ในความมืด, ใครเล่าจะยิ้มได้?
ยิ้มพร้อมโซ่ตรวนแห่งความทุกข์ทนคุมขังร่างกาย
ยิ้มแม้ยามห่วงเหล็กร้อยรึงพันธนาการจิตวิญญาณ
ยิ้มขณะเผชิญโฉมหน้า แววตา และลมหายใจเกรี้ยวกราดของอำนาจ
ยิ้มท่ามกลางการบีบรัดของชะตากรรมแห่งการสารภาพ
ใครเล่าจะยิ้มอยู่,
ยิ้มน้อยๆ แม้มองไม่เห็นหนทางข้างหน้าแจ่มชัด
ยิ้มจางๆ แม้มิได้ยินเสียงอันแตกต่าง
ยิ้มเบาๆ แม้ไม่ได้กลิ่นอายของสิทธิเสรีภาพ
ยิ้มอุ่นๆ แม้ไม่สามารถเอ่ยถึงความอึดอัดคับข้องจากข้างใน
ในความมืดมิด, ใครบางคนพูดด้วยรอยยิ้ม
เสมือนจะเยาะหยันการคุกคามจากความอยุติธรรมนานัปการ
เสมือนจะรักษาศรัทธาในความเป็นมนุษย์ไว้
เสมือนจะย้ำปณิธานเสรีชน และประกาศความกล้าหาญของนักสู้
เสมือนจะบอกถึงสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก ที่มิมีใครพรากไปจากมุมปากของเราได้
และเสมือนจะเอ่ยถึงประกายแห่งอรุณรุ่งของความหวังไว้บนใบหน้า
กลางความมืด, ใครบางคนยังคงยิ้ม
ยังยิ้ม, เพื่อเพรียกหามโนธรรมสำนึก
ยังยิ้ม, เพื่อผู้อื่นร่วมแย้มยิ้มด้วย
ยังยิ้ม, เพื่อหยัดยืนให้ยิ้มยังคงอยู่
ใครบางคนยืนยันกลางความมืด, ยิ้มเถิดยิ้ม
รอยยิ้มจะส่องแสงสว่าง...
1 พฤษภาคม 2555
ป.ล.
บทกวีชิ้นนี้แต่งแด่สมยศ พฤกษาเกษมสุข ในช่วงการสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยในศาลอาญากรุงเทพฯ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงหลังวันหยุดสงกรานต์เป็นต้นมา และใช้เวลาค่อนข้างนาน โดยสมยศต้องถูกเบิกตัวจากเรือนจำมาศาลเป็นเวลาติดต่อกัน 3 อาทิตย์ กว่ากระบวนการจะเสร็จสิ้นก็ล่วงเข้าต้นเดือนพฤษภาคม หลังจากก่อนหน้านี้เขาถูกนำตัวตระเวนไปขึ้นศาลและคุมขังในเรือนจำหลายจังหวัดมาแล้ว
จนถึงวันนี้ ผ่านมากว่าครึ่งปี เขายังคงถูกจองจำอย่างไม่สิ้นสุด นับรวมแล้วเกือบ 80 สัปดาห์ และในวันที่ 19 ธันวาคมนี้ สมยศกำลังจะถูกนำตัวขึ้นศาลอีกครั้ง...
(ภาพลำดับเวลาในคดีของสมยศ พฤกษาเกษมสุข จากเฟซบุ้คของเวบไซต์ประชาไท)