Skip to main content

20080429 
อนาโตล ฟรองซ์  เขียน
ไกรวรรณ  สีดาฟอง แปล

อนาโตล ฟรองซ์ นักเขียนชาวฝรั่งเศสได้รับรางวัลโนเบล สาขาวรรณกรรมในปี 1921 เขาเป็นชาวปารีส กำเนิดมาท่ามกลางกองหนังสือเก่าของบิดา เขากลายเป็นนักเขียนแถวหน้าด้วยผลงานเรื่อง “ซิลเวอร์แตร์ บงนาร์ด” (1881)  หลังจากนั้นก็สร้างสรรค์นวนิยายออกมาหลายชิ้นที่โด่งดังมากก็คือ “หมู่เกาะนกเพ็นกวิน” (1908) นวนิยายเชิงเสียดสีที่มีฉากหลังเป็นการปฏิวัติฝรั่งเศสที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นวรรณกรรมชิ้นเยี่ยมเล่มหนึ่งของศตวรรษ 20

ผลงานเรื่อง “หมู่เด็กแห่งทุ่งดอกไม้”  เขียนขึ้นตอนบั้นปลายของชีวิตของเขา น่าสังเกตว่าหลังจากเขียนงานวรรณกรรมประเภท “สร้างสรรค์” มามากมายแล้วเขาก็กลับไปเขียนเรื่อง “เด็ก” ที่ดูเหมือนว่าแสนจะธรรมดา

“หมู่เด็กแห่งทุ่งดอกไม้” จัดพิมพ์ในภาคภาษาไทยครั้งแรกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2521 โดยสำนักพิมพ์ “ทิวสน” แล้วก็ใช้เวลายาวนานกว่าสองทศวรรษจึงได้มีการจัดพิมพ์ขึ้นอีกครั้ง ต้องขอบคุณสำนักพิมพ์   ”เส้นทางวรรณกรรม”  ที่อาจหาญพิมพ์ซ้ำเป็นครั้งที่สองในปี พ.ศ. 2545  อย่างน้อยก็เป็นการยืนยันว่าท่ามกลางธุรกิจหนังสือที่มีการแข่งขันไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าธุรกิจอื่น ๆ ยังมีคนทำหนังสือที่มีรสนิยมอยู่บ้างแม้จะเป็นส่วนน้อยก็ตาม

นอกจากผู้เขียนและผู้แปลแล้ว อันที่จริงควรจะให้เครดิตผู้วาดภาพประกอบด้วยเช่นเดียวกัน ภาพประกอบช่วยให้เรื่องราวในหนังสือน่าสนใจขึ้นมาก แต่ทางสำนักพิมพ์ก็ไม่ได้ระบุชื่อคนวาดภาพประกอบ

“หมู่เด็กแห่งทุ่งดอกไม้” เขียนเป็นตอนๆ ที่แต่ละตอนไม่เกี่ยวเนื่องกันแต่ก็พูดถึงเรื่องราวในชีวิตประจำวันของเด็กๆ เหมือนกัน  เด็กๆ แห่งท้องทุ่งชนบทของประเทศฝรั่งเศสที่เติบโตผูกพันกับดอกไม้ สัตว์เลี้ยง การเป็นชาวนา  

หากมองดูเผิน ๆ กิจกรรมของเด็ก ๆ ที่นำมาถ่ายทอดนั้นช่างปกติธรรมดามาก ไม่มีอะไรในชีวิตประจำวันโลดโผนน่าตื่นเต้นเลยแม้แต่น้อย เช่น ความสัมพันธ์และความเห็นอกเห็นใจระหว่างเด็กหญิงกับสุนัขที่สามารถสื่อสารกันรู้เรื่องแม้ไม่ต้องใช้ถ้อยคำ การแย่งคันเบ็ดตกปลาที่มีอยู่คันเดียวของสองพี่น้อง การช่วยกันเก็บใบ้ไม้แห้งของสองพี่น้องเพื่อให้แม่ใช้สำหรับเป็นเชื้อเพลิงในหน้าหนาวที่กำลังจะมาถึง

“…เด็ก ๆ ทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง เด็กชายทำงานเงียบ ๆ
เขาเป็นลูกชายชาวนา อีกไม่ช้าก็จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่
และชาวนานั้นไม่พูดมาก ผิดกับลูกสาวชาวนาตัวน้อย ๆ
ที่ส่งเสียงแจ้ว ๆ ขณะเก็บใบไม้...”


