Skip to main content

 

        ในการสร้างสรรค์ Star Wars ของจอร์จ ลูคัส ของทุกภาคนั้นล้วนได้รับแรงบันดาลใจมาจากผู้กำกับภาพยนตร์และภาพยนตร์ก่อนหน้านี้หลายเรื่องที่ถูกสร้างระหว่างทศวรรษที่ 30 ถึง 50 อย่างภาพยนตร์แฟนตาซีเช่น Flash Gordon (1936)  Wizard of Oz (1938)  หรือภาพยนตร์คาวบอยดังเช่น The Searchers (1956)  เช่นเดียวกับการที่เราไม่สามารถปฏิเสธอิทธิพลอันยิ่งใหญ่ของภาพยนตร์โฆษณาชวนเชื่อของนาซีที่สร้างโดยเรเน รีฟเฟนสตาห์ลคือ Triumph of the Will (1935)  ที่มีต่อ Star Wars   โดยเฉพาะฉากที่มองจากเบื้องสูงเหนือขบวนแถวของบรรดาทหารฝ่ายจักรวรรดิในภาคต่างๆ  หรือพวกทหารฝ่าย First Order ในภาค 7 The Force Awakens ซึ่งเจ. เจ. แอบรัมส์ อาจจะได้รับอิทธิพลจากเรเนผ่านลูคัส

 

      อย่างไรก็ตามผู้มีอิทธิพลต่อลูคัสมากที่สุดกลับเป็นผู้ที่มาจากฝั่งตะวันออกนั่นคือยอดผู้กำกับชาวญี่ปุ่น อาคิระ คุโรซาวา ซึ่งลูคัสให้ความเคารพอย่างสูงในฐานะเป็น “เซ็นเซ” (อาจารย์)  มีภาพถ่ายหลายภาพแสดงให้เห็นว่าทั้งลูคัส และเพื่อนผู้กำกับภาพยนตร์รุ่นเดียวกันไม่ว่าฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา หรือสตีเวนส์ สปีลเบิร์กได้ไปเยี่ยมเยียนคุโรซาวาหรือคุโรซาวาเองเดินทางไปเยือนกองถ่ายของ Star Wars ดังภาพที่เขายืนอยู่เคียงข้างลูคัสและหุ่นจำลองที่พวกจักรวรรดิใช้โจมตีพวกขบถในภาค The Empire Strikes Back (อาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ฉากฮันไปช่วยเหลือลุคท่ามกลางพายุหิมะอันโหดร้ายในภาคนี้มีความคล้ายคลึง Dersu Uzala ของคุโรซาวา)   อันสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นระหว่างผู้กำกับภาพยนตร์จากตะวันออกและตะวันตกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนหรือแม้แต่ในปัจจุบันก็ตาม นอกจากนี้ทั้งลูคัสและสปีลเบิร์กยังทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพร่วมกันในการมอบรางวัลออสการ์สาขาเกียรติยศให้กับคุโรซาวาในงานมอบรางวัลประจำปี 1990 ราวกับจะเป็นการแสดงความเคารพอย่างสูงต่อเซ็นเซซึ่งมีอายุครบรอบ 80 ปีพอดี

 

                        

                                        

                                                                          ภาพจาก kitbashed.com 

 

     ลูคัสนั้นน่าจะหมกมุ่นในภาพยนตร์ของคุโรซาวาอย่างมาก เขาถึงกลับเสนอให้โตชิโร มิฟูเน ดาราคู่บุญที่แสดงภาพยนตร์ร่วม 14 เรื่องของคุโรซาวาให้มารับบทของโอบิวัน เคนเนบี แต่มิฟูเนเกรงว่าภาพพจน์ยอดซามูไรของตนจะเสียหายเพราะในสมัยนั้นภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์แฟนตาซีมักถูกมองว่าเป็นภาพยนตร์เกรดต่ำและยังใช้ทุนสร้างไม่มากนัก  ลูคัสยังเสนอให้มิฟูเนมารับบทของดาร์ธ เวเดอร์ซึ่งต้องสวมหน้ากากอยู่ตลอดเวลา จึงได้รับการปฏิเสธไปในที่สุด เป็นเรื่องน่าเสียดายยิ่งนัก หากอย่างน้อยมิฟูเนมารับบทอาจารย์ของลุค สกายวอล์คเกอร์ แทนที่จะเป็นเซอร์อาเล็กซ์ กินเนส เบนน่าจะมีความพลิ้วไหวและสมจริงในการเป็นเจไดเพราะมิฟูเนซึ่งคว่ำวอดอยู่กับภาพยนตร์ซามูไรมาตลอดชีวิตย่อมใช้ดาบหรือกระบี่เลเซอร์ได้เก่งกว่ากินเนส กระนั้นมาลองจินตนาการเล่นๆ ว่าในระดับจิตใต้สำนึกเบนอาจจะเป็นสัญลักษณ์ของคุโรซาวา ส่วนลุคนั้นเปรียบได้กับลูคัส

