Skip to main content
 
คงมีภาพยนตร์เพียงไม่กี่เรื่องที่สามารถสะท้อนความคิดทางปรัชญาอันลุ่มลึกและมักทำให้ผมระลึกถึงอยู่เสมอเวลาดูข่าวต่างๆ หรือไม่เวลาพบกับเหตุการณ์ทางการเมือง ภาพยนตร์เหล่านั้นนอกจากราโชมอนของ อาคิระ คุโรซาวาแล้วยังมี Being There ที่ภาพยนตร์สุดฮิตอย่าง Forrest Gump นำมาดัดแปลง ลอกเลียนจนได้รับความนิยมมากกว่าอย่างเทียบไม่ได้ ทั้งที่หากจะเปรียบกันแบบฉากต่อฉากแล้ว Being There ซึ่งเป็นภาพยนตร์ชีวิต ตลก โรแมนติกมีการนำเสนอแนวคิดที่เสียดสีสังคมอเมริกันได้อย่างละมุนละม่อมและแยบยลยิ่งว่า Forrest Gump หลายเท่านัก
 
 
 
                                                 
 
                                                    ภาพจาก wikipedia.org
 
 
 
Being There (1979) เป็นผลงานกำกับโดยฮัล เอชบีซึ่งก่อนหน้านั้นเพียง 1 ปี ผลงานชิ้นเอกของเขาคือ Coming Home ภาพยนตร์ที่สะท้อนถึงชีวิตอันรันทดของทหารผ่านศึกเวียดนามได้รับรางวัลตุ๊กตาทองมาหลายตัว Being There ดัดแปลงมาจากนวนิยายชื่อดังของเจอร์ซี โคซินสกีในชื่อเดียวกัน คำว่า Being There นี้โคซินสกี้น่าจะล้อเลียนมาจากชื่อหนังสือ Dasein ของนักปรัชญาชาวเยอรมันคือมาร์ติน ไฮเด็กเกอร์มา  หากดูโดยภาพรวม Being There ดูเหมือนจะสะท้อนแนวคิดปรัชญาของมาร์ติน ไฮเด็กเกอร์ไม่มากก็น้อย (แต่ถ้ามองในปัจจุบันก็วิเคราะห์ภาพยนตร์เรื่องนี้ผ่านแนวคิดแบบโพสโมเดิร์นก็ได้) เข้าใจว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะดีไปไม่ได้หากปราศจากนักแสดงนำคือปีเตอร์ เซลเลอร์สซึ่งถือได้ว่าเป็นนักแสดงแนวตลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกคนหนึ่ง 
 
Being There เป็นเรื่องของแชนซ์ (Chance) ชายปัญญาอ่อนคนหนึ่งซึ่งอายุก็ปาไป 50 กว่าปีแต่มีสมองไม่ต่างอะไรกับเด็กอายุ 5 ขวบ เขาได้รับการเลี้ยงดูจากชายชราคนหนึ่งพร้อมกับพี่เลี้ยงซึ่งเป็นผู้หญิงผิวดำ ตลอดชีวิตนั้นแชนซ์ไม่เคยก้าวเท้าออกนอกบ้านเลย เขาหมดเวลาไปกับการทำสวนและการชมโทรทัศน์ เมื่อชายชราเสียชีวิต แชนซ์จึงถูกไล่ออกจากบ้านโดยทนายที่ไร้ความเมตตา ภาพยนตร์เรื่องนี้มีเพลงประกอบที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขันไม่น้อย ฉากที่แชนซ์ใส่ชุดสากลเชย ๆ ออกนอกบ้านและเดินไปตามถนนของย่านเสื่อมโทรมที่มีแต่คนผิวดำ มีเพลงประกอบก็คือ Also Sprach Zarathustra ของริชาร์ด สตราสส์ ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกนำไปใช้ใน 2001 :Space Odyssey ของสแตนลีย์ คิวบริกจนกลายเป็นเพลงเอกของภาพยนตร์ แต่ในแบบของ Being There เป็นทำนองดนตรีฟังก์ราวกับจะบอกว่าแชนซ์บัดนี้กำลังก้าวเข้าไปสำรวจอวกาศอันกว้างใหญ่และแสนลึกลับตามสายตาของเขาซึ่งความจริงก็เป็นแค่สหรัฐฯ ในปลายทศวรรษที่ 70  ที่เต็มไปด้วยปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมสาระพัดซึ่งรัฐบาลแก้ไขไม่ได้ ภาพยนตร์ยังได้มีฉากที่น่าขบขันคือเมื่อแชนซ์ถูกล้อมกรอบและข่มขู่โดยแก๊งเด็กผิวดำ แชนซ์ก็ได้ใช้รีโมทคอนโทรลที่ติดมือมาด้วยเพื่อเปลี่ยนช่องให้พวกเด็กนรกหายไปแต่ไม่สำเร็จ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมโลกภายนอกจึงไม่เหมือนกับโทรทัศน์ ...แต่อย่าไปว่าเขาเลย แม้แต่เราเองซึ่งเป็นคนสติปัญญาธรรมดายังสับสนระหว่างชีวิตจริงกับภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์หรือแม้แต่โฆษณาเลย
 