ผู้เขียนเลือกที่จะนำเอาความปกติธรรมดามาถ่ายทอด อันสะท้อนให้เห็นถึงชีวิตและความสัมพันธ์ที่เรียบง่ายของเด็ก ๆ กับสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัว แม้จะเขียนเป็นร้อยแก้ว แต่ก็เหมือนกับอ่านบทกวี ที่ต้องค่อย  ๆ อ่าน ค่อย ๆ ปล่อยให้ตัวอักษรไหลซึมเข้าเข้าไปในความรู้สึกนึกคิดจนกลายเป็นภาพแห่งจินตนาการ

ตอนอ่านวรรณกรรมเรื่องนี้ครั้งแรก แวบแรกเกิดความรู้สึกแบบเดียวกับที่อ่าน “เจ้าชายน้อย” ครั้งแรกว่า “ไม่เห็นมีอะไร” อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปและอยู่ในภาวะจิตใจที่ปรอดโปร่งพร้อมเปิดรับอะไรที่มันละเอียดอ่อน การอ่าน “หมู่เด็กแห่งทุ่งดอกไม้”  อีกครั้งทำให้มองเห็นสิ่งที่มองไม่เห็นในตอนอ่านครั้งแรก

นี่จึงเป็นหนังสือสำหรับความสบายใจ ไม่ใช่สำหรับการ “อ่านเอาเรื่อง” การอ่านอย่างเร่งรีบเพื่อ “เอาความ” นั้นจะทำสูญเสียอรรถรสไปอย่างน่าเสียดาย

“หมู่เด็ก” และ” ทุ่งดอกไม้” นั้นงดงามดุจเดียวกัน เด็ก ๆ ที่จับกลุ่มเล่นหัวกันอย่างเพลิดเพลินนั้นก็เช่นเดียว “ทุ่งดอกไม้” ที่เริงรำเล่นลม ความสวยงามของดอกไม้และความมีชีวิตชีวาของเด็กคือสุนทรีย์ที่ให้แรงดลใจอย่างไม่มีอะไรเปรียบ

ในที่นี้จะขอยกตอนที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างเด็กหญิงกับสุนัข แม้จะธรรมดาแต่มันก็ไม่ธรรมดาที่ทำให้เรื่องราวง่าย ๆ กลายเป็นวรรณกรรมได้

แจ๊คเกอลินกับมิโร

แจ๊คเกอลินกับมิโรเป็นเพื่อนกัน เธอเป็นเด็กน้อยส่วนมันเป็นหมาใหญ่ ทั้งคู่อาศัยอยู่ในชนบท มีความผูกพันอย่างลึกซึ้ง รู้จักกันมานานแค่ไหนไม่มีใครรู้ มันเกินกว่าความทรงจำของเด็กกับหมา ทั้งคู่เองก็ไม่อยากรู้ด้วยและไม่อยากรู้อะไรทั้งนั้น

พวกเขาเป็นเพื่อนกันมานานแล้ว นับตั้งแต่เริ่มมีสิ่งต่าง ๆ ทั้งคู่ไม่รู้ว่ามีจักรวาลอยู่ก่อนแล้ว ในความคิดของเด็กและหมา  โลกอ่อนเยาว์เรียบง่ายและซื่อใสเหมือนกัน

มิโรตัวโตและแข็งแรงกว่าแจ๊คเกอลินมาก เมื่อยกขาหน้าขึ้นพาดบ่าเธอ หน้าอกมันสูงกว่าเด็กหญิงเสียอีก มันสามารถกลืนกินเธอหมดในสามคำ แต่มันก็รู้ มันสัมผัสความดีงามในตัวเธอได้ แม้ยังเด็กเธอก็ยังมีคุณค่า มันชื่นชมเธอ มันเลียหน้าเธอด้วยความจงรักภักดี

