หากจะเอ่ยชื่อคีตกวีชื่อดังของศตวรรษที่ 19-20 แล้ว คนๆ หนึ่งที่เราจะไม่พูดถึงเป็นไม่ได้อันขาดคือเดบูซี่ผู้ได้ชื่อว่ามีแนวดนตรีแบบอิมเพรสชั่นนิสต์ (Impressionism) และแน่นอนว่าดนตรีแนวนี้ย่อมได้รับอิทธิพลจากศิลปะภาพวาดของฝรั่งเศสซึ่งโด่งดังในศตวรรษที่ 19 โดยมีโมเนต์และมาเนต์เป็นหัวหอก เพลงของเดบูซี่จึงอ่อนโยน นุ่มนวล แต่บางครั้งก็ดูสับสนจากการแหกกรอบของดนตรียุคก่อนหน้านี้เหมือนดนตรีดังกล่าวมิผิดเพี้ยน ส่วนคตีกวีในยุคใกล้เคียงกันที่ถูกจัดให้อยู่ในตระกูลเดียวกันได้แก่เมอริซ ราเวล์
เดบูซี่ (อ่านเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า เดอบื่อซี่ แต่ขอเรียกชื่อเป็นสำเนียงอังกฤษ) มีชื่อเต็มว่า Achille-Claude Debussy เกิดเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ปี 1862 ที่เมืองแซงต์ เชอร์แมง อัง ลาเยซึ่งอยู่ไม่ห่างจากกรุงปารีสมากนัก ที่บ้านเปิดร้านขายถ้วยชามที่เป็นกระเบื้องเคลือบ นอกจากนี้บิดาของเขายังทำงานสารพัดอย่าง ไม่ว่าเซลล์แมนหรือเสมียน ส่วนมารดารับจ้างเย็บผ้าและเอาใจพร้อมเลี้ยงดูเดบูซี่อย่างมากทำให้วัยเด็กของเขาเป็นช่วงที่มีความสุข และเป็นครูสอนดนตรีคนแรกที่ค้นพบพรสวรรค์ทางดนตรีของเขา ครูสอนดนตรีท่านนี้นามว่า มาดาม โมต์ เดอ เฟอร์วิลล์ ผู้เคยเป็นลูกศิษย์ของจอร์จ ฟริเดริก โชแปง มาก่อน ดังนั้นจึงสามารถกล่าวได้ว่าโชแปงย่อมมีอิทธิพลต่อเดบูซี่โดยทางอ้อม
ภาพจาก www.settemuse.it
ต่อมาโมต์ได้ส่งเขาไปเรียนที่โรงเรียนสอนดนตรีในกรุงปารีส ในปี 1872 เป็นเวลา 10 ปี ในช่วงแรก ๆเขาอยากจะเป็นนักเล่นเปียโนที่เก่งกาจ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจเพราะว่าสอบตกถึง 2 ครั้ง เลยหันไปเรียนวิชาการแต่งเพลง จนได้รางวัลจากงานประกวดดนตรีที่ยิ่งใหญ่ชื่อว่า ปริซ์ เดอ โรเมและได้รับทุนไปเรียนต่อที่อิตาลีเป็นเวลา 2 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่งานของเขากำลังพัฒนาไปได้อย่างมหาศาล
เดบูซี่ยังทำงานเป็นครูสอนดนตรีให้กับบรรดาลูก ๆของ เศรษฐีนีที่เป็นแม่ม่ายนามว่ามาดาม นาเดซดา ฟอน เม็ค ผู้เคยให้การอุปถัมภ์ปีเตอร์ ไชคอฟสกี มาก่อน รวมไปถึงเล่นดนตรีในวงทรีโอ (มีนักดนตรีเล่นดนตรี 3 ชิ้นคือเปียโน เชลโลและไวโอลิน) ที่เธอเป็นคนก่อตั้งในช่วงปี 1879-1892 เดบูซี่มักจะคบค้ากับบรรดากวีโดยเฉพาะแบบสัญลักษณ์นิยมและจิตรกร ซึ่งเขาชื่นชอบมากถึงกลับบอกว่าถ้าไม่ได้เป็นนักดนตรีก็คงเป็นนักจิตรกร จึงไม่น่าประหลาดใจว่าทำไมเขาถึงแต่งเพลงเหมือนกับศิลปะแนวอิมเพรสชั่นนิสต์อย่างคล็อด โมเนต์ นอกจากนี้ เดบูซี่ยังได้รับอิทธิพลจากริชาร์ด แว็คเนอร์ ผู้แต่งอุปรากรขวัญใจของฮิตเลอร์ เขาชื่นชอบคีตกวีท่านนี้มาก เคยเดินทางไปชมอุปรากรของแว็คเนอร์ที่โรงละครไบรอยท์ เฟสต์สปีลเฮาส์ ในช่วงปี 1788 และซาบซึ้งกับเรื่อง Parsifal อย่างยิ่ง ต่อมาเขาก็ปฏิเสธดนตรีของแว็คเนอร์และหันมาสร้างแบบดนตรีของตนเอง