      มีการวิเคราะห์ว่าภาพยนตร์ของคุโรซาวาที่มีอิทธิพลต่อเนื้อเรื่องของ Star Wars มากที่สุดก็คือ The Hidden Fortress ซึ่งมีตัวละครและเนื้อเรื่องที่คล้ายคลึงกันในหลายมุม ภาพยนตร์เรื่องนี้มีฉากคือช่วงสงครามในยุคกลางของญี่ปุ่น ชาวนากระจอก 2 คนคือ มาตาชิชิและตาไฮพากันหลบหนีออกจากคุก ต่อมาพวกเขาได้พบกับนายพลโรคุโรตะ มากะเบ (โตชิโร มิฟูเน) ผู้ซึ่งทำหน้าที่อารักขาเจ้าหญิงยูกิอย่างลับ ๆ ในที่ซ่อนบริเวณหุบเขาที่สูงชันโดยบังเอิญ มากะเบได้ทั้งข่มขู่ทั้งล่อลวงชายทั้ง 2 คนซึ่งดูโง่เขลาและเปี่ยมด้วยความละโมบให้ช่วยเขาอารักขาเจ้าหญิงยูกิกับแท่งทองคำให้เดินทางผ่านสมรภูมิไปยังไปยังต่างเมืองซึ่งปลอดภัยจากศัตรู  ในบทสัมภาษณ์ที่มากับดีวีดีของ The Hidden Fortress ลูคัสให้สัมภาษณ์ไว้ว่า Star wars ได้รับอิทธิพลในบางด้านจากภาพยนตร์เรื่องนี้โดยเฉพาะ C-3po และ R2D2 ที่เขาได้แรงบันดาลใจมาจากมาตาชิชิและตาไฮ แม้ว่าหุ่นยนต์ทั้ง 2 จะเหมือนกับคนทั้งคู่คือคนหนึ่งสูงและอีกคนหนึ่งเตี้ย แถมยังทะเลาะกันจนดูน่าขบขันและน่ารำคาญระคนกัน แต่คุณสมบัติของการเป็นคนเห็นแก่ได้และนักฉวยโอกาสของตัวละครของคุโรซาวาน่าจะถูกส่งผ่านไปยังนักขนของเถื่อนอย่างเช่นฮัน โซโล และชิวเบกาเสียมากกว่า โดยคนทั้งคู่นั้นเคยนึกถึงแต่ผลประโยชน์ของตนก่อนจะหันมาภักดีกับฝ่ายขบถซึ่งก็มีลักษณะเหมือนกับมาตาชิชิและตาไฮในตอนท้ายของเรื่อง นอกจากนี้เจ้าหญิงเรอาหรือเจ้าหญิงอามิดาราก็มีลักษณะคล้ายคลึงกับเจ้าหญิงยูกิ ตัวเอกอีกคนของ The Hidden Fortress ในด้านความห้าวหาญ (แม้ว่าลูคัสจะบอกว่าตัวเอกหญิงใน Star Wars มีบทต่อสู้มากกว่าก็ตาม)  จึงทำให้ตัวเอกผู้หญิงใน Star wars  มีความแตกต่างจากเจ้าหญิงในภาพยนตร์ฝรั่งยุคกลางซึ่งมักเป็นหญิงสาวผู้อ่อนแอน่าทะนุถนอม ยิ่งไปกว่านั้นใน Star Wars ภาค 7  บุคลิกนักสู้อย่างเจ้าหญิงยูกิได้ปรากฏอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นสำหรับนางเอกของเรื่องคือเรย์ซึ่งเก่งในด้านการต่อสู้แบบโบราณมากกว่าเรอาและอามิดาราซึ่งใช้ปืนเป็นอาวุธ  และน่าสนใจอีกว่าทั้งเรย์และฟินน์ก็เป็นคนตัวเล็กๆ เหมือนกับ C-3po และ R2D2 จึงเป็นไปได้ว่าอาแบรมส์จะได้รับอิทธิพลจากลูคัสหรือคุโรซาวาโดยตรงก็ได้ เพราะผู้กำกับภาค 7 ยอมรับถึงผู้มีอิทธิพลต่อการสร้างของภาพยนตร์ของเขาว่าหนึ่งในนั้นคือคุโรซาวา แม้เขาจะบอกว่าเป็นเพียงรูปแบบการสร้างภาพยนตร์อย่าง High and Low (1963) แต่น่าสนใจไม่น้อยว่าเขาจะพูดตรงกับความเป็นจริงหรือไม่ 

