Skip to main content
 
ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับของหมอดูที่ผมรวบรวมมาจากการประสบพบเองบ้าง (ในชีวิตนี้ก็ผ่านการดูหมอมาเยอะ) จากการสังเกตการณ์และนำมาครุ่นคิดเองบ้าง ซึ่งก็ไม่ได้หมายความถึงหมอดูทุกคน เพราะคงมีจำนวนไม่น้อยที่มีฝีมือจริงๆ  กระนั้นผมเห็นว่าไม่ว่าเก่งหรือไม่เก่ง พวกเขาหรือเธอต้องใช้เคล็ดลับหรือกลยุทธ์ดังกล่าวเพื่อโปรโมตตัวเองเพราะหมอดูก็คืออาชีพหนึ่งที่ต้องการลูกค้าเป็นจำนวนมากอันจะนำไปสู่ค่าตอบแทนสูงๆ เช่นเดียวกับชื่อเสียงหรือการยอมรับในสังคม 
 
 
1.สถานภาพของหมอดู
 
เคล็ดลับนี้เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง หากหมอดูคนนั้นสามารถสร้างบุคลิกภาพให้คนเลื่อมใสได้ก็ถือว่ามีชัยไปกว่าค่อน ไม่ว่าวัย นั่นคือเป็นหมอดูที่สูงวัยจะดูน่าเลื่อมใสกว่าเป็นหนุ่มสาว นอกจากนี้หมอดูควรจะเป็นคนมีลักษณะพิเศษเช่นคนตาบอด พิกลพิการ เป็นพระ หรือแม่ชี เป็นลูกจีนที่ค่อนข้างนิยมความเป็นจีนแล้วเรียกว่าตัวเองเป็นซินแซ วิธีการดูดวงก็หลากหลายไม่ว่า ดูลายมือ ลายเท้า วันเดือนปีเกิด ดูลายเท้า ดูโหงวเห้ง ดูฮวงจุ้ย ฯลฯ หรืออีกขั้วหนึ่งคือทำตัวเป็นชาวไฮโซหรือยับปี้แต่งตัวดี ขับรถเบ็นซ์ ที่ถือว่าการดูดวงเป็นแค่งานอดิเรก  ถ้าเป็นอาชีพนี้วิธีการดู  ดวงที่เหมาะคือ การดูไพ่ยิปซี กากชาหรือใช้คอมพิวเตอร์ช่วย ย่อมดูมีคลาสกว่ามาขีดเขียนบนกระดาษสมุด
 
2.ภาพลักษณ์
 
ข้อ 2  ค่อนข้างคาบเกี่ยวกับข้อแรก การสร้างภาพลักษณ์ให้ลูกค้าเกิดความเลื่อมใส ศรัทธา ตั้งแต่เห็นหน้า จะเป็นการสะกดจิตลูกค้าให้รู้สึกคล้อยตามในภายหลัง หมอดูโดยมากจะอิงกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงนิยมบูชาเทพเจ้า บางคนหนักเข้าก็เป็นร่างทรง บางรายออกรายการโทรทัศน์ว่าเคยล้มป่วยเจียนตายจนพบกับเทพและทรงบัญชาให้ตนมาเป็นร่างทรง เวลาท่านเข้าไปในบ้านหรือสถานที่ดูดวง ท่านก็จะเห็นหิ้งพระที่มีแต่รูปของเทพในศาสนาฮินดูกันพรึบเพื่อเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์สำหรับคนไทยที่รู้จักเทพฮินดูแบบผิวเผิน แต่แน่นอนที่ขาดไม่ได้คือพระพุทธรูป เพราะหมอดูต้องการยืนยันกับท่านว่าเขาหรือหล่อนเป็นคนดีมีศีลธรรม เพราะคนไทยไม่เคยชินกับหลักคำสอนของศาสนาฮินดู การนับถือแต่เทพ อาจทำให้แสดงความเป็นคนดีไม่ชัดเจนจึงต้องพึ่งพระพุทธรูป
 
