ความมีชีวิตชีวา จาก 2 ประการในข้างต้นส่งผลให้ "เจ๊าะเกอโด่ เด็กบ้านดอย" ขาดความมีชีวิตชีวาและไม่สนุก ไม่มีอะไรให้ลุ้น


กระนั้นก็ตาม ขอให้กำลังใจและหวังว่าคงจะได้อ่านวรรณกรรมเยาวชนจากผู้เรียบเรียงท่านนี้อีก.

 

 

 

บล็อกของ นาลกะ

นาลกะ
วรรณกรรมจากแดนไกลเล่มนี้ คงไม่ใช่วรรณกรรมเยาวชนในความหมายที่เหมาะสำหรับการส่งเสริมจินตนาการและการผจญภัยอันสนุกสนานของเด็ก ๆ ในแบบเดียวกับ “แฮร์รี่ พอตเตอร์” แม้ว่าชื่อเรื่องจะฟังดูชวนฝัน เสริมสร้างจินตนาการแบบเดียวกับ “เจ้าชายน้อย” ของ อังตวน เดอ เซงเตก ซูเปรี ก็ตาม ตรงกันข้ามทีเดียวนี่เป็นวรรณกรรมที่เหมาะสำหรับนักอ่านประเภท “ฮาร์ดคอร์” โดยแท้ ซึ่งวรรณกรรมประเภทนี้เนื้อหาสาระจะนำมาซึ่งความบันเทิงประทับใจ เนื้อหาสาระอันเข้มข้นและลีลาลูกเล่นในการเล่าเรื่องต่างหากที่จะก่อให้เกิดความบันเทิงเริงใจ ไม่ใช่สาระบันเทิงแบบรายการ “ตาสว่าง” ที่ดูแล้วชวนให้มืดมัวด้วยอคติและความไม่เข้าใจมากยิ่งขึ้น…
นาลกะ
เคยได้ยินชื่อ “ขบวนการนกกางเขน” มานานแล้ว แต่ไม่เคยรู้ว่าคืออะไร จนกระทั่งเห็นหนังสือชื่อเดียวกันนี้วางอยู่บนชั้นและลงมืออ่าน จึงได้รู้ว่า “ขบวนการนกกางเขน” เป็นวรรณกรรมเยาวชนต่างประเทศที่แปลโดย “แว่นแก้ว” “ขบวนการนกกางเขน” เป็นทั้งชื่อหนังสือและชื่อเรียกของกลุ่มตัวละครเด็ก ๆ ในเรื่อง เด็ก ๆ ถูกวาดให้มีหลากหลายบุคลิก ตั้งขบวนการ รวมตัวกันหาเรื่องสนุก ๆ ทำ จนกระทั่งเข้าไปผจญภัยในห้องใต้ดินและนำไปสู่การค้นพบขุมทรัพย์ในที่สุด ความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้น่าจะอยู่ที่ผู้แปลมากกว่าผู้เขียน  สำหรับผู้เขียนชาวฝรั่งเศสคือ Madeleine Treherne  ตั้งชื่อหนังสือเล่มนี้ในภาคฝรั่งเศสว่า Rossignols…
นาลกะ
“ดิบส์ลูกรัก แม่และพ่อขอโทษ”1 แปลมาจากเรื่อง “Dibs In Search of Self” เป็นหนังสือเกี่ยวกับเด็กที่ไม่ใช่นวนิยายที่จัดได้ว่าเป็น Bestseller  อย่างไรก็ตามหนังสือเรื่องนี้อ่านสนุกน่าติดตามราวกับเป็นวรรณกรรมเยาวชน (จะว่าไปเรื่องราวของเด็ก ๆ ก็เป็นวรรณกรรมในตัวมันเองอยู่แล้ว)ผมเจอหนังสือเล่มนี้โดยบังเอิญในห้องสมุด อ่านเพียงผ่าน ๆ แต่แรงดึงดูดบางประการทำให้วางไม่ลงและอ่านต่อไปด้วยความเพลิดเพลินจนจบ ผิดกับหนังสือหลายเล่มที่ในระยะหลังผมมักจะอ่านไม่จบ ไม่ใช่ไม่มีเวลา แต่ไม่มีแรงดึงดูดให้อ่าน แต่สำหรับเรื่อง “ดิบส์ลูกรัก แม่และพ่อขอโทษ” นี้เป็นข้อยกเว้นจริง ๆ“ดิบส์ลูกรัก แม่และพ่อขอโทษ”…
นาลกะ
 อนาโตล ฟรองซ์  เขียนไกรวรรณ  สีดาฟอง แปลอนาโตล ฟรองซ์ นักเขียนชาวฝรั่งเศสได้รับรางวัลโนเบล สาขาวรรณกรรมในปี 1921 เขาเป็นชาวปารีส กำเนิดมาท่ามกลางกองหนังสือเก่าของบิดา เขากลายเป็นนักเขียนแถวหน้าด้วยผลงานเรื่อง “ซิลเวอร์แตร์ บงนาร์ด” (1881)  หลังจากนั้นก็สร้างสรรค์นวนิยายออกมาหลายชิ้นที่โด่งดังมากก็คือ “หมู่เกาะนกเพ็นกวิน” (1908) นวนิยายเชิงเสียดสีที่มีฉากหลังเป็นการปฏิวัติฝรั่งเศสที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นวรรณกรรมชิ้นเยี่ยมเล่มหนึ่งของศตวรรษ 20ผลงานเรื่อง “หมู่เด็กแห่งทุ่งดอกไม้”  เขียนขึ้นตอนบั้นปลายของชีวิตของเขา น่าสังเกตว่าหลังจากเขียนงานวรรณกรรมประเภท “สร้างสรรค์…