แจ๊กเกอลินก็รักมิโร มันแข็งแรงและใจดี เธอนับถือสุนัข มันรู้ความลี้ลับมากมาย เธอเชื่อว่าในชาติก่อนมันเกิดเป็นมนุษย์อาศัยอยู่อีกใต้ท้องฟ้า เป็นเจ้าแห่งทุ่งหญ้าป่าเขา

แต่แล้ววันหนึ่ง แจ๊กเกอลินก็ประหลาดใจและฉงนสนเทห์ เธอเห็นมิโรเจ้าสุนัขผู้น่าเกรงขามถูกล่ามโซ่ไว้กับต้นไม้ข้างบ่อน้ำ เธอมองสุนัขด้วยความสับสน

สุนัขมองเธอด้วยสายตาซื่อสัตย์ มันใส่ปลอกคอและโซ่โดยไม่แสดงอาการขัดขืนและคับแค้นเลย แต่เด็กหญิงลังเลไม่กล้าเข้าใกล้ เธอยอมรับไม่ได้ว่าสหายผู้สง่างามและล้ำลึกกลายเป็นนักโทษ

ความเศร้าหมองครอบครองจิตใจอันอ่อนเยาว์ของเด็กหญิง.

อ่าน “วรรณกรรมเด็ก” เล่มนี้แล้วนี้บางทีอาจฉุกคิดได้ว่าความงดงามนั้นสามารถหาได้ง่าย ๆ แค่เพิ่มความสนใจต่อเรื่องราวของเด็ก ๆ มากขึ้นอีกสักเล็กน้อยเท่านั้น ?.
                            
                       