นอกจากนี้หมอดูก็อาจจะบอกท่านอีกว่า เขาหรือหล่อนจะถือศีล 8 ในวันพระ หรือมีกิจวัตรที่ไม่เหมือนคนทั่วไป นอกจากนี้การโปรโมตตัวเองเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง หมอดูบางคนได้ดิบได้ดีกับการออกรายการและพยายามสร้างโลโก้ให้กับตัวเองให้โดดเด่นเช่นเช่นการฟันธง (โดยให้ตัวเองมีคำว่า"หมอ"หรือ"อาจารย์"นำหน้าทั้งที่ประวัติการศึกษาไม่ชัดเจน)ห รือไปออกรายการดูดวงให้คนโน้นคนนี้แล้วพยายามสร้างกระแสว่าคำทำนายของตัวเองถูกต้องยิ่งดี เงินค่าทำนายก็แล้วแต่กลุ่มเป้าหมาย ถ้าเป็นรากหญ้าก็น้อยหน่อย หวังปริมาณ แต่ไฮโซก็เล่นหนัก ๆ แต่จำนวนของค่าดูต้องลงท้ายด้วยเลข 9  เป็นจิตวิทยาคือทำให้ดูราคาถูกและขลังอย่างบอกไม่ถูก
 
3.การโปรโมต
 
หากเป็นหมอดูระดับประเทศ ที่มีทุนสูง การโปรโมตย่อมผ่านสื่อต่างๆ เช่นหนังสือพิมพ์หัวสี หนังสือเมาท์ดาราที่พวกแม่บ้านชอบอ่านกัน  หรือถ้ายุคใหม่ก็เป็น อินเทอร์เน็ตไม่ว่าเว็บไซต์หรือเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ ฯลฯ แต่ถ้าเป็นหมอดูระดับพื้นๆ แบบชาวบ้าน การโปรโมตที่ดีที่สุดคือผ่านปากต่อปาก เราจึงจะไปดูหมอคนนั้นเพราะได้ยินใครบางคนบอกว่าแม่นเสมอ การพูดกันปากต่อปากนี้สามารถคาดเคลื่อนได้ อาจด้วยความไม่ตั้งใจ ใส่สีใส่ไข่เอง เพื่อการปิดบัง ว่าตัวเองได้เสียท่าไปแล้วของคนบอก หรือที่ร้ายที่สุดหมอดูจ้างให้มาเป็นหน้าม้าอีกที ด้วยสังคมไทยเป็นสังคมตื่นงาย จึงเป็นสังคมแบบยูโทเปียสำหรับอาชีพหมอดูเป็นยิ่งนัก นอกจากนี้คนไทยยังเป็นคนขี้เกรงใจเวลาหมอดูทายผิดมักจะไม่กล้าแสดงออกว่าไม่พอใจหรือโวยวาย ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับตัวหมอเพราะลูกค้าคนอื่นที่มานั่งรอคิวจะไม่รู้ 
 
4.คำทำนาย 
 
ข้อนี้ถือได้ว่าเป็นหัวใจของการเป็นหมอดูจึงขอนำเสนอเป็นข้อ ๆ 
 
4.1 คำทำนายของหมอดูระดับประเทศหรือโหรการเมือง
 
หากใครต้องการโด่งดังเป็นพิเศษ การทำนายดวงบ้านดวงเมืองจึงน่าสนใจเป็นยิ่งนัก ถึงแม้ว่าเรื่องการเมืองไทยจะวุ่นวายสับสนแค่ไหน แต่การสร้างคำทำนายที่กว้าง คลุมไปทั่ว เปิดให้มีการตีความมาก ๆ จะช่วยให้คำทำนายของเขายิ่งมีความเสี่ยงที่จะถูกมากขึ้น หากบังเอิญถูกก็จะดังระดับชาติไป ถ้าผิดก็จะทำตัวนิ่งเงียบ รอให้สังคมลืมแล้วจึงโปรโมตตัวเองใหม่ผ่านสื่อต่างๆ 
 