 
 
                   
 
 
 
ทว่าโชคชะตาก็มาล้อเล่นกับแชนซ์ขณะเขากำลังเร่ร่อนไปในถนนยามค่ำคืนอย่างไร้จุดหมายนั้น รถลีมูซีนคันหรูก็ถอยมาชนเขาจนได้รับบาดเจ็บ เจ้าของรถเห็นว่าท่าทางแชนซ์เป็นคนดี ไม่โวยวายเหมือนอเมริกันชนทั่วไปที่ชอบฟ้องศาลเป็นนิจก็นำเขาไปส่งโรงพยาบาลแต่แล้วเธอเปลี่ยนใจพาไปบ้านแทน แต่เจ้าของรถยนต์หาใช่มิจฉาชีพไม่เพราะเธอคืออีฟ แรน (เชอร์ลี แม็คเลน) ภรรยาของเบนจามิน แรน (เมลวีน ดักกลัส) นักธุรกิจผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งของอเมริกา บ้านของอีฟนั้นแทบไม่ต่างอะไรจากโรงพยาบาลก็เพราะเต็มไปด้วยเครื่องมือและบุคลากรทางการแพทย์ที่เตรียมพร้อมมาเพื่อรักษาเบนจามินที่กำลังล้มป่วย แชนซ์ได้สร้างความประทับใจให้กับท่านผู้เฒ่าอย่างมากจนเขาเข้าใจว่าแชนซ์เป็นนักธุรกิจ คนหนึ่งที่มีความสุขุมประเภทพูดน้อยต่อยหนักแฝงด้วยปรัชญาอันลุ่มลึกแต่ธุรกิจล้มละลายเลยต้องมาตกยากเช่นนี้ เชนซ์จึงได้รับการเชื้อเชิญให้อาศัยอยู่ด้วยอย่างไม่มีกำหนดและคนในบ้านเข้าใจว่าแชนซ์มีชื่อจริงว่า "แชนซ์ เดอะการ์เดนเนอร์" เพียงเพราะแชนซ์บอกว่า เขาเป็นคนสวน (gardener) 
 
ตอนที่ไม่น่าเชื่ออีกตอนหนึ่งคือวันหนึ่งประธานาธิบดีบ็อบบี (แจ็ค วาร์เดน)ได้เดินทางมาเยี่ยมเบนจามินในฐานะที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของทำเนียบขาว เบนจามินยินดีจะให้แชนซ์อยู่ด้วยขณะพบกับประธานาธิบดี จึงเป็นฉากที่น่าประหลาดอยู่ไม่น้อยว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนแชนซ์เป็นแค่คนจรจัดที่ถ้าไม่เจออีฟก็คงจะนอนตายอยู่ข้างถนน แต่วันนี้เขากลับได้จับมือและพูดคุยกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างสนิทสนม ประธานาธิบดีนั้นเข้าใจว่าแชนซ์ต้องมีอะไรดีสักอย่างจึงได้รับการยกย่องจากเบนจามินเลยขอคำปรึกษาเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ แชนซ์ซึ่งไม่รู้อะไรเลยนอกจากการทำสวนจึงบอกแบบซื่อๆ ว่า 
 
