Skip to main content

 

 ลุดวิก ฟาน เบโธเฟนมีซิมโฟนีทั้งหมด 9 บท ทั้งนี้ยังไม่นับหมายเลข 10 ที่ยังถกเถียงกันว่าเป็นของเขาจริงหรือไม่  แต่ละบทมีความโด่งดังและมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง จนมีคนยกย่องว่าเหนือชั้นกว่าซิมโฟนีของคีตกวีคนอื่นแม้แต่โมซาร์ตซึ่งถูกผลิตออกมาเป็นจำนวนถึง 41 บท  ที่สำคัญซิมโฟนีของเบโธเฟนดังเช่นหมายเลข 3 นั้นได้ชื่อว่าเป็นบันไดเปลี่ยนผ่านดนตรีของโลกจากยุคคลาสสิกไปสู่ยุคโรแมนติก  อย่างไรก็ดี ซิมโฟนีซึ่งมีความเด่นไม่เหมือนใครแม้ว่าจะได้รับการยกย่องไม่เท่ากับหมายเลข 5 หรือ 7 คือหมายเลข 6 ในฐานะ Program Music หรือดนตรีที่ต้องการสื่อถึงอะไรบ้างอย่างนอกเหนือจากความไพเราะของเพลง อันเป็นที่นิยมสำหรับคตีกวีในยุคแห่งโรแมนติกดังเช่น Symphonie fantastique ของเฮกเตอร์ แบริออส์ เพลง  Don Quixote ของริชาร์ด สเตราส์หรือซิมโฟนีหลายบทของกุสตาฟ มาห์เลอร์ กระนั้นในยุคก่อนหน้านี้ดังยุคบารอคก็มีอยู่เช่นเพลงของอันโตนีโอ วีวัลดี คีตกวียุคบาร็อคที่บรรยายถึงความงามของยุโรปผ่านสี่ฤดูกาล นั่นคือ Four Seasons

      ซิมฟีนีหมายเลข 6 Pastoral in F Major (Op. 68)  มีลักษณะสำคัญคือการบรรยายความงดงามของชนบทและธรรมชาติดังคำว่า Pastoral หมายถึงทุ่งหญ้าหรือชนบท  บทกวีแห่งท้องทุ่งนี้ยังตั้งอยู่บนการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์อันทำให้คนฟังแม้แต่ชาวบ้านธรรมดายังรู้สึกมีส่วนร่วมด้วยอย่างแนบแน่นเพราะสามารถประสบพบได้ในชีวิตประจำวันดังที่จะได้กล่าวต่อไป  ผู้ประพันธ์คือเบโธเฟนนั้นเป็นที่รู้กันว่ารักธรรมชาติ  เขาชอบเดินทางจากนครเวียนนาที่เขาพำนักอยู่เกือบตลอดชีวิตไปพักผ่อนที่ชนบท และเดินเล่นไปเรื่อยๆ จนเกิดความคิดใหม่ๆ เกี่ยวกับเพลงที่กำลังแต่ง ว่ากันว่าครั้งหนึ่งเบโธเฟนเดินลัดทุ่งนาและร้องเพลงเสียงแหลมเล็กจนอีกาตกใจบินหนีไป

       เบโธเฟนแต่งซิมโฟนีหมายเลข 6 ไปพร้อมๆ กับหมายเลข 5 อันลือชื่อซึ่งทุกคนจะค้นหูกันดีกับกระบวนแรก แต่เมื่อเขานำหมายเลข 6  มาแสดงในกรุงเวียนนาในปี 1808 กลับได้รับการต้อนรับอย่างเย็นชาจากผู้ชมเพราะไม่ชอบสไตล์เพลงที่ลึกซึ้งและละเอียดอ่อนเช่นนี้ อย่างไรก็ตามในเวลาต่อมา บทเพลงนี้กลายเป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วโลก และถูกใช้ในโฆษณาโทรทัศน์ต่างๆ หรือภาพยนตร์เรื่องต่างๆ  ในหลายสิบปีที่ผ่านมา ตัวอย่างที่โดดเด่นได้แก่เรื่อง Fantasia (1940) ของค่ายภาพยนตร์วอลต์ ดิสนีย์