ส่วนคำทำนายมักจะเป็นเช่นนี้
 
-ชะตาของเมืองไทยจะน่าเป็นห่วงในปีนี้หรือปีหน้า พระศุกร์จะเข้าพระเสาร์จะแทรกอะไรก็ว่าไป บลาห์ ๆๆ 
 
ก็แน่นอนตลอดประวัติศาสตร์ชาติไทย เคยมียุคไหนที่มีแต่ความสงบสุขดุจดังโลกพระศรีอาริยเมตไตรยบ้าง มันต้องมีความวุ่นวายอยู่บ้างแน่นอน ดังนั้นมีปีไหนที่ไม่น่าห่วงบ้าง ?  ยิ่งสื่อมวลชนปัจจุบันที่เวลาเสนอข่าวการเมือง เศรษฐกิจจะชอบใส่อารมณ์ใส่สีเข้าไปด้วย การทำนายในด้านลบจะมีโอกาสถูกมากว่าด้านบวกเพราะสื่อทำให้คนโดยมากมองสังคมในด้านร้าย เช่นไทยรัฐชอบลงข่าวหน้าหนึ่งคือเรื่องเยาวชนฆ่าข่มขืนกันมากกว่าข่าวเยาวชนไปช่วยทำประโยชน์ให้กับสาธารณะ 
 
-ดาราหรือไฮโซ คนมีชื่อเสียงคู่โน้นคู่นี้จะเลิกกัน ไม่ได้แต่งงานกันหรือแต่งแล้วก็จะหย่า
 
จริงๆ แล้วคู่รัก สามีภรรยาไม่ว่าดังหรือไม่ดัง เป็นคนธรรมดาหรือดาราก็มีแนวโน้มที่จะเลิกกัน (โดยเฉพาะคู่ที่รักกันเฉพาะกิจคือเพื่อโปรโมตตัวเอง) หรือหย่าร้างกันสูงอยู่แล้ว จากสถิติพบว่า 1 ใน 3 คู่ที่จดทะเบียนสมรสกัน (โดยเฉพาะในวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมา) ได้หย่าร้างกัน ดังนั้นการทำนายเรื่องหย่าร่างจึงมีโอกาสถูกเกินร้อยละ 70  โอกาสที่จะรักกันจนถึงตอนตะบันน้ำหมากกินแบบน้าแอ๊ด สมบัติ เมทะนีก็หาได้ยากยิ่ง ดาราบางคู่ขนาดมีลูก 3 ก็เลิกกันได้ 
 
-เศรษฐกิจไม่ดี
 
มีแนวโน้มที่เศรษฐกิจของไทยโดยทั่วไปจะไม่ดีโดยเฉพาะในปัจจุบันที่เศรษฐกิจไทยมีการเจริญเติบโตต่ำ และมีแนวโน้มสำหรับผู้ประกอบการทั่วไปที่จะคิดว่าเศรษฐกิจไม่ดี ยกเว้นบางช่วงที่มีภาพเศรษฐกิจดีอย่างชัดเจนเช่นยุคของพลเอกชาติชายและทักษิณ ดังนั้นการเสี่ยงที่จะทำนายเศรษฐกิจในด้านลบจึงมีโอกาสจะตรงกับใจคนฟังมากกว่าและจะนำไปสู่ความวิตกกังวลซึ่งสามารถแก้ไขโดยพิธีกรรมจากตัวหมอดูเองอันนำไปสู่รายได้เพิ่มเติม
 
-จะเกิดภัยธรรมชาติร้ายแรง 
 
แน่นอนมันมีทุกปีแหละ น้ำท่วม แผ่นดินไหว ภัยแล้ง โรคระบาด ฯลฯ เลือกเอาเลย ไม่มีปีไหนให้เหยียบ มายุคนี้ก็จะเป็นโลกร้อน น้ำท่วมโลก ถ้าเป็นสมัยก่อนนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกออกมาเตือนจนกลายเป็นสารคดีดัง  An Inconvenient Truth คงไม่มีหมอดูคนไหนพูดถึงเรื่องโลกร้อนเป็นอันขาด หรือก่อนที่จะเกิดซึนามิทางภาคใต้ของไทยเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ก็ไม่มีใครทำนายเรื่องดังกล่าวมาก่อนเลย 
 