 
"... ตราบใดที่รากนั้นยังไม่เสียหาย ทุกอย่างก็จะงอกงามอยู่ในสวน ... ในสวน การเจริญเติบโตมีฤดูกาลเป็นของตัวเอง ครั้งแรกฤดูใบไม้ผลิตและฤดูร้อนได้มาเยือนแต่เราก็จะพบกับฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว และฤดูใบไม้ผลิตและฤดูร้อนก็จะเวียนมาอีกครั้ง"
 
 
คำแนะนำอันเรียบง่ายแบบนี้กลับถูกตีความจากประธานาธิบดีว่าว่าเป็นการอุปมาอุปไมยเหมือนกวีไฮกุของศาสนาพุทธนิกายเซนว่าต้องทำให้รากฐานแบบเศรษฐกิจมั่นคงเพื่อให้วิกฤตเศรษฐกิจผ่านพ้นไปและความเจริญรุ่งเรืองกลับมาอีกครั้ง เขาจึงนำไปแถลงต่อสาธารณชนและได้ให้คำยกย่องแก่แชนซ์ด้วย แชนซ์จึงกลายเป็นคนดังไปทั่วอเมริกา นิตยสารและรายการโทรทัศน์ต่างแห่กันมาสัมภาษณ์เขา เมื่อแชนซ์ได้ออกงานสังคมโดยการนำของอีฟซึ่งก็แอบชอบเขาเหมือนกัน ใบหน้าที่เรียบเฉยและคำพูดง่ายๆ ตามประสาคนปัญญาอ่อนของแชนซ์กลับถูกตีความจากคนรอบข้างว่าเป็นบุคลิกและวาทะของปราชญ์ผู้หยั่งรู้โลก คำพูดบางประโยคที่ดูประหลาด ๆ คนก็ตีความว่าเป็นอารมณ์ขันของแชนซ์  ผู้ที่ถูกภาพยนตร์เสียดสีแรงไม่แพ้กันคือท่านประธานาธิบดีที่เริ่มระแวงสงสัยในปูมหลังของแชนซ์จึงให้เจ้าหน้าที่เอฟบีไอไปสืบประวัติของแชนซ์ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีอะไรสักอย่างเกี่ยวกับตัวเขาเลย ทำให้ประธานาธิบดีเข้าใจว่าชายคนนี้ได้ถูกลบประวัติอันเก่งกาจไปแล้วเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองบางประการ ความเชื่อเช่นนี้ยิ่งทำให้ท่านเครียดยิ่งขึ้นถึงขั้นเซ็กส์เสื่อมเลยทีเดียว   ผมเข้าใจว่าภาพยนตร์น่าจะเอาบุคลิกของประธานาธิบดีในยุคนั้นคือจิมมี คาร์เตอร์ซึ่งมีบุคลิกของคนอ่อนแอและขาดความเชื่อมั่นในตัวเองมาเป็นตัวตนของประธานาธิบดีในภาพยนตร์ก็เป็นได้ 
 
 
 
 
                
 
 
                                ภาพจาก  www.movie-roulette.com
 
 
แนวคิดสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้คือการที่แชนซ์และคนรอบข้างของเขาต่างไม่เข้าใจตัวตนที่แท้จริงของกันและกันได้เพียงแต่การตีความจากภาษาหรือลักษณะภายนอก ลักษณะนี้ก็คงจะเทียบเคียงได้กับ Being ในหนังสือของไฮเด็กเกอร์กระมังนั้นคือ Being ซึ่งเป็นรากฐานของสิ่งต่างๆ แฝงเร้นอยู่ในภาวะหนึ่งที่มนุษย์ไม่เคยเข้าถึง ในภาพยนตร์มนุษย์ก็เปรียบได้ดังแชนซ์ซึ่งไม่เข้าใจโลกของผู้ใหญ่ เขาหลงอยู่แต่โลกของตัวเองซึ่งมีอิทธิพลหลักคือโทรทัศน์ ในขณะเดียวกันคนอเมริกันต่างก็มองแชนซ์ในภาพที่ไกลจากตัวตนที่แท้จริงของเขาจนใกล้เคียงกับพระเจ้าขึ้นเรื่อยๆ  มุมมองเช่นนั้นไม่ต้องสงสัยว่าเกิดจากการถูกสะกดจิตโดยสื่อมวลชนที่ประสบความสำเร็จในการสร้างลัทธิ "เห่อบุคคล" ที่มีผลต่อการเลือกประธานาธิบดีของคนอเมริกันตลอดมาไม่มากก็น้อย หากเรามองสังคมอเมริกันในด้านลบ
 
ในตอนจบของภาพยนตร์ แชนซ์ได้ก้าวไปสู่จุดที่คนดูภาพยนตร์ยังคาดไม่ถึง (อันสมกับชื่อของเขาคือ Chance แปลว่า "โอกาส" หรือ "โชค")  คืออาจจะได้รับการเสนอชื่อจากพรรคการเมืองที่ประธานาธิบดีสังกัดอยู่เพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยหน้า มีเพียงไม่กี่คนเช่นหมอประจำตัวของเบนจามิน ทนายความ 2 คนที่ขับไล่แชนซ์ออกจากบ้านรวมไปถึงหลุยส์ ผู้หญิงผิวดำที่เคยเลี้ยงแชนซ์มาที่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของแชนซ์แต่คำรำพึงหรือความต้องการสะท้อนความจริงของแชนซ์จากคนเหล่านั้นก็คงเหมือนกับน้ำหยดเล็ก ๆ ในมหาสมุทรแห่งความศรัทธาอันมืดบอดของคนอเมริกันนั้นเอง
 
 
 
 
 