      ซิมโฟนีหมายเลย 6 มีทั้งสิ้น 5 กระบวน (Movement) ซึ่งแตกต่างจากซิมโฟนี ทั่วไปที่จะมีเพียง  4 กระบวน มีความยาวทั้งสิ้น 40 นาที แต่ละกระบวนมีประโยคบรรยายประกอบอันได้ใจความดังต่อไปนี้

       1.Allegro Ma Non troppo

       ความปิติฉับพลันต่อการได้มาเยือนท้องทุ่ง (Awakening of joyous feelings upon arrival in the country) เพลงๆ นี้จะเริ่มต้นด้วยจังหวะเร็วแสดงให้เห็นถึงความสุขของ คีตกวีที่ได้มาเยือนชนบท ได้แลเห็นทุ่งนาสีทองอันกว้างใหญ่พร้อมกับเนินเขาสีเขียวชะอุ่มอยู่ลับๆ พร้อมเมฆสีขาวปุยเป็นริ้วๆ อยู่บนท้องฟ้าที่แสงแดดสาดส่งลงมา

      2. Andante molto mosso

       ภาพริมธาร (Scene by Brook) เป็นจังหวะช้าๆ เนิบๆ ที่งดงาม ทำให้ผู้ฟังนึกถึงความงดงามของธรรมชาติข้างแม่น้ำสายเล็ก ๆ มีแสงแดดส่องทะลุกิ่งไม้ผ่านมากระทบกับพื้นน้ำเป็นประกาย ปลาน้อยใหญ่ว่ายวนไปมา

       3. Allegro attacca

      การเต้นรำที่แสนสนุกสนานของชาวนา (Happy gathering of country folk) เป็นจังหวะที่เร็วแสดงถึงชีวิตชาวนาเมื่อยามว่างจากการทำนาแล้วจึงมาร้องรำทำเพลงอย่างร่าเริงจนหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง

        4. Allegro

        ฟ้าผ่าและพายุ  (Thunder and Storm) ทันใดนั้นกลุ่มชาวนาก็แตกพลัดกระจัดกระจายเพราะพายุและฝนที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันบนท้องฟ้าที่มืดดำ กระบวนนี้บรรยายถึงความหวาดกลัวของผู้แต่งในฐานะมนุษย์ตัวกระจ้อยร่อยที่มีต่อความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ เพลงมีจังหวะเร็วและ รุนแรง ประดุจดังพายุไปพร้อมๆ กับเสียงกลองที่กระหน่ำเหมือนเสียงฟ้าผ่า

       5.Allegretto

      บทเพลงอันแสนยินดีและความกตัญญต่อน้ำพระทัยของพระเจ้าของคนเลี้ยงแกะหลังพายุได้พ้นผ่าน (Shepherd's song; cheerful and thankful feelings after the storm) เพลงกลับมาเร็วในระดับกลาง มีทำนองที่แจ่มใส อันแสดงให้เห็นว่าพายุได้พัดผ่านไปแล้ว แสงแดด และท้องฟ้าสีครามกลับมาอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับเสียงเจื้อยแจ้วของนกบนต้นไม้ ประชันกับเสียงฮอร์นอันร่าเริงของคนเลี้ยงแกะเคียงข้างฝูงแกะที่ติดอยู่ในซอกเขายามพบกับพายุ