นาลกะ
“รพินทรนาถ ฐากูร” เขียน“วิทุร  แสงสิงแก้ว” แปล“ปรีชา  ช่อปทุมมา” แปล“เยี่ยมหน้าให้เขายล อ้ายหนูเอ๋ย เพื่อว่าพวกเขาจะได้ซึมซาบในความหมายแห่งสรรพสิ่ง จงทำตัวให้พวกเขารักเพื่อว่าพวกเขาจะได้รู้จักรักใคร่ซึ่งกันและกันบ้าง”(สำนวนแปลของปรีชา ช่อปทุมมา)
นาลกะ
 จอห์น  โฮลท์  เขียนกาญจนา  ถอดความหนังสือเล่มนี้พูดถึงเด็ก ๆ ทั้งหลายที่อาศัยอยู่ร่วมในสังคมเดียวกับพวกเรา โดยต้องการพิจารณาดูว่าเด็กทั้งหลายนั้นถูกจัดวางให้อยู่ในตำแหน่งแห่งที่ใดในสังคม (หรือสังคมปัจจุบันอาจจะไม่ได้มีที่ว่างไว้ให้พวกเด็ก  ๆ เลย?)  ผู้เขียนมีทัศนะที่ก้าวหน้ามากในประเด็นที่รายล้อมอยู่รอบตัวเด็ก และเต็มไปด้วยการวิพากษ์วิจารณ์ค่านิยม ความเชื่อและพฤติกรรมที่มีผู้ใหญ่มีต่อเด็กอย่างถึงรากถึงโคนจนบางคนอาจจะรับไม่ได้ นอกจากหนังสือเล่มนี้ที่แปลมาจาก Escape from Childhood แล้วผู้เขียนซึ่งเคยเป็นครู มีประสบการณ์ในการคลุกคลีกับเด็กมายาวนาน  …
นาลกะ
อาการป่วยของแม่ทุเลาลง แต่ยังไม่หายเป็นปกติเพราะโรคฉวยโอกาสบางชนิดที่ยังทำให้แม่อ่อนเพลีย คุณหมอมาดูแลอาการของแม่บ่อยครั้ง คุณหมอจะยิ้มอย่างปลอดโปร่งใจทุกครั้งเมื่อตรวจดูอาการของแม่เสร็จ สายรุ้งไม่แน่ใจว่ารอยยิ้มของคุณหมอมีความหมายว่าอะไร อาจหมายถึงว่าแม่จะกลับมามีสุขภาพแข็งแรงดังเดิมหรือเพื่อปลอบใจสายรุ้งกันแน่ หรือว่าคุณหมอที่ไหน ๆ ต่างก็มีรอยยิ้มลักษณะเช่นนี้“แม่ผมเป็นยังไงบ้างครับ”คุณหมอทำท่าตรึกตรองราวกับกำลังหาคำอธิบายที่เหมาะ ๆ นั่นยิ่งทำให้สายรุ้งรู้สึกกังวลหนักขึ้น“หนูต้องดูแลแม่ดี ๆ นะ” คุณหมอตอบ “หนูรู้ไหมว่าหนูมีส่วนอย่างมากในการทำให้คุณแม่หายจากอาการป่วยไว ๆ” “…
นาลกะ
คุณตาและน้ามลมาที่บ้านสายรุ้งบ่อยขึ้น เพราะแม่ของสายรุ้งไม่สบาย แม่เป็นลมหมดสติขณะกำลังทำงาน โชคดีที่ตอนนั้นสายรุ้งอยู่ที่บ้านด้วย สายรุ้งตกใจมากที่เห็นแม่ล้มลงและหมดสติเขาวิ่งไปตามคุณตาและน้ามลสายรุ้งไม่เข้าใจเลยว่าแม่ล้มป่วยได้อย่างไรในเมื่อดูแลตัวเองดีมาโดยตลอด  แม่เคร่งครัดต่อวิถีชีวิตประจำวันอย่างมาก นอนและตื่นตรงเวลาเหมือนกันทุกวัน ระวังให้ไม่โดนแดด โดนฝน แม่เลือกทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเท่านั้น อาหารที่ผ่านการหมักดองแม่ไม่ทานเด็ดขาด ผัก ผลไม้ที่ซื้อมาจากตลาดแม่ล้างแล้วล้างอีก อาหารทอดหรือปิ้งย่าง แม่ก็ไม่ทาน ทั้งแม่ยังออกกำลังกายเป็นประจำอีกด้วย…
นาลกะ