-ระวังการก่อการร้าย
 
เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับทั่วโลกที่ตระหนักถึงภัยการก่อการร้ายภัยหลัง เหตุการณ์เครื่องบินชนตึกเมื่อ 11 กันยายน 2001 หรือการที่หลายแห่งในโลกตกเป็นเป้าหมายของกลุ่มไอเอส การก่อร้ายสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา ทุกรูปแบบ น่าตลกว่าอย่างเมืองนอกที่ฝรั่งเองก็คลั่งหมอดูเหมือนกัน ไม่ยักจะมีใครทำนายเหตุการณ์เครื่องบินชนตึกหรือการก่อการร้ายแบบถี่ยิบเหมือนปีที่แล้วได้ล่วงหน้าเลย มีแต่มาอ้างว่าเคยทำนายทีหลัง
 
- จะมีความวุ่นวายทางการเมือง จะมีการยึดอำนาจ 
 
แน่นอนการเมืองไม่ว่าชาติไหนต้องมีความวุ่นวาย มีเล่นเกมกันทุกเดือนทุกปีแหละ การเมืองไทยกับการรัฐประหารนั้นคู่กันเหมือนกับผีแห้งกับโลงผุมาตั้งแต่ไหนแต่ไร สักครั้งหนึ่งมันต้องมีการยึดอำนาจ ยิ่งเมืองไทยติดอันดับโลกของความเป็นไปได้ที่จะเกิดรัฐประหารอยู่แล้ว 
 
-บุคคลสำคัญหรือมีชื่อเสียงจะเสียชีวิต
 
แน่นอนว่าเมืองไทยมีคนสำคัญหรือมีชื่อเสียงในวงการต่างๆ เป็นหลายหมื่นหลายแสนคน คงต้องมีการล้มตายบ้างในปีหนึ่งๆ หรืออย่างในเมืองนอกล่าสุด นายคิม จองนัมถูกน้องชายของตนซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือสั่งสังหารก็น่าจะเข้าข่ายดังกล่าว
 
-ผู้นำทางการเมืองอาจถูกลอบสังหาร
 
เพื่อเป็นการเพิ่มยอดขายให้กับสื่อโดยที่ไม่มีหลักฐานอะไรชัดเจนเพราะการลอบสังหารก็เหมือนกับการก่อการร้ายที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย  เท่าที่เห็นมาเคยเจอสื่อยี่ห้อหนึ่งซึ่งมีราคาถูกและได้รับความนิยมจากผู้อ่านที่เป็นผู้หญิงมักนำเสนอคำทำนายของหมอดูเช่นในอดีตเคยทำนายว่าผู้นำของคมช. (รัฐประหารปี 2549) จะถูกวางยาพิษ (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าคสช.จะได้รับคำทำนายเช่นนี้หรือไม่)  ทำให้ผมสงสัยว่าสื่อดังกล่าวลอกเอามาจากข่าวต่างประเทศที่รัสเซียวางยาพิษอดีตเคจีบีที่แปรพักตร์ในอังกฤษหรือเปล่า เพราะเมืองไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยเล่นวิธีการนี้ มีแต่ลอบฆ่าด้วยปืนกับระเบิดกันอย่างเดียว เกิดมีคนมาท้วงในตอนนี้ว่าทำไมไม่ยักกะมีอะไร หมอก็จะแก้ตัวว่าเพราะผู้นำต่างระวังตัว เลยรอดไป 
 
