Skip to main content

Debate =discussion between people in which they express different opinions about something อ้างจาก http://www.merriam-webster.com/dictionary/debate

 

ดีเบตแปลว่า การถกเถียงกันระหว่างบุคคลโดยพวกเขาแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับบางเรื่อง

 

สาขาวิชาของข้าพเจ้าได้รับเชิญให้ไปร่วมงานดีเบตหรืองานถกเถียงร่างรัฐธรรมนูญที่หอประชุมของวิทยาลัยแห่งหนึ่งเมื่อวันที่ 2 สิงหาคมที่ผ่านมา ตอนแรกมีการร้องขอให้สถานที่จัดเป็นมหาวิทยาลัยของข้าพเจ้า แต่ดูเหมือน กกต.จะไม่ยินยอมเท่าไรนัก อาจเพราะเกรงว่าจะมีการปลุกระดมนิสิตหัวรุนแรงมาชูป้ายก็ได้ โดยทางเพื่อนที่ทำงานพร้อมใจกันโหวตให้ข้าพเจ้าเข้าร่วมในนามของฝ่ายไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญเพียงผู้เดียว ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าเก่งอยู่คนเดียว แต่บรรยากาศเช่นนี้ ย่อมทำให้คนแสดงการคัดค้านร่างรัฐธรรมนูญอย่างเปิดเผยรู้สึกอึดอัดใจ เพราะมีกฎหมายมาตีกันไว้ อันเป็นการส่งเสริมบรรยากาศซึ่งภาษาฝรั่งเค้าเรียกว่า repressive คือกดๆ ไว้จากรัฐบาล อันสะท้อนให้เห็นว่าเป็นการพรางตัวเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีของอีกฝ่ายที่ว่าไม่ยอมรับความคิดเห็นอันแตกต่าง

 

และก็เป็นจริงอย่างที่ข้าพเจ้าคาดเดาไว้ เพราะผู้จัดงานคือหน่วยราชการได้เปลี่ยนเป็นงานประชาสัมพันธ์ร่างรัฐธรรมนูญแทนดีเบตแทน ภายใต้ชื่อว่า "เวทีแสดงความคิดเห็น" มีผู้ว่าราชการจังหวัดและนายกอบจ.มานั่งฟังด้วย บรรยากาศจึงเป็นทางการแบบไทยๆ ที่ไม่น่าจะยอมรับความเห็นอันแตกต่างกันหรือความคิดแปลกใหม่ได้เพราะมีโพยเตรียมไว้หมดแล้ว ดีที่ผู้ดำเนินรายการคนสวยช่วยจัดให้มีดีเบตเล็กๆ ระหว่างข้าพเจ้ากับปลัดจังหวัดผู้นั่งอยู่เคียงข้างโดยบังเอิญ  ซึ่งท่านก็ได้แสดงความคิดเห็นแบบท่านมีชัยกับพี่ตู่ของอุดม แต้พานิชมาก เช่นเชียร์เรื่องรัฐธรรมนูญว่าจะให้สิทธิประชาชนเรื่องอะไรบ้างและก็โจมตีประชาชนไทยว่ายังไม่เหมาะสมกับประชาธิปไตยเหมือนกับคนอังกฤษ (เป็นการตอบโต้กับตัวอย่างที่ข้าพเจ้ายกถึงความยิ่งใหญ่ของรัฐสภาอังกฤษ) แถมยังโจมตีคณะราษฎรอีกต่างหาก ข้าพเจ้าอยากจะเถียงท่านมากกว่านี้ แต่ก็ต้องดึงๆ ตัวเอง หรือ self censor ไว้ เพราะไม่แน่ใจว่าบรรยากาศงานถูกออกแบบว่าจะไปทางไหนว่าไปถ้าดุเดือดกว่านั้นคนดูน่าจะพอรับได้เพราะโทรทัศน์ก็มีรายการแบบนี้บ่อยไป คิดเล่นๆ ว่าถ้างานนี้จัดโดยสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกันหรือบุ๊ครีพับลิก น่าจะสนุกกว่านี้ แต่อาจด้วยทางจังหวัดซึ่งปกครองเขตที่ทางรัฐบาลเพ่งเล็งพิเศษว่ามีเสื้อแดงอยู่มากเกรงว่าจะมีคนมาป่วนหรือประท้วง แม้แต่การเปิดให้คนดูแสดงความคิดเห็นก็กลายเป็นการเขียนกระดาษคำถามส่งให้ผู้ดำเนินรายการอ่านแทน ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นคำถามที่ไม่ค่อยเข้าเป้าเท่าไร กระนั้นคำอ้างเช่นนี้ของผู้จัดงานอาจเป็นการเขียนเสือให้วัวกลัวก็ได้ เพราะข้าพเจ้าก็ไม่เห็นวี่แววของใครจะมาป่วนงาน บางทีมีคนมาป่วนงานบ้างก็ดีจะได้เป็นสีสันของประชาธิปไตยเหมือนการรณรงค์การออกจากสหภาพยุโรปหรือ Brexit ของอังกฤษ แต่ตามตรรกะของระบบราชการไทยซึ่งสมองแช่แข็งตั้งแต่ยุคสฤษดิ์แล้ว การถกเถียงกันคือการทะเลาะกันและนำไปสู่ความวุ่นวาย และจะนำพวกเขาไปสู่ความเดือดร้อนเพราะจะถูกหน่วยเหนือเล่นงานเช่นสั่งย้ายหรือไม่ให้ความดีความชอบดังเช่นผู้ว่าราชการจังหวัดที่กลัวแม้แต่ป้ายโฆษณากาแฟยี่ห้อหนึ่งจึงต้องอ้างเรื่องก่อม๊อบไว้ก่อน งานที่ข้าพเจ้าเข้าร่วมเลยเป็นการประชาสัมพันธ์หรือโฆษณาชวนเชื่อดังว่า