บล็อกของ นาลกะ

นาลกะ
วรรณกรรมจากแดนไกลเล่มนี้ คงไม่ใช่วรรณกรรมเยาวชนในความหมายที่เหมาะสำหรับการส่งเสริมจินตนาการและการผจญภัยอันสนุกสนานของเด็ก ๆ ในแบบเดียวกับ “แฮร์รี่ พอตเตอร์” แม้ว่าชื่อเรื่องจะฟังดูชวนฝัน เสริมสร้างจินตนาการแบบเดียวกับ “เจ้าชายน้อย” ของ อังตวน เดอ เซงเตก ซูเปรี ก็ตาม ตรงกันข้ามทีเดียวนี่เป็นวรรณกรรมที่เหมาะสำหรับนักอ่านประเภท “ฮาร์ดคอร์” โดยแท้ ซึ่งวรรณกรรมประเภทนี้เนื้อหาสาระจะนำมาซึ่งความบันเทิงประทับใจ เนื้อหาสาระอันเข้มข้นและลีลาลูกเล่นในการเล่าเรื่องต่างหากที่จะก่อให้เกิดความบันเทิงเริงใจ ไม่ใช่สาระบันเทิงแบบรายการ “ตาสว่าง” ที่ดูแล้วชวนให้มืดมัวด้วยอคติและความไม่เข้าใจมากยิ่งขึ้น…
นาลกะ
เคยได้ยินชื่อ “ขบวนการนกกางเขน” มานานแล้ว แต่ไม่เคยรู้ว่าคืออะไร จนกระทั่งเห็นหนังสือชื่อเดียวกันนี้วางอยู่บนชั้นและลงมืออ่าน จึงได้รู้ว่า “ขบวนการนกกางเขน” เป็นวรรณกรรมเยาวชนต่างประเทศที่แปลโดย “แว่นแก้ว” “ขบวนการนกกางเขน” เป็นทั้งชื่อหนังสือและชื่อเรียกของกลุ่มตัวละครเด็ก ๆ ในเรื่อง เด็ก ๆ ถูกวาดให้มีหลากหลายบุคลิก ตั้งขบวนการ รวมตัวกันหาเรื่องสนุก ๆ ทำ จนกระทั่งเข้าไปผจญภัยในห้องใต้ดินและนำไปสู่การค้นพบขุมทรัพย์ในที่สุด ความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้น่าจะอยู่ที่ผู้แปลมากกว่าผู้เขียน  สำหรับผู้เขียนชาวฝรั่งเศสคือ Madeleine Treherne  ตั้งชื่อหนังสือเล่มนี้ในภาคฝรั่งเศสว่า Rossignols…
นาลกะ
“ดิบส์ลูกรัก แม่และพ่อขอโทษ”1 แปลมาจากเรื่อง “Dibs In Search of Self” เป็นหนังสือเกี่ยวกับเด็กที่ไม่ใช่นวนิยายที่จัดได้ว่าเป็น Bestseller  อย่างไรก็ตามหนังสือเรื่องนี้อ่านสนุกน่าติดตามราวกับเป็นวรรณกรรมเยาวชน (จะว่าไปเรื่องราวของเด็ก ๆ ก็เป็นวรรณกรรมในตัวมันเองอยู่แล้ว)ผมเจอหนังสือเล่มนี้โดยบังเอิญในห้องสมุด อ่านเพียงผ่าน ๆ แต่แรงดึงดูดบางประการทำให้วางไม่ลงและอ่านต่อไปด้วยความเพลิดเพลินจนจบ ผิดกับหนังสือหลายเล่มที่ในระยะหลังผมมักจะอ่านไม่จบ ไม่ใช่ไม่มีเวลา แต่ไม่มีแรงดึงดูดให้อ่าน แต่สำหรับเรื่อง “ดิบส์ลูกรัก แม่และพ่อขอโทษ” นี้เป็นข้อยกเว้นจริง ๆ“ดิบส์ลูกรัก แม่และพ่อขอโทษ”…
นาลกะ
 อนาโตล ฟรองซ์  เขียนไกรวรรณ  สีดาฟอง แปลอนาโตล ฟรองซ์ นักเขียนชาวฝรั่งเศสได้รับรางวัลโนเบล สาขาวรรณกรรมในปี 1921 เขาเป็นชาวปารีส กำเนิดมาท่ามกลางกองหนังสือเก่าของบิดา เขากลายเป็นนักเขียนแถวหน้าด้วยผลงานเรื่อง “ซิลเวอร์แตร์ บงนาร์ด” (1881)  หลังจากนั้นก็สร้างสรรค์นวนิยายออกมาหลายชิ้นที่โด่งดังมากก็คือ “หมู่เกาะนกเพ็นกวิน” (1908) นวนิยายเชิงเสียดสีที่มีฉากหลังเป็นการปฏิวัติฝรั่งเศสที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นวรรณกรรมชิ้นเยี่ยมเล่มหนึ่งของศตวรรษ 20ผลงานเรื่อง “หมู่เด็กแห่งทุ่งดอกไม้”  เขียนขึ้นตอนบั้นปลายของชีวิตของเขา น่าสังเกตว่าหลังจากเขียนงานวรรณกรรมประเภท “สร้างสรรค์…