 
-ผู้นำทางการเมืองปัจจุบัน (โดยเฉพาะเผด็จการ) จะดำรงตำแหน่งไปอีกยาวนาน
 
โหรการเมืองที่ทำนายเช่นนี้ย่อมมีจิตใจฝักใฝ่เผด็จการอยู่แล้ว และเผด็จการก็ให้การฝักใฝ่ในตัวเขาเหมือนกัน จึงไม่ต้องสงสัยว่าจะทำให้เขามีอนาคตอันยาวไกลหรือได้ลาภสักการะจากกองทัพโดยเฉพาะนายทหารระดับสูงและภรรยาที่อุปนิสัยคลั่งหมอดู แม้ว่าผู้นำทางการเมืองจะไม่ศรัทธาแต่ก็น่าจะชื่นชอบโหรการเมืองเช่นนี้อยู่ไม่น้อยเพราะเป็นการสร้างเครดิตให้กับตัวเขาในสังคมไทยอันเป็นสังคมที่ปราศจากเหตุผลหรือมีแนวโน้มไปในเรื่องไสยศาสตร์หรือบารมีส่วนบุคคล
 
 
4.2 คำทำนายของหมอดูระดับทั่วไป
 
อันนี้ยกตัวอย่างนะครับเพราะคงเขียนลงในนี้ไม่หมดหรอก
 
-คุณกำลังมีเคราะห์
 
แน่นอน ใครบ้างที่จะที่ไม่มีความทุกข์หรือพบกับความลำบากเลย และยิ่งมีความทุกข์ไม่ว่ามากหรือน้อยก็มีแนวโน้มที่จะมาหาหมอดูมากขึ้น เอ เมื่อกี้เดินเหยียบขี้หมาไม่รู้ว่าเป็นเคราะห์หรือเปล่า ?
 
-ดวงคุณกำลังจะมีลาภ 
 
โคตรกว้างเลย เก็บเงินได้สัก 10  บาทจะถือเป็นไปได้ตามคำทำนายหรือเปล่านะ ? เคยมีหมอดูบอกผมว่าจะมีลาภ 2 ขามาหา ดีใจรอแทบตายปรากฏว่าไก่หลงเข้ามาในบ้าน 1 ตัว 
 
- คุณเป็นคนดีแต่คนรอบข้างไม่เห็นคุณค่า
 
ก็แน่ล่ะ ใครบ้างจะไม่เห็นว่าตัวเองดีกัน ? อะไรคือเกณฑ์ตัดสินระหว่างดีกับไม่ดี เช่นลูกค้าเป็นเมียน้อย ก็อาจจะเข้าข้างตัวเองว่าเป็นคนดีเพราะช่วยให้คุณผู้ชายได้ระบายความทุกข์จากเมียหลวงปากบรรลัย
 
- งานการของคุณจะหนักหนา เจ้านายไม่รัก
 
คนส่วนใหญ่ต่างก็คิดว่าตัวเองทำงานหนักกันทั้งนั้น นาน ๆ ทีจะมีไฮโซนั่งกินนอนกินไม่ต้องทำอะไรมาดูดวงสักที และส่วนใหญ่ก็คิดว่าเจ้านายไม่เข้าข้างตัวเอง 
 
- จะได้พบเนื้อคู่ผิว...หุ่น... มาจากทิศ...
 
เป็นการสุ่มที่ดี เพราะมีโอกาสถูกสูงมาก ด้วยลักษณะที่ว่าคือ ผิว หุ่น ทิศที่อยู่ ฯลฯของมนุษย์ มันค่อนข้างกว้าง เปิดให้คนที่เชื่อในการคำทำนายตีความเข้าข้างตัวเองได้ เพราะในชีวิตนี้คงจะได้มีโอกาสได้พบกับคนมากมายที่อาจจะเข้าเข้าข่ายที่ว่าพอดี หรืออีกกรณีหนึ่ง สำหรับคนมีแฟนแล้ว หากได้ยินคำทำนายนี้ก็จะตีความให้แฟนของตัวเองเข้าข่ายเนื้อคู่ที่หมอดูว่าอย่างแน่นอน แต่สมมติว่าถ้าไม่ตรงแล้วเราไปเล่นงานหมอดู หมอดูก็บอกว่าคุณเจอแล้วแต่มีบางอย่างเช่นกรรมเก่ามาเบี่ยงเบนไม่ให้เป็นแฟนกัน หรือดวงมันมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา 
 
