Skip to main content

บล็อกกาซีน ประชาไท

suwanna
ไม่จริงมั้งทำไม คนต้องเกลียดตำรวจ "จริงครับ ผมถามแท็กซี่มาสิบคน เกลียดตำรวจทั้งสิบคนเลย" ผู้หมวดหนุ่มวัย 23 ตอบ แล้วตำรวจเป็นสีแดงจริงหรือเปล่า "ตำรวจเป็นสีกากี ....แต่พอเลิกงานคนนั่งข้างนี่ก็เปลี่ยนเสื้อแดงไปชุมนุม" สารวัตรวัยกลางคนบอกหันไปทางโต๊ะทำงานที่ว่างอยู่ "ตำรวจต้องซื้อเองทุกอย่างตั้งแต่ยางลบปากกา ไปจนโต๊ะเก้าอี้ ไม่มีใครเข้าใจตำรวจ" ...เดินออกจากโรงพักด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยว สัญญากับตัวเองว่าจะต้องหาคำตอบ ถ้าตำรวจต้องหาอุปกรณ์เองทุกอย่างบางคนก็ต้องอดไม่ได้ที่ต้องรีดไถ เอาเงินมาซื้อของหรือเปล่า แล้วทำไมรัฐบาลไม่ดูแลเขา ทำไมประชาชน ชุมชนไม่ดูแล ทำไมปล่อยให้ตำรวจอยู่ในโลกของตัวเอง แล้วจริงหรือที่ตำรวจต้องซื้ออุปกรณ์ทำงานเอง "จริงซิ" เป็นคำตอบของ ตำรวจที่ได้เจอโดยบังเอิญอีกหนึ่งอาทิตย์ต่อมา "ตำรวจต้องซื้อปืนเองดัวย เพราะปืนของรัฐ มันไม่ดี ใช้ไม่ได้" "ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะเดิมกรมตำรวจเป็นแค่กรมในกระทรวงมหาดไทย งบประมาณได้มาก็ต้องแบ่งกับหน่วยงานอื่น ไม่เหมือนทหารที่มีกระทรวงของตัวเอง แต่ความรับผิดชอบของตำรวจก็สูงมาก เพราะต้องอยู่กับชุมชน. จำได้ว่าตำรวจเด็กที่โรงพักเล่าว่า ตำรวจที่นั่นมีอุปกรณ์ทันสมัย เงินเดือนก็สูง "ผมเห็นแล้วอดอิจฉาไม่ได้" ที่มาเลย์ ตำรวจอีกคนเล่าว่า เขาเดินเข้ามาทำงานโดยไม่ต้องซื้ออะไรเลย อุปกรณ์เสื้อผ้าครบถ้วน แถมพอถึงขั้นหนึ่ง เขาก็จะได้รถประจำตัว แต่ตำรวจไทย ซื้อเอง (ตามเคย) แม้แต่เครื่องแบบก็ต้องซื้อเองเพราะของหลวงมันยับเยินใส่ไม่ได้ (ก็รู้รู้กันอยู่ว่าทำไมถึงไม่เคยมีอะไรที่ดีพอ) "เราต้องปฏิรูปสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องทำให้ตำรวจเป็นคนของประชาชน (ชุมชน) จ้างโดยประชาชน และโดนไล่ออกได้โดยประชาชนที่จ้างเขามา ดังนั้น เขาต้องทำตัวให้ดี เพื่อประโยชน์ของประชาชนเท่านั้น แต่ตอนนี้เขาไม่ต้อง เพราะนักการเมืองลงมาล้วงลูก ให้คุณให้โทษกับตำรวจได้ ตำรวจก็ไม่ต้องเอาใจประชาชน แต่เอาใจนักการเมือง...แต่คงยากมากๆ พวกเราอาจไม่ได้อยู่เห็น" ความจริงก็คือ หลังการฝึกฝน ตำรวจใหม่ทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งระดับจ่า นายดาบ ไม่เคยถูกเรียกให้กลับไปฝึกทีกรมอีกเลย ฉะนั้นจึงไม่มีโอกาสที่จะได้รับการอบรมเรื่องจริยะธรรมในหน้าที่ตำรวจ เรียกว่าปล่อยเสื้อ (พร้อมอาวุธ) เข้าป่า ถ้าโชดดีของประชาชนก็จะเจอตำรวจดี แต่ถ้าโชดร้ายละก็...เขาก็เรียกว่า ซวยนะสิ แล้วพวกเราจะปล่อยวงการตำรวจไปตามยะถากรรมอย่างนี้นะเหรอ ถึงเวลาประชาชนต้องเข้าไปดูแล้วว่าปัญหาอยู่ที่ไหน ทำไมรัฐบาลไม่ยอมปฏิรูปตำรวจเสียที ตำรวจต้องเป็นของประชาชน ไม่ใช่เครื่องมือของนักการเมือง แล้วคุณล่ะ คิดว่ายังไง
การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์
 
Hit & Run
คุณ ลิเดีย กูวารา อาจไม่ได้มีความงามตามแบบฉบับสาวทั่วไป แต่ จากองค์ประกอบการจัดวาง การตกแต่ง อุปกรณ์เสริมคือแครอทเป็นเหมือนแถบคาดกระสุน รวมถึงการโพสท์ท่าของเธอ ทำให้ดูมีเสน่ห์ด้วยพลังของความเป็นชาย (masculine) ...แม้แครอทจะดูเล็ก ๆ เหี่ยว ๆ ไปหน่อยก็ตาม
จีรนุช เปรมชัยพร
26 มิถุนายน 2552 เป็นอีกวันที่ต้องตื่นเช้า เพื่อเตรียมพบกับประสบการณ์ใหม่ การรายงานตัวที่สำนักงานอัยการตามนัดหมายการสั่งคดี หลังจากที่เจ้าพนักงานสอบสวน(ตำรวจกองปราบ) ได้นัดหมายส่งสำนวนคดีให้กับอัยการเมื่อวันทีี่ 1 มิถุนายน ที่ผ่านมา ประสบการณ์การรายงานตัวเพื่อรับฟังการสั่งคดี รวดเร็วเสร็จสิ้นภายในเวลาไม่ถึง 5 นาที เนื่องด้วยอัยการได้สั่งสอบข้อมูลเพิ่มเติม จึงได้เลื่อนการสั่งคดีออกไปเป็นวันที่ 29 กรกฎาคม แทน (เร็วชนิดที่เพื่อนๆที่จะตามมาเป็นเพื่อนมาให้กำลังใจมากันไม่ทันค่ะ เลยต้องเปลี่ยนเป็นการกินอาหารเช้าร่วมกันแทน) ในฐานะที่ตกเป็นผู้ต้องหา และต้องเข้าไปข้องเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรม ใกล้ชิดแบบคิดไม่ถึงเช่นนี้ ถือเป็นโอกาสที่จะบันทึกเป็นเรื่องเล่าและเรื่องราว เผื่อจะเป็นประโยชน์บ้าง สำหรับท่านอื่นๆที่ต้องจับพลัดจับผลูไปอยู่เฉียด ๆ คุกตะราง นับจากวันศุกร์ที่ 6 มีนาคม 2552 วันยากจะลืมของตัวเองจากประสบการณ์ถูกบุกจับถึงสำนักงานประชาไท เป็นปฏิบัติการเงียบชนิดที่ตัวเองยังงง ๆ เลยว่า จากสถานะของการเป็นพยานอยู่ดี ๆ ได้แปรเปลี่ยนเป็นผู้ต้องหาไปเสียแล้ว ด้วยข้อหากระทำความผิดตามมาตรา 15 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ คือ ผู้ให้บริการผู้ใดจงใจสนับสนุนหรือยินยอมให้มีการกระทำความผิดตามมาตรา ๑๔ ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของตน ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดตามมา โชคดีที่การจับกุมตัวเองได้รับอนุญาตให้ประกันตัวแล้วเสร็จภายในสองทุ่มเศษของวันนั้นจึงไม่ต้องไปแกร่วค้างคืนในห้องขัง เนื่องจากหมดเวลาราชการและตรงกับวันเสาร์-อาทิตย์พอดี ดังที่ได้ยินเรื่องเล่าในลักษณะสะเทือนขวัญมามาก (มีเพื่อนต่างชาติบอกด้วยว่า ทริคแบบนี้มีเกือบทุกประเทศ ไม่เฉพาะเมืองไทยของเรา..