นาลกะ
“รพินทรนาถ ฐากูร” เขียน“วิทุร  แสงสิงแก้ว” แปล“ปรีชา  ช่อปทุมมา” แปล“เยี่ยมหน้าให้เขายล อ้ายหนูเอ๋ย เพื่อว่าพวกเขาจะได้ซึมซาบในความหมายแห่งสรรพสิ่ง จงทำตัวให้พวกเขารักเพื่อว่าพวกเขาจะได้รู้จักรักใคร่ซึ่งกันและกันบ้าง”(สำนวนแปลของปรีชา ช่อปทุมมา)
นาลกะ
 จอห์น  โฮลท์  เขียนกาญจนา  ถอดความหนังสือเล่มนี้พูดถึงเด็ก ๆ ทั้งหลายที่อาศัยอยู่ร่วมในสังคมเดียวกับพวกเรา โดยต้องการพิจารณาดูว่าเด็กทั้งหลายนั้นถูกจัดวางให้อยู่ในตำแหน่งแห่งที่ใดในสังคม (หรือสังคมปัจจุบันอาจจะไม่ได้มีที่ว่างไว้ให้พวกเด็ก  ๆ เลย?)  ผู้เขียนมีทัศนะที่ก้าวหน้ามากในประเด็นที่รายล้อมอยู่รอบตัวเด็ก และเต็มไปด้วยการวิพากษ์วิจารณ์ค่านิยม ความเชื่อและพฤติกรรมที่มีผู้ใหญ่มีต่อเด็กอย่างถึงรากถึงโคนจนบางคนอาจจะรับไม่ได้ นอกจากหนังสือเล่มนี้ที่แปลมาจาก Escape from Childhood แล้วผู้เขียนซึ่งเคยเป็นครู มีประสบการณ์ในการคลุกคลีกับเด็กมายาวนาน  …
นาลกะ
อาการป่วยของแม่ทุเลาลง แต่ยังไม่หายเป็นปกติเพราะโรคฉวยโอกาสบางชนิดที่ยังทำให้แม่อ่อนเพลีย คุณหมอมาดูแลอาการของแม่บ่อยครั้ง คุณหมอจะยิ้มอย่างปลอดโปร่งใจทุกครั้งเมื่อตรวจดูอาการของแม่เสร็จ สายรุ้งไม่แน่ใจว่ารอยยิ้มของคุณหมอมีความหมายว่าอะไร อาจหมายถึงว่าแม่จะกลับมามีสุขภาพแข็งแรงดังเดิมหรือเพื่อปลอบใจสายรุ้งกันแน่ หรือว่าคุณหมอที่ไหน ๆ ต่างก็มีรอยยิ้มลักษณะเช่นนี้“แม่ผมเป็นยังไงบ้างครับ”คุณหมอทำท่าตรึกตรองราวกับกำลังหาคำอธิบายที่เหมาะ ๆ นั่นยิ่งทำให้สายรุ้งรู้สึกกังวลหนักขึ้น“หนูต้องดูแลแม่ดี ๆ นะ” คุณหมอตอบ “หนูรู้ไหมว่าหนูมีส่วนอย่างมากในการทำให้คุณแม่หายจากอาการป่วยไว ๆ” “…
นาลกะ
คุณตาและน้ามลมาที่บ้านสายรุ้งบ่อยขึ้น เพราะแม่ของสายรุ้งไม่สบาย แม่เป็นลมหมดสติขณะกำลังทำงาน โชคดีที่ตอนนั้นสายรุ้งอยู่ที่บ้านด้วย สายรุ้งตกใจมากที่เห็นแม่ล้มลงและหมดสติเขาวิ่งไปตามคุณตาและน้ามลสายรุ้งไม่เข้าใจเลยว่าแม่ล้มป่วยได้อย่างไรในเมื่อดูแลตัวเองดีมาโดยตลอด  แม่เคร่งครัดต่อวิถีชีวิตประจำวันอย่างมาก นอนและตื่นตรงเวลาเหมือนกันทุกวัน ระวังให้ไม่โดนแดด โดนฝน แม่เลือกทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเท่านั้น อาหารที่ผ่านการหมักดองแม่ไม่ทานเด็ดขาด ผัก ผลไม้ที่ซื้อมาจากตลาดแม่ล้างแล้วล้างอีก อาหารทอดหรือปิ้งย่าง แม่ก็ไม่ทาน ทั้งแม่ยังออกกำลังกายเป็นประจำอีกด้วย…
นาลกะ