 

 

                                   

 

                                               ภาพจาก  screenaddkict.worldpress.com  

 

      นอกจากนี้ใน Star wars ยังมีอิทธิพลด้านอื่นของการสร้างสรรค์ของคุโรซาวาแทรกเข้ามาอยู่ประปรายนอกจากการยอมรับของลูคัสเองและก็มีความแตกต่างสลับกันไปอย่างเช่นโยดา ปรมาจารย์เจไดร่างเล็กซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าลูคัสได้แรงบันดาลใจมาจากกัมบาย ชิมาดะ ซึ่งรับบทโดยตาคาชิ ชิมูระ หัวหน้ากลุ่มโรนิน (ซามูไรที่ไร้เจ้านาย) ในภาพยนตร์เรื่องเจ็ดเซียนซามูไร หรือ Seven Samurai (1954)  โดยเฉพาะฉากที่โยดาเอามือถูศีรษะของตนก็ถือได้ว่าเป็นการเลียนแบบท่าทางของชิมาดะซึ่งทำเช่นนี้กับหัวของตนที่ล้านเลี่ยนเพราะถูกโกนเพื่อปลอมตัวเป็นพระในการเข้าช่วยเหลือเด็กซึ่งถูกโจรจับเป็นตัวประกอบในตอนต้นเรื่อง นอกจากนี้อัศวินเจไดมีนั้นลักษณะค่อนไปทางซามูไรมากกว่าอัศวินในยุคกลางของฝรั่งดังจะเห็นได้จากลักษณะการฟันดาบของเจไดซึ่งดูพลิ้วไหวแต่มีพลัง ประกอบกับหลักประพฤติปฏิบัติซึ่งเคร่งครัดด้านกายและการฝึกจิตให้ว่างจนสามารถละกิเลสได้ในระดับหนึ่งเช่นเดียวกับคำสอนในศาสนาพุทธนิกายเซน แต่ Star Wars ได้เลยระดับขั้นไปถึงการเกิดพลังจิตสำหรับช่วยในการต่อสู้ ด้วยคุโรซาวาดูเหมือนจะไม่เคยให้ตัวละครมุ่งเน้นไปทางการฝึกจิตหรือมีพลังจิตเพราะเขาเน้นความสมจริงในด้านสังคมและการเมืองมากกว่าเพื่อถ่ายทอดปรัชญาหรือแนวคิดอันลึกซึ้งบางอย่างที่แตกต่างจาก Star Wars 

 

   แนวคิดที่ทั้งลูคัสและคุโรซาวาเหมือนกันอีกประการก็คือเจไดเป็นชนชั้นหนึ่งของสาธารณรัฐที่มองว่าตนไม่ยุ่งกับการเมืองแต่ความจริงแล้วตัวเองเป็นฟันเฟืองชิ้นใหญ่ของการเมืองเหมือนดังภาพยนตร์ของคุโรซาวาคือ Sanjuro (1962) ซึ่งเป็นภาคต่อของ Yojimbo (1961) ที่บรรดาซามูไรกลายเป็นกลุ่มนักรบที่เข้ามาแก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองแทนที่จะทำตามคำสั่งของผู้ปกครองเพียงอย่างเดียว  กระนั้นลูคัสก็ได้ขยายความของเจไดให้ไปไกลกว่าคุโรซาวาเช่น วงการเจไดมีการตั้งเป็นสภาและการฝึกซ้อมอย่างเป็นกิจจะลักษณะรวมไปถึงการกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ที่ซับซ้อน (ปนกับความรักผสมความเกลียดฉันท์บิดาและบุตร)  ซึ่งมีอยู่ในภาพยนตร์ซามูไรของคุโรซาวาบางเรื่องเช่น Seven Samurai  และ Red Beard (1965)

 

 

                                          

                                          โปสเตอร์ The Hidden Fortess จาก www. tysto.com

 