       เบโธเฟนเคยคิดจะฆ่าตัวตาย เพราะความทุกข์ทรมานจากอาการหูหนวกที่กำเริบหนัก แต่ไม่สำเร็จ ใครหลายคนมองว่าเพราะความกลัวตาย แต่ก็มีคนอีกจำนวนมากเชื่อว่าเพราะความรักของเขาที่มีต่อเสียงเพลงตามคำสารภาพของเขาใน Heiligenstadt testament นอกจากนี้สุนทรียทัศน์ของโลกเป็นสิ่งสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้เบโธเฟนมีกำลังใจต่อสู้กับอุปสรรคทั้งปวง  การท่องเที่ยวไปในชนบทได้ฉลภาพของทุ่งนาซึ่งผมคิดว่าเป็นงานศิลปะที่งดงามที่สุดชนิดหนึ่งของโลกได้ทำให้เบเฟนได้รู้ว่าสารัตถะของชีวิตแท้ที่จริงไม่ใช่วัตถุของมีค่าหรือชื่อเสียงเลย หากแต่เป็นความงดงามของธรรมชาติที่สะท้อนภาพเข้ามาสถิตในหัวใจของเขา

การเขียนเพลงบทนี้ท่ามกลางความเงียบงันจากหูซึ่งก่อปัญหาหนักขึ้นช่างมีความยิ่งใหญ่ไม่ต่างอะไรจากการเข้าฌาณจนเกิดภาวะยั่งรู้ต่อธรรมชาติของนักบวชหรือศาสดาในอดีตทั้งหลาย เพียงแต่เบโธเฟนได้กลั่นกรองมาเป็นบทเพลงอันแสนไพเราะเท่านั้นเอง

 

 

                 

 

                                 ภาพจาก http://cps-static.rovicorp.com

 

 

บล็อกของ อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์

อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
  1.บวรศักดิ์ อุวรรณโณคิดว่าร่างรัฐธรรมนูญของตนนั้นเป็น 
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
  บทความต่อไปนี้บางส่วนเอามาจากบทความของคุณเดวิด เบอร์นาร์ด จาก http://www.chambersymphony.com/   เข้าใจว่าโซโฟนีหมายเลข 7 นี้
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
 
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
  บทความนี้ได้รับการแปลและตัดต่อบางส่วนจากเว็บ The History Place:World War in Euroe ผู้เขียนไม่ทราบชื่อ  บทความนี้ยังถูกนำเสนอเนื่องในโอกาสครบรอบการเสียชีวิตของฮิตเลอร์เมื่อ 70 ปีที่แล้ว (30 เมษายน ปี 1945) เช่นเดียวกับก
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
 คงมีภาพยนตร์เพียงไม่กี่เรื่องที่สามารถสะท้อนความคิดทางปรัชญาอันลุ่มลึกและมักทำให้ผมระลึกถึงอยู่เสมอเวลาดูข่าวต่างๆ หรือไม่เวลาพบกับเหตุการณ์ทางการเมือง ภาพยนตร์เหล่านั้นนอกจากราโชมอนของ อาคิระ คุโรซาวาแล้วยังมี Being There ที่ภาพยนตร์สุดฮิตอย่า
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
 1. กลุ่มกปปส.ต่อหน้ารัฐบาลยิ่งลักษณ์คิดว่าตัวเองเป็น 
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
1. เพลง  Give It Up ของวง  KC&Sunshine Band  (ปี 1983)  
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
 
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
 1.Don Giovanni คีตกวี วู๊ฟกัง อมาเดอุส โมสาร์ต
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
  The Pianist ซึ่งกำกับโดยโรมัน โปลันสกีถูกนำออกฉายในปี 2002  และได้รับการยกย่องรวมไปถึงรางวัลออสการ์และอื่นๆ เป็นจำนวนมาก ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างมาจากหนังสืออัตชีวประวัต
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
 1.คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะคิดว่าตัวเองเป็น 
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
  เมื่อพูดถึงเพลงคลาสสิก ภาพแรกที่ปรากฏอยู่ในหัวของทุกคนก็คือผู้ชายหรือไม่ก็เด็กชายฝรั่งสวมวิคแต่งชุดฝรั่งโบราณกำลังเล่นเปียโนอยู่ หากจะถามว่าคนๆ นั้นคือใคร ทุกคนก็จะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาคือ โมสาร์ต คีตกวีผู้มีชื่อเสียงมากที