บล็อกของ อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์

อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
หากมีใครถามว่าถ้า จู่ๆ โลกนี้ หนังสือจะหายไปหมด แต่ผมสามารถเลือกหนังสือไว้เป็นส่วนตัวได้เพียงเล่มเดียว จะให้เลือกของใคร ผมก็จะตอบว่าหนังสือ "จันทร์เสี้ยว" หรือ  Crescent Moon ของท่านรพินทรนาถ ฐากูร กวีและนักปราชญ์ชาวอินเดียผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ในปี 1913  และหนังสือเล่มนี้ก
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
 "Whoever you are, I have always depended on the kindness of strangers." Blanche Dubois  ไม่ว่าคุณเป็นใคร ฉันมักจะพึ่งพ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
หากพูดถึงคำว่า Three Bs ผู้ใฝ่ใจในดนตรีคลาสสิกก็จะทราบทันทีว่าหมายถึงคีตกวีผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 3  ของเยอรมัน นั่นคือ Bach  Beethoven และ Brahms ถึงแม้จะมีความแตกต่างกันในหลายๆ ส่วน นั่นคือบาคเป็นคีตกวีในยุคบาร็อค เบโธเฟนและบราห์ม เป็นคีตกวีในยุคโรแมนติก นอกจากนี้บาคเป็นบิดาที่มีบุตรหลายคน
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ถ้าจะดูอย่างพินิจพิเคราะห์แล้ว La Dolce Vita (1960) ของเฟเดริโก เฟลลินี สุดยอดผู้กำกับภาพยนตร์ชาวอิตาลี ไม่ได้ด้อยไปกว่าภาพยนตร์ในเรื่องต่อมาของเขาคือ 8 1/2 ในปี 1963 แม้แต่น้อยโดยเฉพาะการสื่อแนวคิดอันลุ่มลึกผ่านสัญลักษณ์ต่างๆ เพียงแต่ภาพยนตร์เรื่องแรกเป็นสัจนิยมนั้นคือไม่ยอมให้จินตนาการกับความ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
    หนึ่งในบรรดาคีตกวีที่อายุสั้นแต่ผลงานสุดบรรเจิดที่เรารู้จักกันดีคือนักประพันธ์เพลงชาวออสเตรียนามว่าฟรานซ์ ชูเบิร์ต (Franz Schubert) ชูเบิร์ตเปรียบได้ดังสหายของเบโธเฟนผู้ส่งผ่านดนตรีจากคลาสสิกไปยังยุคโรแมนติก ด้วยความเป็นคีตกวีผสมนักกวี (และยังเป็นคนขี้เหงาเสียด้วย) ทำให้เขากลายเป็
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
การสังหารหมู่นักศึกษาเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ปี 2519 เป็นเหตุการณ์ที่น่าสะเทือนใจมากซึ่งน่าจะเป็นเรื่อง"ไทยฆ่าไทย" ครั้งสุดท้ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันที่สงครามเย็นได้สิ้นสุดไปและคนไทยน่าจะมีความรู้เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนดีกว่าเมื่อหลายสิบปีก่อน แต่การสังหารหมู่ประชาชนกลางเมืองหลวงเมื่อหลายปีก่อน
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
      ขออุทิศบทความนี้ให้กับโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
             เป็นเรื่องตลกถึงแม้ผมเอาแต่นำเสนอแต่เรื่องของดนตรีคลาสสิก แต่ดนตรีซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่ออารมณ์ความรู้สึกของผมเมื่อ 2-3 ทศวรรษก่อนจนถึงปัจจุบันคือดนตรีแจ๊ส และผมฟังดนตรีชนิดนี้เสียก่อนจะฟังดนตรีคลาสสิกอย่างจริงจังเสียอีก (ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าในป
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
หากจะเอ่ยชื่อคีตกวีชื่อดังของศตวรรษที่ 19-20 แล้ว คนๆ หนึ่งที่เราจะไม่พูดถึงเป็นไม่ได้อันขาดคือเดบูซี่ผู้ได้ชื่อว่ามีแนวดนตรีแบบอิมเพรสชั่นนิสต์ (Impressionism) และแน่นอนว่าดนตรีแนวนี้ย่อมได้รับอิทธิพลจากศิลปะภาพวาดของฝรั่งเศสซึ่งโด่งดังในศตวรรษที่ 19 โดยมีโมเนต์และมาเนต์เป็นหัวหอก เพลงของเดบูซ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
    เมื่อพูดถึงเพลงประสานเสียงแล้ว คนจะนึกถึงเพลงสวดศพของโมซาร์ทคือ Requiem หรือ Messiah ของแฮนเดิลเป็นระดับแรก สำหรับเบโธเฟนแล้วคนก็จะนึกถึงซิมโฟนี หมายเลข 9 เป็นส่วนใหญ่ ความจริงแล้วเพลงสวด (Mass) คือ Missa Solemnis อันลือชื่อ ของเขาก็ได้รับความนิยมอยู่ไม่
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
แน่นอนว่าคนไทยย่อมรู้จักเป็นอย่างดีกับฉากของหญิงสาวผมสั้นสีทองในเสื้อและกระโปรงสีดำพร้อมผ้าคลุมด้านหน้าลายยาวที่เริงระบำพร้อมกับร้องเพลงในทุ่งกว้าง เข้าใจว่าต่อมาคงกลายเป็นแรงบันดาลใจสำหรับหนังที่มีสาวม้งร้องเพลง "เทพธิดาดอย"อันโด่งดังเมื่อหลายสิบปีก่อน หรือแม้แต่เนื้อเพลง Lover's Concerto ที่ด
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
Debate =discussion between people in which they express different opinions about something อ้างจาก