   สุดท้ายนี้ หากมองตามบริบททางการเมืองโลกในทศวรรษที่ 70 ไจไดเปรียบได้ดังนักรบในสมรภูมิสงครามเย็นที่นำโลกเสรีเพื่อเอาชนะสหภาพโซเวียต พี่ใหญ่แห่งโลกคอมมิวนิสต์ซึ่งดำมืดและเต็มไปด้วยความชั่วร้ายเช่นเดียวกับจักรวรรดิเพื่อเป็นการเอาใจตลาดของผู้ชมที่เป็นคนอเมริกัน แม้แต่ปัจจุบันแนวคิดนี้ในภาค 7 ก็ยังทันสมัยอยู่ไม่น้อยเพราะมีผู้คาดการณ์ถึงการเกิดสงครามเย็นครั้งใหม่ที่สื่อตะวันตกหัวอนุรักษ์นิยมมักแบ่งโลกออกเป็น 2 ส่วนคือด้านสว่างคือสหรัฐฯและตะวันตก และด้านมืดคือรัสเซียกับประเทศเผด็จการที่เป็นเจ้าปัญหาทั้งหลายไม่ว่าอิหร่าน เกาหลีเหนือและซีเรีย แนวคิดเช่นนี้ Star Wars ถือว่าเป็นการแยกตัวออกจากคุโรซาวาซึ่งไม่เคยมีการแบ่งโลกออกเป็นด้านมืดและด้านสว่างอย่างชัดเจนเลยเพราะโลกของคุโรซาวานั้นเต็มไปด้วยความวุ่นวายสับสนอันได้รับการสะท้อนมาจากภาพยนตร์เรื่อง Ran (1985)  อย่างไรก็ตามหากพิจดูตัวละครใน Star Wars ซึ่งมักเต็มไปด้วยโศกนาฎกรรมและความดำมืดในจิตใจแล้ว โดยเฉพาะภาคล่าสุดที่ลูกฆ่าพ่อแล้ว อาจบอกได้ว่า Star Wars ของลูคัส (โดยเฉพาะ ภาค 1-3 ) หรือฉบับของอับแบรมส์ก็มักมีภาพเงาของคุโรซาวาเข้ามาทาบผ่านอยู่เสมอ

            

 

บล็อกของ อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์

อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ช่วงนี้หลายประเทศได้ทำการเฉลิมฉลองเนื่องในวาระครบรอบการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 คือเมื่อ 75 ปีที่แล้ว (ปี พ.ศ.1945 หรือ พ.ศ.2488) ประเทศที่ได้รับชัยชนะอย่างเช่นสหรัฐอเมริกาและพันธมิต
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
I remember reading the interview by the last promoter of คณะราษฏร (People's Party or PP) from the Sarakandee magazine ,probably a decade ago.At that time he was ageing , frail ,but still p
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
f n
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
n the future of disruptive world,if I am able to make the documentary film about Sergeant Major Chakaphan Thomma who committed the worst Mass shooting in Thai history , what will the t
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
Puzzling that it may seem when Thai authority chose the day king Naresuan reputedly fought with Hongsawadee's viceroy on the elephants as the Army Day.This is because, on that glorious
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
เห็นกระแสแปนิคเมื่อหลายวันก่อน ทำให้นึกได้ว่าชาวโลกมีการคาดหมายหรือหวาดกลัวมานานแล้วว่าจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 เริ่มได้ตั้งแต่ยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 มาหมาดๆ นั่นคือการกลายเป็นศัตรูระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพโซเวียตซึ่งเคยเป็นพันธมิตรกันแบบหลวมๆ ในการต่อสู้กับฝ่ายอักษะ การสิ้นสุดของสงครามได้ทำให้ฝ่า
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
นตำราเรียนมักบอกว่าหลังสิ้นสุดสงครามเย็นและการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1991 มีประเทศที่ยังเป็นคอมมิวนิสต์เหลืออยู่เพียง 5 ประเทศคือจีน เวียดนาม ลาว คิวบาว และเกาหลีเหนือ (ตลกดีมีคนที
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
  เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมาป็นวันครบรอบ 70 ปีของการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งมีการเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่ของรัฐบาลจีนไปพร้อมกับการประท้วงของชาวฮ่องกงซึ่งมุ่งมั่นท้าทายรัฐบ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
"...All right, Mr. DeMille, I'm ready for my close-up."
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
หากใครมาดูหนังเรื่อง Wild Strawberries แล้วเคยประทับใจกับหนังเรื่อง About Schmidt (2002) ที่ Jack Nicholson แสดงเป็นพ่อหม้ายชราที่ต้องเดินทางไปกับรถตู้ขนาดใหญ่เพื่อไปงานแต่งงานของลูกสาวและได้ค้นสัจธรรมอะไรบางอย่างของชีวิตมาก่อน ก็จะพบว่าทั้งสองเ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
Throne of Blood (1957) หรือ"บัลลังก์เลือด" เป็นภาพยนตร์ขาวดำของยอดผู้กำกับภาพยนตร์ญี่ปุ่นคืออาคิระ คุโรซาวา ที่ทางตะวันตกยกย่องมาก เกือบจะไม่แพ้ Seven Samurai หรือ Rashomon เลยก็ว่าได้ ลักษณะเด่นของมันก็คือการดัดแปลงมาจาก Macbeth