วันเวลาเคลื่อนคล้อยไปจนใกล้สิ้นปี สายรุ้งและแม่ผ่านวันเวลาร่วมกันมาอย่างกล้าหาญ เช่นเดียวกับต้นไม้ที่ยืนหยัดอยู่ท่ามกลางลมพายุ รู้จักการโอนเอนตามแรงลมเมื่อพายุกระหน่ำหนักในขณะที่รากนั้นยึดเกาะดินไว้อย่างมั่นคงสายรุ้งมีอายุเพิ่มมากขึ้นอีกปี การผ่านวันเวลาไปจนมีอายุเพิ่มขึ้นหนึ่งปีนั้นอาจเป็นเรื่องปกติสำหรับคนอื่น ๆ แต่สำหรับแม่ของสายรุ้งแล้ว เธอรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่มีความหมาย และความสำคัญอย่างยิ่งยวด เธอตระหนักถึงคุณค่าของแต่ละวินาที และรู้ว่ากาลเวลาในหนึ่งวินาทีของเธอกับของคนอื่นนั้นแตกต่างกันด้วยเหตุว่าเธอมีมาตรวัดความยาวนานของเวลาต่างออกไป ส่วนสายรุ้งอาจยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจในเรื่องนี้ “…
นาลกะ
สายรุ้งก็เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ที่เพลิดเพลินกับการเล่นเกมคอมพิวเตอร์  เกมที่มีภาพสวยงามดึงดูดสายตาและสามารถติดต่อสัมพันธ์ คุยเล่นสนุกกับคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนได้ผ่านการเชื่อมต่อกับโลกไซเบอร์ การสร้างสีสันสวยงามเกินจริง การออกแบบฉากที่อลังการ ไม่ว่าจะเป็นตึกอาคาร ตัวสัตว์ประเภทต่าง ๆ  และความน่าตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่ปรากฏในเกม ยั่วเย้าเร้าความสนใจของสายรุ้งและเด็กคนอื่นๆ จนไม่อาจต้านทานได้หากเล่นเกมที่ร้านเกมซึ่งมีเด็กๆ ไปชุมนุมกันนั้น สายรุ้งจะนั่งเล่นไม่นานนัก แค่เพียงชั่วโมงหรือสองชั่วโมงเท่านั้น เพราะแม่ไม่ต้องการให้เขาขลุกอยู่ที่ร้านเกมนานเกินไป…
นาลกะ
เมฆฝนตั้งเค้าทำท่าเหมือนว่าจะเทน้ำลงมา แต่ก็ไม่เคยหล่นลงมาสักหยด สายลมจะพัดพาเมฆให้ลอยไปที่อื่น จากนั้นท้องฟ้าก็จะปลอดโปร่งเหมือนเดิม ชาวสวนที่เฝ้ารออยู่แหงนหน้าขึ้นฟ้าหวังจะได้เห็นเม็ดฝนโปรยปราย เมล็ดพืชที่หว่านไว้รอเพียงฝนแรกเท่านั้นก็จะแทงยอดอ่อนออกมาท้องฟ้าครึ้ม เมฆสีดำลอยต่ำและบดบังความร้อนแรงแห่งแสงอาทิตย์ อากาศยามสายขมุกขมัว  “วันนี้ฝนจะตก” ตาพูดกับเด่นและสายรุ้ง “ดูฝงมดพวกนั้นสิพากันอพยพเพราะมันรู้ว่าน้ำจะเจิ่งนองท่วมรังของมัน” สายรุ้งแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ท้องฟ้าช่างดูอึดอัดด้วยบรรยากาศอันอึมครึม นกฝูงบินตัดก้อนเมฆที่คล้อยลงต่ำ“เราจะได้เล่นน้ำ” เด่นว่าแล้วฝนก็เทลงมาจริงๆ…
นาลกะ
วันนี้เพื่อนร่วมชั้นเรียนคนหนึ่งของสายรุ้งมาโรงเรียนสาย พอครูถามเขาก็ตอบว่าที่บ้านเขากำลังมีปัญหา พ่อของเขาป่วยหนัก เมื่อสายรุ้งเห็นแววตาเศร้าสร้อยของเพื่อนนักเรียนคนนั้นแล้วรู้สึกสงสารจับใจ เพื่อนนักเรียนกำลังจะร้องไห้อยู่แล้วตอนที่ตอบคำถามของครู เป็นไปได้ว่าสายรุ้งอาจกำลังคิดถึงตัวเองที่สูญเสียพ่อไปตั้งแต่ยังเล็ก แล้วก็เลยเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนนักเรียนคนนั้นดีว่าจะต้องเสียใจมากเพียงใดหากพ่อของเขาต้องมีอันเป็นไป อย่างไรก็ตาม เด็กบางคนไม่ได้รู้สึกอย่างที่สายรุ้งรู้สึก ความทุกข์ใจของเพื่อนนักเรียนอันเนื่องมาจากความเจ็บป่วยของพ่อซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัวนั้น…