ในช่วงทศวรรษที่ 1790 เดบูซี่ได้สร้างสรรค์เพลงมากมายรวมไปถึงอุปรากรชื่อดังคือ Pelleas et Melisande (ซึ่งกว่าจะนำออกแสดงก็ปี 1902) รวมไปถึงบทเพลงอันงดงามและแปลกใหม่นามว่า "บทนำสู่ยามบ่ายของตัวฟอน" (Prelude pour Apres-midi d’un faun)ในปี 1894 ซึ่งสร้างชื่อเสียงให้กับเขาเป็นอย่างมาก อนึ่งตัวฟอนเป็นสัตว์ในเทพนิยายครึ่งคนครึ่งแพะ เพลงจะทำนองอ่อนโยนและฝันๆ ด้วยเดบูซี่ต้องการบรรยายถึงความรู้สึกของตัวฟอนแบบครึ่งหลับครึ่งตื่นในตอนบ่าย สำหรับผมเองกลับนึกถึงภาพของแมวตัวหนึ่งที่กำลังหลับฝันบนต้นลำใยในสวนแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านของตัวเอง ซึ่งก็น่าจะเปลี่ยนชื่อเป็น Prelude pour Apres-midi d’un chat
(ตัวFaun ในการ์ตูนของดีสนีย์)
ภาพจาก www.dvdizzy.com
นอกจากนี้เขายังแต่งดนตรีแบบออร์เคสตราชื่อว่า Nocturne suites ด้วย Nocturne แปลว่ากลางคืน ดังนั้นเพลงจึงอ่อนโยนเหมือนกับยามราตรี La Mer (ทะเล) และ Images (ภาพ) ในช่วงปี 1893-1909 ที่ลืมไม่ได้เป็นอันขาดคือเปียโนโซโลที่นักเปียโนทุกคนต้องรู้จักคือ Claire de lune (แสงจันทร์) จากดนตรีอัลบั้ม Suite bergamasque และเพลง reverie (ความฝัน) ซึ่งเดบูซี่แต่งในปี 1890 สำหรับ Claire de lune นี่ไม่ทราบเป็นอย่างไรผมชอบฟังและนึกถึงพระจันทร์เต็มดวงของคืนวันลอยกระทงซึ่งเป็นเทศกาลที่งดงามที่สุดในรอบปีสำหรับผม ส่วนในช่วงระหว่างปี 1909-1910 เพลงของเดบูซี่ที่ไพเราะมากคือ La fille aux chevux de lin หรือหญิงสาวผู้มีผมเหมือนผ้าป่าน จากอัลบั้ม preludes ซึ่งผมฟังแล้วกลับไปนึกถึงเย็นวันฝนตกที่บรรยากาศดูเนิ่บนาบเศร้าสร้อยระคนด้วยความงามของธรรมชาติในสวนของโมเนต์ แน่นอนว่าต้องมีภาพของเม็ดฝนตกลงมากระทบพื้นน้ำในสระที่เต็มไปด้วยดอกบัวใต้สะพานโค้งแบบญี่ปุ่น
ภาพจาก www.bytra.com
แต่สิ่งที่เดบูซี่คงอยากจะลืม ในขณะที่คนรอบข้างไม่ยอมลืมคือความสัมพันธ์ของเขากับหญิงสาวหลายคน ซึ่งหนึ่งในนั้นนามว่าโรซาลีพยายามต้องการจะฆ่าตัวตายหลังจากที่เขาสลัดรักไปแต่งงานกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง นามว่าเอมมา บาร์ดาซ์ แทน แต่การฆ่าตัวตายของโรสาลีไม่สำเร็จ ทำให้เพื่อนๆ ศิลปินและคีตกวี หลายคนหันมาเห็นใจเธอและเกลียดเดบูซี่แทน อย่างไรก็ตาม เดบูซี่ก็ได้ลูกสาวหนึ่งคนจากบาร์ดาซ์ ในปี 1905 ปีเดียวกับที่เขาแต่งเพลง La Mer เสร็จ แต่เขาก็แต่งเพลงแนวสวีต (Suite) หรือบทประพันธ์ที่ประกอบด้วยบทเพลงหลายๆ บทนำมาบรรเลงต่อกันเป็นชุด ที่ชื่อ Children's Corner (มุมของเด็ก)ให้แก่ลูกของตัวเองใน 3 ปีหลังจากนั้น
ภาพจาก amazon.com
เดบูซี่ต้องชะงักในการสร้างสรรค์งานเมื่อพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งและอาการเริ่มกำเริบ ตอกย้ำโดยสงครามโลกครั้งที่ 1 อุบัติขึ้นในปี 1914 อย่างไรก็ตามเดบูซี่ก็ยังพยายามสร้างสรรค์งานจนสุดความสามารถ เพลงสุดท้ายที่เขาแต่งคือโซนาตาสำหรับเปียโนและไวโอลินหมายเลข 4 ซึ่งออกแสดงในปี 1917 เดบูซี่เสียชีวิตในวันที่ 25 มีนาคม ปี 1918 ในกรุงปารีส ท่ามกลางกระสุนปืนใหญ่ที่ถูกระดมยิงอย่างหนักจากกองทัพเยอรมัน เนื่องจากประเทศชาติกำลังอยู่ในภาวะคับขัน งานศพของเขาจึงถูกจัดอย่างเรียบง่าย ปราศจากการตกแต่งอย่างหรูหราตามที่พึงจะได้รับ อย่างไรก็ตาม เขาก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นคีตกวีผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของฝรั่งเศสและของโลก