วันเวลาเคลื่อนคล้อยไปจนใกล้สิ้นปี สายรุ้งและแม่ผ่านวันเวลาร่วมกันมาอย่างกล้าหาญ เช่นเดียวกับต้นไม้ที่ยืนหยัดอยู่ท่ามกลางลมพายุ รู้จักการโอนเอนตามแรงลมเมื่อพายุกระหน่ำหนักในขณะที่รากนั้นยึดเกาะดินไว้อย่างมั่นคงสายรุ้งมีอายุเพิ่มมากขึ้นอีกปี การผ่านวันเวลาไปจนมีอายุเพิ่มขึ้นหนึ่งปีนั้นอาจเป็นเรื่องปกติสำหรับคนอื่น ๆ แต่สำหรับแม่ของสายรุ้งแล้ว เธอรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่มีความหมาย และความสำคัญอย่างยิ่งยวด เธอตระหนักถึงคุณค่าของแต่ละวินาที และรู้ว่ากาลเวลาในหนึ่งวินาทีของเธอกับของคนอื่นนั้นแตกต่างกันด้วยเหตุว่าเธอมีมาตรวัดความยาวนานของเวลาต่างออกไป ส่วนสายรุ้งอาจยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจในเรื่องนี้ “…
นาลกะ
สายรุ้งก็เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ที่เพลิดเพลินกับการเล่นเกมคอมพิวเตอร์  เกมที่มีภาพสวยงามดึงดูดสายตาและสามารถติดต่อสัมพันธ์ คุยเล่นสนุกกับคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนได้ผ่านการเชื่อมต่อกับโลกไซเบอร์ การสร้างสีสันสวยงามเกินจริง การออกแบบฉากที่อลังการ ไม่ว่าจะเป็นตึกอาคาร ตัวสัตว์ประเภทต่าง ๆ  และความน่าตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่ปรากฏในเกม ยั่วเย้าเร้าความสนใจของสายรุ้งและเด็กคนอื่นๆ จนไม่อาจต้านทานได้หากเล่นเกมที่ร้านเกมซึ่งมีเด็กๆ ไปชุมนุมกันนั้น สายรุ้งจะนั่งเล่นไม่นานนัก แค่เพียงชั่วโมงหรือสองชั่วโมงเท่านั้น เพราะแม่ไม่ต้องการให้เขาขลุกอยู่ที่ร้านเกมนานเกินไป…
นาลกะ
เมฆฝนตั้งเค้าทำท่าเหมือนว่าจะเทน้ำลงมา แต่ก็ไม่เคยหล่นลงมาสักหยด สายลมจะพัดพาเมฆให้ลอยไปที่อื่น จากนั้นท้องฟ้าก็จะปลอดโปร่งเหมือนเดิม ชาวสวนที่เฝ้ารออยู่แหงนหน้าขึ้นฟ้าหวังจะได้เห็นเม็ดฝนโปรยปราย เมล็ดพืชที่หว่านไว้รอเพียงฝนแรกเท่านั้นก็จะแทงยอดอ่อนออกมาท้องฟ้าครึ้ม เมฆสีดำลอยต่ำและบดบังความร้อนแรงแห่งแสงอาทิตย์ อากาศยามสายขมุกขมัว  “วันนี้ฝนจะตก” ตาพูดกับเด่นและสายรุ้ง “ดูฝงมดพวกนั้นสิพากันอพยพเพราะมันรู้ว่าน้ำจะเจิ่งนองท่วมรังของมัน” สายรุ้งแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ท้องฟ้าช่างดูอึดอัดด้วยบรรยากาศอันอึมครึม นกฝูงบินตัดก้อนเมฆที่คล้อยลงต่ำ“เราจะได้เล่นน้ำ” เด่นว่าแล้วฝนก็เทลงมาจริงๆ…
นาลกะ
วันนี้เพื่อนร่วมชั้นเรียนคนหนึ่งของสายรุ้งมาโรงเรียนสาย พอครูถามเขาก็ตอบว่าที่บ้านเขากำลังมีปัญหา พ่อของเขาป่วยหนัก เมื่อสายรุ้งเห็นแววตาเศร้าสร้อยของเพื่อนนักเรียนคนนั้นแล้วรู้สึกสงสารจับใจ เพื่อนนักเรียนกำลังจะร้องไห้อยู่แล้วตอนที่ตอบคำถามของครู เป็นไปได้ว่าสายรุ้งอาจกำลังคิดถึงตัวเองที่สูญเสียพ่อไปตั้งแต่ยังเล็ก แล้วก็เลยเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนนักเรียนคนนั้นดีว่าจะต้องเสียใจมากเพียงใดหากพ่อของเขาต้องมีอันเป็นไป อย่างไรก็ตาม เด็กบางคนไม่ได้รู้สึกอย่างที่สายรุ้งรู้สึก ความทุกข์ใจของเพื่อนนักเรียนอันเนื่องมาจากความเจ็บป่วยของพ่อซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัวนั้น…