ฟังแล้วเศร้า) อันที่จริงการได้สิทธิประกันตัวโดยไม่ติดเงื่อนไขระบบราชการควรเป็นสิทธิพื้นฐานปกติที่ไม่ต้องให้ผู้ที่ตกเป็นผู้ต้องหาต้องสวดภาวนาหาโชคเป็นการพิเศษ ผ่านไปเกือบเดือนพนักงานสอบสวนแจ้งผ่านมาทางทนายความเพื่อนัดหมายไปพบอีกครั้ง โดยทั้งทนายและตัวเองสะดวกวันที่ 7 เมษายน จึงแจ้งยืนยันว่าจะไปพบตามที่พนักงานเจ้าของคดีแจ้งมา แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ต้องเกิดอาการเข็มขัดสั้น เพราะจากที่คิดว่าคงเป็นการสอบปากคำเพิ่มเติมเท่านั้น กลับกลายเป็นแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มอีก 9 กระทง โดยสาเหตุมาจากกระทู้ในเว็บบอร์ดประชาไทจำนวน 9 กระทู้ ที่โพสต์ไว้ตั้งแต่ช่วง เมษายน-สิงหาคม 2551 และทั้งหมดก็ถูกลบออกไปนานแล้ว รวมทั้งสิ้นข้อกล่าวหาที่มีติดตัวทั้งหมดมี 10 กระทง ในข้อหาเดียวกัน (ลองนับนิ้วดูกับเพื่อน ๆ ถ้าถูกตัดสินด้วยโทษสูงสุดชนิดคูณสิบ ก็จะได้ประมาณว่าจำคุกไม่เกิน 50 ปี และปรับเต็มที่ไม่เกินล้านบาท - -" โชคดีได้ยินมาว่าเขาไม่ใช้วิธีคูณหรือบวกโทษแบบนี้) ล่วงเลยมาอีกเดือนเศษพนักงานสอบสวนได้แจ้งผ่านมาทางทนายเพื่อจะนัดหมายส่งสำนวนคดีและผู้ต้องหา(ซึ่งคือข้าพเจ้าเอง -_-' ) ให้แก่อัยการ โดยตกลงกับทางพนักงานสอบสวนได้วันที่ตรงกับวันสะดวกผู้ต้องหา, ทนาย และที่สำคัญของอาจารย์ฉันทนา บรรพศิริโชค หวันแก้ว ผู้กรุณาเป็นนายประกันให้ตั้งแต่ในชั้นพนักงานสอบสวน ได้ข้อสรุปว่าจะไปรายงานตัวให้พนักงานสอบสวนส่งมอบตัวให้อัยการแต่โดยดีในวันที่ 1 มิถุนายน ที่ผ่านมา บ่ายสองโมงวันที่ 1 มิถุนายน ตัวเองพร้อมทนายความ, อ.ฉันทนา ผู้เป็นนายประกัน, พี่สาวที่เตรียมหลักฐานมาเผื่อจะต้องเป็นนายประกันสำรอง หากมีการกำหนดวงหลักประกันในชั้นอัยการเพิ่มขึ้นจากในชั้นพนักงานสอบสวน และเพื่อน ๆ ที่มาเป็นกำลังใจอีกกว่าสิบคน กระบวนการเริ่มต้นจากการไปลงลายมือชื่อเพื่อรายงานตัว พร้อมนายประกัน โดยทางสำนักงานอัยการได้ดำเนินการปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นอัยการ รออยู่ที่สำนักงาน(จำชื่อฝ่ายงานไม่ได้แล้ว) ที่ดูเหมือนจะเป็นด่านหน้าของการรับคดีและจ่ายคดีไปยังฝ่ายย่อย ๆ ให้ดำเนินการอีกที ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เจ้าหน้าที่ได้แจ้งให้ไปติดต่อที่สำนักงานอัยการพิเศษผ่ายคดีอาญา 8 ซึ่งเป็นส่วนงานที่จะรับผิดชอบในคดี  นิติกรของฝ่ายอาญา 8 รับสำนวนและดำเนินการทั้งการประกันตัว พร้อมนัดหมายเพื่อมารายงานตัวในการนัดสั่งคดี ได้ข้อสรุปว่าเป็น 9 โมงเช้า วันที่ 26 มิถุนายน 2552 กระบวนการทั้งหมดแล้วเสร็จในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงอีกเช่นกัน ก่อนหน้าวันนัดสั่งคดีหนึ่งวันได้เดินทางไปยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด ซึ่งอยู่แถวสนามหลวง อันที่จริงตั้งใจจะดำเนินการยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมให้เร็วกว่านี้ แต่เนื่องจากภารกิจงานที่ติดพันทำให้ไม่สามารถดำเนินการให้ลุล่วงได้เร็วกว่านี้ สิ่งที่ได้เรียนรู้และยังงง ๆ อยู่บ้างกับการยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรม เนื่องจากมีประสบการณ์ขลุกขลักบางประการ เพราะทันทีที่หนังสือร้องความเป็นธรรมเรียบร้อยพร้อมยื่น ตัวเองก็ได้เดินทางไปที่สำนักงานอัยการ ในฝ่ายที่รับผิดชอบคดีเพื่อยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรม โดยในหนังสือระบุ "เรียน อัยการสูงสุด (ผ่านพนักงานอัยการเจ้าของคดี)" ซึ่งเจ้าหน้าที่ของฝ่ายในขณะนั้น แจ้งว่า หากยื่นถึงอัยการสูงสุด ต้องไปยื่นที่สำนักงานอัยการสูงสุด ที่อยู่ใกล้กับสนามหลวง แต่ถ้ายื่นที่นี่ต้องเป็นการยื่นตัวหัวหน้าสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 8 หลังจากโทรปรึกษากับทนายและเห็นว่ายังน่าจะทันเวลาทำการของสำนักงานอัยการสูงสุด จึงตัดสินใจเดินทางดิ่งตรงจากอัยการที่ถนนรัชดาภิเษกสู่สำนักงานอัยการสูงสุด ที่ใกล้สนามหลวง ก่อนยื่นหนังสือเพื่อให้เอกสารเรียบร้อย เดินข้ามคลองหลอด (ครั้งแรกอีกเช่นกัน ให้ความรู้สึกแปลก ๆ) มุ่งตรงสู่ 7-11 เพื่อซื้อปากกาน้ำยาลบความผิด เอ๊ยย !!! คำผิด เพื่อมาลบข้อความวงเล็บต่อท้ายในเอกสาร บ่ายสามโมงนิด ๆ เอาหนังสือร้องขอความเป็นธรรมไปยื่น เจ้าหน้าที่ถามหาเอกสาร 'สำเนาคู่ฉบับ' ชี้ให้เจ้าหน้าที่ดู เขาก็หยิบมาประทับตรารับเรื่อง ส่งสำเนากลับคืนมาให้ ทั้งหมดเสร็จสิ้นในเวลาไม่ถึงนาที (ไม่นับรวมการเดินทางและตามหาซื้อน้ำยาลบคำผิดอีกเกือบชั่วโมง) ก่อนที่จะมาได้รับคำชี้แจงจากนิติกรของฝ่ายคดีอาญา 8 ว่า "ยื่นที่นี่ได้ เพราะยื่นอัยการสูงสุดก็ต้องส่งมาที่อัยการเจ้าของคดีอยู่ดี" ในที่สุดเพื่อให้มั่นใจว่าหนังสือร้องขอความเป็นธรรมถึงมืออัยการแน่ ๆ เลยถ่ายสำเนา และยื่นสำเนาต่ออัยการเจ้าของคดีอีกทางหนึ่งไว้ด้วย) บทเรียน ผู้ต้องหา 101 พอสรุปได้คร่าว ๆ ว่า: เบื้องต้นหากมีเจ้าพนักงานตำรวจมาแสดงตัวและแสดงหมายค้น หรือหมายจับจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องขอให้เจ้าหน้าที่แสดงบัตรประจำตัว การให้แสดงบัตรเป็นการป้องกันไม่ให้มีการหลอกลวงเกิดขึ้นได้ และเจ้าหน้าที่ซึ่งเข้าใจในสิทธินี้ย่อมไม่รู้สึกโกรธ หรือคิดว่าเป็นเรื่องไม่ไว้ใจ ในวันที่มีการจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองท่านซึ่งเป็นผู้ดำเนินการหลักในการสอบสวนและจับกุมได้แสดงบัตรประจำตัวเจ้าที่โดยที่ไม่ต้องรอให้ถามหา และถ้าสามารถทำได้การขอให้มีทนายความมาอยู่ร่วมด้วยในระหว่างการตรวจค้น หรือจับกุม ช่วยทำให้อุ่นใจขึ้น ยังไม่รวมถึงเพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่มาเป็นกำลังใจ ก็ช่วยให้อบอุ่นใจอย่างมาก และเรื่องยาก ๆ หนัก ๆ ในวันนั้นก็ผ่อนคลาย เป็นเครื่องประกันสิ่งที่ใครบางคนพูดไว้ว่า "ความทุกข์มันแบ่งเบากันได้" สิทธิอีกประการที่ผู้ต้องหาทุกท่านควรรู้ว่ามีคือในการสอบปากคำ ผู้ต้องหาสามารถยืนยันที่จะให้มีทนายมาอยู่ร่วมในการสอบปากคำ และยืนกรานที่จะไม่ให้ปากคำหากไม่มีทนายอยู่ด้วยได้ ที่สำคัญเป็นสิทธิที่สามารถร้องขอทนายประชาชน ซึ่งเป็นทนายอาสาที่รัฐมีหน้าที่จัดหาให้ ในกรณีที่ผู้ต้องหาไม่มีทนายของตนเอง ทั้งด้วยไม่รู้จักใคร หรือไม่มีเงินค่าทนาย กระบวนการยุติธรรมแบ่งเป็นขั้นตอนตามลำดับ เริ่มจากขั้นพนักงานสอบสวนซึ่งดำเนินการจับกุมและรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อสรุปสำนวนคดีและผู้ต้องหาส่งต่ออัยการ(เข้าใจว่ามีระยะเวลากำหนดไว้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่มีการจับกุมว่าต้องสรุปสำนวนภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้) จากนั้นพนักงานอัยการก็จะรับสำนวนคดีพร้อมรับตัวผู้ต้องหา ซึ่งก็ต้องมีการดำเนินการขอปล่อยตัวชั่วคราวใหม่ในขั้นของอัยการ ตามปกติวินิจฉัยก็จะเป็นไปในทางเดียวกับขั้นพนักงานสอบสวน รวมทั้งสามารถใช้หลักประกัน/นายประกันเดิมได้ ในขั้นของอัยการสิ่งที่ผู้ต้องหาสามารถกระทำได้ ก็คือการทำหนังสือร้องขอความเป็นธรรมจากอัยการสูงสุดได้ หลังจากที่อัยการรับคดีมาจากพนักงานสอบสวนแล้ว ก็จะนัดผู้ต้องหาพร้อมนายประกันมาตามนัดการสั่งคดี จนกว่าอัยการจะตัดสินใจอย่างหนึ่งอย่างใด คือสั่งไม่ฟ้อง หรือสั่งฟ้อง หากมีการสั่งฟ้องก็จะต้องไปดำเนินกระบวนการต่าง ๆ ในขั้นศาลต่อไป รวมถึงการยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราวอีกครั้ง ประสบการณ์ร่วมสี่เดือนของการเป็นผู้ต้องหามีคดี ท่ามกลางวิถีชีวิตการงานที่เป็นอยู่และเป็นไปตามปกติ ตอบอย่างซื่อสัตย์กับตัวเองก็ต้องบอกว่าไม่อาจรู้สึกเป็นปกติสุข และเข้าใจชัดเจนถึงความรู้สึกของคนที่มีหนี้แบกไว้บนบ่า แต่แม้รู้สึกยากจะเป็นสุข ทว่าการทำใจยอมรับให้ได้ว่านี้คือราคาที่ต้องจ่ายของเสรีภาพ..ก็น่าจะคุ้มกัน
กวีประชาไท
ฉัน...ถูกความฟุ้งซ่านเกาะกินสัมผัสแทบทุกสัมผัส แทบทุกวัน แทบทุกคืนห้วงคำนึงต่าง ๆในหัวใจดวงนี้ โชย - ลอย - เลือน - เลื่อนมาโบยตีผุด,พลัด - ผลุบโผล่.. อยู่ภายในความสิ้นไร้ดูว่า - แม้กระทั่งหัวใจดวงเดียวนี้...ทำไมถึงสัมผัสเกาะกินได้มากคณานับ..ห้วงอณูคำนึงสัมผัสเกลื่อนกล่น
ถนอมรัก เดือนเต็มดวง