เพลงของเดบูซีถูกนำไปประกอบภาพยนตร์และโฆษณามากมาย เช่น หากใครนึกทำนองของเพลง Claire de lune หรือ แสงจันทร์ ไม่ออก ก็ลองนึกถึงหนังเรื่อง Seven years in Tibet ที่แบร์ด พิตต์ แสดงเป็นนักไต่เขาชาวออสเตรียที่เดินทางพลัดหลงไปยังทิเบตและท่านทะไลลามะได้มอบกล่องเพลงที่บรรเลงเพลงนี้ให้เขา
บล็อกของ อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
1.บวรศักดิ์ อุวรรณโณคิดว่าร่างรัฐธรรมนูญของตนนั้นเป็น
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
บทความต่อไปนี้บางส่วนเอามาจากบทความของคุณเดวิด เบอร์นาร์ด จาก http://www.chambersymphony.com/ เข้าใจว่าโซโฟนีหมายเลข 7 นี้
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
บทความนี้ได้รับการแปลและตัดต่อบางส่วนจากเว็บ The History Place:World War in Euroe ผู้เขียนไม่ทราบชื่อ บทความนี้ยังถูกนำเสนอเนื่องในโอกาสครบรอบการเสียชีวิตของฮิตเลอร์เมื่อ 70 ปีที่แล้ว (30 เมษายน ปี 1945) เช่นเดียวกับก
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
คงมีภาพยนตร์เพียงไม่กี่เรื่องที่สามารถสะท้อนความคิดทางปรัชญาอันลุ่มลึกและมักทำให้ผมระลึกถึงอยู่เสมอเวลาดูข่าวต่างๆ หรือไม่เวลาพบกับเหตุการณ์ทางการเมือง ภาพยนตร์เหล่านั้นนอกจากราโชมอนของ อาคิระ คุโรซาวาแล้วยังมี Being There ที่ภาพยนตร์สุดฮิตอย่า
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
1. กลุ่มกปปส.ต่อหน้ารัฐบาลยิ่งลักษณ์คิดว่าตัวเองเป็น
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
1. เพลง Give It Up ของวง KC&Sunshine Band (ปี 1983)
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
1.Don Giovanni คีตกวี วู๊ฟกัง อมาเดอุส โมสาร์ต
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
The Pianist ซึ่งกำกับโดยโรมัน โปลันสกีถูกนำออกฉายในปี 2002 และได้รับการยกย่องรวมไปถึงรางวัลออสการ์และอื่นๆ เป็นจำนวนมาก ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างมาจากหนังสืออัตชีวประวัต
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
1.คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะคิดว่าตัวเองเป็น
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
เมื่อพูดถึงเพลงคลาสสิก ภาพแรกที่ปรากฏอยู่ในหัวของทุกคนก็คือผู้ชายหรือไม่ก็เด็กชายฝรั่งสวมวิคแต่งชุดฝรั่งโบราณกำลังเล่นเปียโนอยู่ หากจะถามว่าคนๆ นั้นคือใคร ทุกคนก็จะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาคือ โมสาร์ต คีตกวีผู้มีชื่อเสียงมากที