 

ท้ายนี้ ข้าพเจ้าคิดว่างานที่พวกเสรีนิยมชื่นชอบอย่างดีเบตได้ถูกกลายร่างเป็นเฟอร์นิเจอร์สวยๆ ให้กับทางรัฐบาลได้อ้างกับต่างชาติเรื่องการส่งเสริมประชาธิปไตยได้เสมอ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมทางการเมืองไทยยุคหลังรัฐประหารวันที่ 22 พฤษภาคมตลอดไปไม่ว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะผ่านหรือไม่ก็ตาม นั่นคือการจัดเวทีนาฎกรรม (Drama) โดยรัฐเพื่อกล่อมประชาชนเสียมากกว่าจะอิงกับอุดมการณ์ทางการเมืองอย่างแท้จริง เว้นแต่ว่าไทยจะเป็นประชาธิปไตยเสรีนิยมอย่างแท้จริงไม่ว่าทางรูปแบบทางการเมืองหรือวัฒนธรรม ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าเมื่อไร

 

 

บล็อกของ อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์

อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
 
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
เข้าใจว่าผลงานของ William Shakespeare ที่คนไทยรู้จักกันดีรองจากเรื่อง Romeo and Julius ก็คือวานิชเวนิส หรือ Merchant of Venice ด้วยเหตุที่ล้นเกล้ารัชกาลที่หกทรงแปลออกมาเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาสำหรับเด็กนักเรียนได้อ่านกัน และประโยค ๆ หนึ่งกลายเป็นประโยคยอดฮิตที่ยกย่องดนตรีว่า &nbsp
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
หากพูดถึงหนังเพลงหรือ musical ที่มีสีสันมากที่สุดเรื่องหนึ่งในทศวรรษที่ห้าสิบและหกสิบ เราก็คงจะนึกถึงเรื่อง West Side Story เป็นเรื่องแรก ๆ อาจจะก่อน Singin' in The Rain หรือ Sound of Music เสียด้วยซ้ำ ด้วยหนังเรื่องนี้มีจุดเด่นคือเพลงทั้งบรรเลงและเพลงร้องที่แสนไพเราะ ฝีมือการกำกับวงของวาทยากรอ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
มักเป็นที่เข้าใจว่าอเมริกาเป็นประเทศแห่งความเท่าเทียมกัน อาจด้วยอเมริกานั้นไม่เคยเปลี่ยนผ่านยุคศักดินาเหมือนกับประเทศในเอเชียและยุโรป อเมริกาถึงแม้จะมีชนชั้นกลางมากแต่บรรดาในชนชั้นกลางก็มีการแบ่งแบ่งแยกที่ดีที่สุดคือเงิน รองลงมาก็ได้แก่ฐานะทางสังคม สีผิว เพศ ฯลฯ เอาเข้าจริงๆ ไม่มีสังคมไหนในโลกท
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
    1.นอยด์ เป็นคำแสลงที่ถือกำเนิดได้มานานหลายปีแล้ว มาจากคำว่า noid กร่อน (โดยคนไทยเอง) จากศัพท์อังกฤษ  paranoid ซึ่งแปลว่า ความวิตกกังวลว่าคนอื่นไม่ชอบหรือพยายามจะทำร้ายตัวเองแม้ว
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
                                                                                    &
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ผีเป็นบุคคลที่เราไม่พึงปรารถนาจะพบ แต่เราชอบนินทาพวกเขาแถมยังพยายามเจอบ่อยเหลือเกินในจอภาพยนตร์ ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่ามีตัวตนจริงหรือเปล่า ด้วยส่วนใหญ่ได้ยินกันปากต่อปาก ประสบการณ์ส่วนตัวก็ไม่ชัดเจน อาจเกิดจากความผิดปกติทางประสาทสัมผัส หรือการหลอกตัวเองก็ได้ ยิ่งหนังผีทำได้วิจิตร พิศดารออกมามากเท่า
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
                 แปลและตัดต่อบางส่วนจากบทความ Gustav Mahler : The Austrian composer เขียนโดยเดรีก วี คุก จาก  www.britannica.com
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ทศวรรษที่ 80 ของฝรั่งคือปี 1980-1989  หรือว่าช่วง พ.ศ. 2523  ถึง พ.ศ.
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ถึงแม้เบโธเฟน (Ludwig Van Beethoven) จะได้ชื่อว่าเป็น คีตกวีที่แสนเก่งกาจคนหนึ่งในยุคคลาสสิกและโรแมนติก แต่ศิลปะแขนงหนึ่งที่เขาไม่สู้จะถนัดนักคือการเขียนอุปรากร เหมือนกับ โมซาร์ท คาร์ล มาเรีย ฟอน เวเบอร์ หรือ โจอากีโน รอสซีนี  ดังนั้นช่วงชีวิต 50 กว่าปีของเบโธเฟนจึงสามารถสร้างอุปรากรออกมาไ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ตามความจริง คำว่า Godfather เป็นคำที่ดีมาก หมายถึงพ่อทูนหัว ของศาสนาคริสต์ที่หมายถึงใครสักคนหนึ่งยอมรับเป็นพ่อทูนหัวของเด็กซึ่งเป็นลูกของคนอื่นในพิธีศีลจุ่มหรือ Baptism เขาก็จะเป็นผู้ประกันว่าเด็กคนนั้นจะได้รับการศึกษาทางศาสนาและถ้าพ่อแม่ของเด็กคนนั้นตายก็ต้องรับอุปการะ นอกจากนี้ยังหมายถึงฝ่ายห
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
 visionary ,under the shadow Prayut tries to be the most visionary politician,but he is merely under the shadow of Thacky.&