พอได้จังหวะ ผู้ชายที่ห้อยหัว ก็เหวี่ยงผู้แสดงชายที่จับเขาอยู่ กลับคืนมาหาบาร์เดิมของเขา คนดูบางคนทนไม่ไหวส่งเสียงร้อง เขาจับบาร์ได้ เสียงปรบมือให้กำลังใจดังขึ้น ผู้แสดงที่ห้อยหัว หกตัวขึ้นนั่งบนบาร์พักร่างกายครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ห้อยหัวลงมาอีก แข็งแรงและทรหดมาก ผู้หญิงสาวสวยจับบาร์เหวี่ยงตัวเข้าหาบ้าง ผู้ชมคงเอาใจช่วยมากขึ้น เธอปล่อยมือจากบาร์ พุ่งเข้าหาผู้แสดงที่หัวห้อยรออยู่ มือเกือบถึงแต่ไม่ถึง เธอลอยหล่นลงมา คนดูส่งเสียงฮือ บางคนลุกขึ้น เธอตกลงมาตาข่ายปลอดภัย ตัวลอยเด้งขึ้นสองสามครั้ง ตามแรงดีดของตาข่าย เธอรีบลุกขึ้น โบกมือให้ผู้ชมหน้าตายังปรกติ ไต่ตามตาข่ายขึ้นไปยังจุดที่เริ่มต้น ยืนพักสักครู่จึงกระโดดจับบาร์ ครั้งนี้เธอไม่พลาดทั้งขาไปและกลับ คนดูปรบมือดังเป็นพิเศษให้เธอ ผู้แสดงชายที่ห้อยหัวยังคงแกว่งตัวไปมา แข็งแกร่งจริงๆ ถ้าเราทำบ้างเลือดคงไหลลงหัว หน้าแดงก่ำไปแล้ว ผู้แสดงชายอีกฝั่ง เริ่มแกว่งตัวบนบาร์ไปมา 2-3 ครั้ง แรงแกว่งแรงกว่าครั้งแรก
ontheland
หลังการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยระหว่างรัฐบาลกับเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย หนึ่งในข้อสรุปของการเจรจา คือ รัฐบาลเห็นด้วยกับข้อเสนอของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินฯ ที่เรียกร้องให้รัฐบาลอนุมัติงบประมาณเพื่อที่อยู่อาศัย 6,000 ล้านบาท และเรื่องดังกล่าวนี้ได้มีมติ ครม.เห็นชอบเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้น ได้มอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และกระทรวงการคลังรับเรื่องไปดำเนินการ ในการหางบประมาณมาดำเนินการในเรื่องนี้                   จากการหารือกันของทั้งสองกระทรวง ได้เห็นชอบร่วมกันว่า จะดึงงบประมาณจาก “กองทุนไทยเข้มแข็ง(งบ 4,000 ล้าน)” เพื่อมาดำเนินการให้เป็นไปตามมติ ครม. โดยจะบรรจุเรื่องเข้าในวาระการประชุมในวันศุกร์ และจะนำเข้า ครม. ในวันอังคารหน้า(30 มิ.ย.52)                                 แต่จากแหล่งและเช็คข้อมูลพบว่า ไม่มาวาระที่จะพูดคุยเรื่องดังกล่าว เป็นเพียงเรื่องที่เห็นชอบและรับหลักการไว้เท่านั้น แต่ไม่เกิดผลในทางปฏิบัติ จึงเป็นที่มาที่ไปของการชุมนุมกดดัน เรียกร้องของชาวบ้านเครือข่ายปฏิรูปที่ดิน เพื่อให้รัฐบาลรีบดำเนินการให้เป็นไปตามมติ ครม.ในทางปฏิบัติ ในช่วงเช้าที่บริเวณบ้านราชวิถี และตอนนี้ได้ย้ายมาปักหลัก ณ ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์                           สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คมสันต์  จันทร์อ่อน : 081-659-0142 นพพรรณ  พรหมศรี : 085-137-4060
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ศูนย์พักรอกุงจ่อ คือ พื้นที่ของผู้หนีภัยการสู้รบจากการปราบปรามอย่างรุนแรงของรัฐบาลทหารพม่า นับจากปี 2545 ชาวไต(ไทใหญ่)ร่วมหนึ่งพันคน เดินเท้าเข้าประเทศไทยทางด่านหลักแต่ง...!!!