-ให้ระวังอุบัติเหตุ 
 
ก็แน่ละ ทุกคนไม่ว่าจะเพศไหน วัยไหนก็ต้องระวังอุบัติเหตุไว้ก่อน ยิ่งลูกค้าขับรถมา หมอดูก็ต้องบอกว่ามีดวงเกี่ยวกับการอุบัติเหตุรถ ซึ่งมันสามารถเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้
 
-ให้ระวังเรื่องสุขภาพ 
 
สำหรับมนุษย์เราสมัยนี้ที่กินอะไรเข้าปากก็มีแต่สารพิษทั้งนั้นก็มีสิทธิล้มป่วยโรคไหนก็ได้ยิ่งลูกค้าเป็นคนอายุมาก ๆ ระบุไปเลยครับ ตับไต หัวใจ ใส้พุง มีสิทธิ์ถูกเข้าทั้งนั้น
 
-จะทะเลาะกับคู่สมรส พูดจาไม่เข้าหูกัน
 
ยิ่งลูกค้าเป็นคนอายุมากๆ การทำนายเช่นนี้มีโอกาสถูกสูงมากเพราะผัวเมียวัยดึกจะพูดจาดีต่อกันได้ตลอดเวลาช่างมีน้อยเต็มประดา แม้แต่หนุ่มสาว โอกาสที่จะทะเลาะกันก็มีมากหากได้ยินคำทำนายเช่นนี้ลูกค้าก็อาจจะตีความเข้าข้างตัวเองก็ได้
 
- พี่น้อง/ลูก/คนรอบข้างพึ่งพาได้หรือไม่ได้
 
อันนี้หมอต้องใช้วินิจฉัยเอาเองจากสภาพของลูกค้า หากลูกค้าดูกังวลใจและดูด้อยทรัพย์ การฟันธงว่าพี่น้องหรือลูกหรือคนรอบข้างพึ่งพาไม่ได้จะมีโอกาสถูกสูงกว่า นอกจากนี้คำว่า "พึ่งพา"ยังเปิดให้มีการตีความเพราะมันมีหลายระดับ อันนี้เจอเข้ากับตัวผมเองเลยครับ ผมพาแม่ไปดูดวง หมอดูก็บอกว่า ลูกคนนี้พึ่งได้ (อ้าวถ้าพึ่งไม่ได้แล้วจะขับรถพาแม่มาดูหมอได้หรือวะ ?)
 
-คุณจะอายุยืน
 
เป็นธรรมดาสำหรับมนุษย์เราที่ต่างปรารถนาจะเสียชีวิตด้วยวัยอันสมควร การทำนายเช่นนี้ย่อมปลอดภัยกว่าการชี้ลงไปชัด ๆ ว่าลูกค้าจะตายเมื่อไร หรืออย่างน้อยที่สุดก็ควรทำนายว่าให้ระวังอันตรายหรืออุบัติเหตุร้ายแรงในช่วงอายุนั้น ๆ และถ้าลูกค้าดันมาตายก่อนก็คงจะเป็นผีมาเตะหมอดูไม่ได้ หรือญาติคนตายก็คงมัวแต่เศร้าเสียใจไม่ได้มายืนด่าหมอ ที่สำคัญนั่นเป็นแค่ลูกค้ารายหนึ่งเท่านั้น
 
-ถ้าขยันก็จบ
 
อันนี้เจอมากับตัวนะครับ ถามว่าจะเรียนจบเมื่อไร หมอดูที่แสนดีก็ตอบแบบข้างบนนั่นแหละ เล่นเอาหงิกไปเลย พร้อมกับคำถามในใจว่า "แล้วกูจะมาดูหมอทำไมฟะ ?"หรืออย่างดี หมอดูบางคนอาจจะเล่นคำนิดหน่อยเช่น "จบแต่ต้องใช้เวลามากหน่อย" คือแกคงคิดว่าจำนวนของคนขยันที่มาดูหมอน่าจะน้อยกว่าจำนวนคนขี้เกียจที่ไม่แน่ใจผลการเรียนของตัวเอง อย่างนี้แหละปลอดภัยดีแต่ผมละเลิกสนใจดูหมอเลย
 
5.สรุป
 
บางทีมันก็มีนะครับ คือถูกเป๊ะเลยเช่นสามารถทำนายว่าคุณมีลูก 3  คนได้ทั้งที่เพิ่งคุยกันได้แค่ 2-3 คำ แต่อย่าชะล่าใจไปหากท่านไม่ได้เจอหมอดูระดับเทพตัวจริง คำทำนาย 10 ครั้งอาจจะมีถูกแค่ 2 หรือ 3 ครั้ง แต่หากหมอดูสามารถสะกดจิตลูกค้าได้จากกลยุทธทั้ง 3  ข้อแรก เมื่อเจอข้อที่ 4 เข้าซึ่งทั้งหมดเป็นคำทำนายที่ใช้ถ้อยคำคลุมเครือ ลูกค้าก็อาจจะตีความเข้าข้างตัวเอง คำนายก็ถูกเพิ่มขึ้นจนเกือบเต็ม 10  หมอดูจริง ๆ ก็คือคนที่สนใจในสถานการณ์โลกหรือเหตุการณ์บ้านเมือง (จนสามารถเรียกได้ว่าเป็นนักพยากรณ์ศาสตร์แบบภูมิปัญญาชาวบ้าน) เช่นเดียวกับการเป็นนักจิตวิทยาที่ดี ทำตัวเป็นมิตร ทำให้ลูกค้าไว้ใจหรือไม่ก็เกรงขาม จนเผลอบอกรายละเอียดบางอย่างเกี่ยวกับชีวิตของตัวเอง ทำให้หมอดูสามารถใช้เป็นร่องรอยหรือ clue ในการเดาหรือทำนายชีวิตของคุณได้ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่เราควรจะพึงตะหนักไว้ให้ดีเมื่อมาดูหมอ
 