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
คำถาม : การรู้จักตัวเอง ( self knowledge ) คืออะไร เราสามารถทำให้เกิดขึ้นได้อย่างไร กฤษณมูรติ : ท่านเห็นระดับของความคิดที่ซ่อนอยู่ในคำถามนี้หรือไม่ ข้าพเจ้าไม่ได้แสดงความไม่นับถือผู้ถาม แต่อยากจะชวนให้พวกเราใส่ใจต่อความคิด ซึ่งถามว่า
khampong
ชาวหนองผำ กับชาวเกตุแก้ว อุบลราชธานี นำบั้งไม้ไผ่หลากขนาดมาเจาะรูแล้วหยอดสตางค์  ได้เหรียญมาหยอดเหรียญ ได้ธนบัตรมายัดธนบัตร 1 เดือนผ่านไปนำมาผ่า ของเกตุแก้ว 9 บั้งได้สตางค์กว่า 16,000 บาท  ไชโย..............
wittaya230
มีใครเคยหยุดคิดไหม่ว่เราหาเงินไปทำไหม มีใครเคยหยุดคิดไหมว่าใครบังคับให้เราวิ่งหาเงิน เงินเป็นสิ่งสำคัญเพราะเราบอกว่าเงินสำคัญ เงินเป็นสิ่งสำคัญเพราะเราบอกว่าเงินบันดาอะไรได่ทุกอย่าง และเป็นคำตอบสุดท้าย ที่เป็นสิ่งที่จะสร้างความสุขให้กับเรา หรือเป็นเพียงข้ออ้างที่เราสร้าง และคิดขึ้นมาว่าเงิน คือ สิ่งที่จะบันดาลความสุขให้เรา ....ย้งดีที่เราเป็นคนบอกว่าเงินเป็นสิ่งสำคัญและบันดาลความสุขให้ ไม่ใช่คนอื่นบอกว่าต้องหาเงิน ....แต่คิดดี ๆ เราหรือคือคนบอก.... ตราบใดที่เรายังคิดว่าเงินว่าเงินคือทุกอย่าง ของชีวิต เราก็ยังจะต้องวิ่งวนบนหนทางที่ว่างเปล่า อยู่อย่างไม่รู้จบ อย่างที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้...ที่หาเงินให้ได้มาก ๆ แต่ไม่พอใช้เสียที...ยิ่งหามาก ๆ ใช้เวลาวิ่งวนกับการหาเงินมาก ๆ มากเท่าไร ก็ไม่พอกับความสุขที่เราปรารถนา .....แล้วเงินหรือคือสิ่งที่เราต้องการ
ชนกลุ่มน้อย
เดินทางแบบกระเด็นกระดอนอยู่ในกระป๋องหนาหนักติดล้อ  และความยาวนานของระยะทาง  กว่า 5 ชั่วโมงไปให้ถึงใจกลางภูเขา  แต่ยิ่งคิดว่าเมื่อไหร่จะถึงใจกลางภูเขาตามมาตรวัดของแผนที่แผ่กางออกกว้าง  ยิ่งกลับเป็นเรื่องยากไปถึงใจกลางภูเขาที่อยู่ในใจ  ภูเขาเป็นทะมึนก่อกำแพงรายล้อม  

แท็กล่าสุด

แท็กยอดนิยม