บล็อกของ อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์

อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
หากมีใครถามว่าถ้า จู่ๆ โลกนี้ หนังสือจะหายไปหมด แต่ผมสามารถเลือกหนังสือไว้เป็นส่วนตัวได้เพียงเล่มเดียว จะให้เลือกของใคร ผมก็จะตอบว่าหนังสือ "จันทร์เสี้ยว" หรือ  Crescent Moon ของท่านรพินทรนาถ ฐากูร กวีและนักปราชญ์ชาวอินเดียผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ในปี 1913  และหนังสือเล่มนี้ก
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
 "Whoever you are, I have always depended on the kindness of strangers." Blanche Dubois  ไม่ว่าคุณเป็นใคร ฉันมักจะพึ่งพ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
หากพูดถึงคำว่า Three Bs ผู้ใฝ่ใจในดนตรีคลาสสิกก็จะทราบทันทีว่าหมายถึงคีตกวีผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 3  ของเยอรมัน นั่นคือ Bach  Beethoven และ Brahms ถึงแม้จะมีความแตกต่างกันในหลายๆ ส่วน นั่นคือบาคเป็นคีตกวีในยุคบาร็อค เบโธเฟนและบราห์ม เป็นคีตกวีในยุคโรแมนติก นอกจากนี้บาคเป็นบิดาที่มีบุตรหลายคน
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ถ้าจะดูอย่างพินิจพิเคราะห์แล้ว La Dolce Vita (1960) ของเฟเดริโก เฟลลินี สุดยอดผู้กำกับภาพยนตร์ชาวอิตาลี ไม่ได้ด้อยไปกว่าภาพยนตร์ในเรื่องต่อมาของเขาคือ 8 1/2 ในปี 1963 แม้แต่น้อยโดยเฉพาะการสื่อแนวคิดอันลุ่มลึกผ่านสัญลักษณ์ต่างๆ เพียงแต่ภาพยนตร์เรื่องแรกเป็นสัจนิยมนั้นคือไม่ยอมให้จินตนาการกับความ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
    หนึ่งในบรรดาคีตกวีที่อายุสั้นแต่ผลงานสุดบรรเจิดที่เรารู้จักกันดีคือนักประพันธ์เพลงชาวออสเตรียนามว่าฟรานซ์ ชูเบิร์ต (Franz Schubert) ชูเบิร์ตเปรียบได้ดังสหายของเบโธเฟนผู้ส่งผ่านดนตรีจากคลาสสิกไปยังยุคโรแมนติก ด้วยความเป็นคีตกวีผสมนักกวี (และยังเป็นคนขี้เหงาเสียด้วย) ทำให้เขากลายเป็
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
การสังหารหมู่นักศึกษาเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ปี 2519 เป็นเหตุการณ์ที่น่าสะเทือนใจมากซึ่งน่าจะเป็นเรื่อง"ไทยฆ่าไทย" ครั้งสุดท้ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันที่สงครามเย็นได้สิ้นสุดไปและคนไทยน่าจะมีความรู้เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนดีกว่าเมื่อหลายสิบปีก่อน แต่การสังหารหมู่ประชาชนกลางเมืองหลวงเมื่อหลายปีก่อน
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
      ขออุทิศบทความนี้ให้กับโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
             เป็นเรื่องตลกถึงแม้ผมเอาแต่นำเสนอแต่เรื่องของดนตรีคลาสสิก แต่ดนตรีซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่ออารมณ์ความรู้สึกของผมเมื่อ 2-3 ทศวรรษก่อนจนถึงปัจจุบันคือดนตรีแจ๊ส และผมฟังดนตรีชนิดนี้เสียก่อนจะฟังดนตรีคลาสสิกอย่างจริงจังเสียอีก (ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าในป
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
หากจะเอ่ยชื่อคีตกวีชื่อดังของศตวรรษที่ 19-20 แล้ว คนๆ หนึ่งที่เราจะไม่พูดถึงเป็นไม่ได้อันขาดคือเดบูซี่ผู้ได้ชื่อว่ามีแนวดนตรีแบบอิมเพรสชั่นนิสต์ (Impressionism) และแน่นอนว่าดนตรีแนวนี้ย่อมได้รับอิทธิพลจากศิลปะภาพวาดของฝรั่งเศสซึ่งโด่งดังในศตวรรษที่ 19 โดยมีโมเนต์และมาเนต์เป็นหัวหอก เพลงของเดบูซ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
    เมื่อพูดถึงเพลงประสานเสียงแล้ว คนจะนึกถึงเพลงสวดศพของโมซาร์ทคือ Requiem หรือ Messiah ของแฮนเดิลเป็นระดับแรก สำหรับเบโธเฟนแล้วคนก็จะนึกถึงซิมโฟนี หมายเลข 9 เป็นส่วนใหญ่ ความจริงแล้วเพลงสวด (Mass) คือ Missa Solemnis อันลือชื่อ ของเขาก็ได้รับความนิยมอยู่ไม่
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
แน่นอนว่าคนไทยย่อมรู้จักเป็นอย่างดีกับฉากของหญิงสาวผมสั้นสีทองในเสื้อและกระโปรงสีดำพร้อมผ้าคลุมด้านหน้าลายยาวที่เริงระบำพร้อมกับร้องเพลงในทุ่งกว้าง เข้าใจว่าต่อมาคงกลายเป็นแรงบันดาลใจสำหรับหนังที่มีสาวม้งร้องเพลง "เทพธิดาดอย"อันโด่งดังเมื่อหลายสิบปีก่อน หรือแม้แต่เนื้อเพลง Lover's Concerto ที่ด
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
Debate =discussion between people in which they express different opinions about something อ้างจาก