Skip to main content
เบโธเฟนและอิทธิพลอันยิ่งใหญ่ต่อการเมืองโลก
 
ท่ามกลางความโหดร้ายทารุณของไวรัสโควิด-19 ในเดือนนี้ก็มีข่าวอันน่าปิติของชาวยุโรปโดยเฉพาะเยอรมันว่าครบรอบวันเกิดของคีตกวี (นักประพันธ์เพลงคู่ไปกับนักดนตรี) ชื่อดังและที่เป็นที่นิยมที่สุดของโลกนั่นคือลุดวิก ฟาน เบโธเฟน ถ้าหากเขายังมีชีวิต เขาจะอายุครบ 250 ปีพอดีในเดือนนี้ มีการจัดงานวันเกิดนั่นคือคอนเสิร์ตและการแสดงทางศิลปะเกี่ยวกับเบโธเฟนมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2019 ในกรุงบอนน์อันได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเยอรมันอย่างเต็มที่
 
ไม่มีใครรู้ว่าเบโธเฟนเกิดวันที่เท่าไร แต่ที่มีหลักฐานชัดเจนคือเขาเข้าพิธีรับศีลจุ่มในวันที่ 17 ธันวาคม ปี 1770 ที่กรุงบอนน์ ประเทศเยอรมันในปัจจุบัน คนจำนวนมากสันนิฐานว่าเขาอาจเกิดวันที่ 16 อย่างไรก็ตามเป็นที่แน่ชัดว่านอกจากเบโธเฟนจะเป็นคตีกวีที่ดนตรีได้รับการเล่นมากที่สุดคนหนึ่งของโลก เขายังเป็นบุคคลสำคัญทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์แห่งชาติอันสำคัญยิ่งของเยอรมัน นอกจากนี้ตัวตนและงานดนตรีของเบโธเฟนยังมีอิทธิพลต่อการเมืองโลกมากที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ อุดมการณ์ทางการเมืองไม่ว่าจะอยู่ฝั่งใดล้วนแต่พยายามหยิบฉวยงานของงานของเขาเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเอง อย่างเช่นลัทธิเสรีนิยมถือว่าเบโธเฟนเป็นไอดอลเพราะนอกจากจะไม่ท้อถอยต่อโชคชะตาอย่างอาการหูหนวกแล้ว เขายังเป็นตัวอย่างของศิลปินกระฎุมพีผู้ขบถต่อจารีตประเพณี อย่างเช่นตอนเบโธเฟนกับกวีชื่อดังอย่างเช่น โยฮันน์ โวล์ฟกัง ฟอน เกอเธ่เดินคุยกัน พวกเขาได้พบกับขบวนของเจ้านายพระองค์หนึ่ง เกอเธ่ค้อมตัวให้เจ้านายอย่างนอบน้อมในขณะที่เบโธเฟนเดินผ่านไปด้วยความเมินเฉย อันอาจบอกได้ว่าคีตกวีเอกมีแนวคิดคนเท่ากันตามแบบประชาธิปไตย เช่นเดียวกับนิสัยเป็นคนเจ้าอารมณ์ไม่ยอมใคร เป็นตัวของตัวเองสูงของเบโธเฟนซึ่งสะท้อนถึงแนวคิดปัจเจกนิยม (แต่คนรอบข้างเขาในสมัยนั้นอาจรู้สึกเอือมระอาเพราะเห็นว่าเป็นนิสัยเสียมากกว่า)
 
ส่วนงานดนตรีของเบโธเฟนก็ถูกพวกเสรีนิยมมองว่าเป็นการขบฎต่อดนตรียุคเก่านั้นคือการเปลี่ยนผ่านยุคคลาสสิกมาสู่ยุคโรแมนติกอย่างเช่นซิมโฟนีหมายเลข 3 ที่เบโธเฟนเคยเขียนอุทิศให้นายพลนโปเลียน โบนาปาร์ต เมื่อนโปเลียนปราบดาภิเษกเป็นจักรพรรดิฝรั่งเศส เบโธเฟนก็ได้ขีดพระนามของพระองค์ออกจากสมุดด้วยความเดือดดาลแล้วใช้ชื่อว่า Eroica แทนอันสะท้อนถึงแนวคิดต่อต้านทรราช หรืออย่างซิมโฟนีหมายเลข 9 โดยเฉพาะท่อนที่ 4 ซึ่งเป็นเสียงร้องประสานเสียงชื่อ Ode to Joy ก็ถูกมองว่าเป็นภาพปรากฎของคำขวัญของการปฏิวัติฝรั่งเศสซึ่งเกิดขึ้นในช่วงวัยหนุ่มของเบโธเฟนคือเสรีภาพ ความเสมอภาค ภราดรภาพ และอุปรากรเพียงเรื่องเดียวของเบโธเฟนคือ Fidelio ซึ่งเป็นเรื่องของสตรีที่ปลอมตัวเป็นชายเข้าไปช่วยเหลือสามีนักหนังสือพิมพ์ซึ่งถูกทรราชคุมขังไว้ในคุกใต้ดินอันเป็นการอุปมาถึงการต่อสู้เพื่อเสรีภาพของปัจเจกชนกับเผด็จการ
 
แม้แต่พวกฟาสซิสต์อย่างพรรคนาซีก็ให้ความสำคัญแก่เบโธเฟนเช่นเดียวกับริชาร์ด วาคเนอร์ นักแต่งอุปรากรขวัญใจของฮิตเลอร์ นักคิดของพรรคนาซีมีความพยายามอย่างยิ่งในการทำให้เบโธเฟนมีความเป็นอารยันให้มากที่สุด (แน่นอนว่าดนตรีของชาวยิวและแจ๊ซของคนผิวดำที่เคยแพร่หลายในช่วงสาธารณรัฐไวมาร์จึงมีลักษณะต้องห้ามเพราะเป็นดนตรีอันต่ำช้า) ดังนั้นตระกูลของเบโธเฟนจึงมักถูกบันดาลให้เป็นเยอรมันแม้ว่าเขาจะบรรพบุรุษเชื้่อสายฟลิมมิชจากเบลเยี่ยม ทั้งนี้ไม่ต้องนับลักษณะร่างกายของเบโธเฟนซึ่งจะกลายเป็นคนผิวขาว สูงสง่า ในขณะที่ตัวจริงของเขาสันทัด ผิวค่อนข้างคล้ำ (คือถ้าใช้เกณฑ์ของชาวยุโรปก็อาจเป็นคนผิวดำได้) ในแวดวงของนาซีจึงมักยกย่องซิมโฟนีหมายเลข 5 ที่นำการบรรเลงโดยวาทยกรชื่อดังอย่างวิลเฮล์ม เฟิร์ตแลงเลอร์ และยังกล่าวกันว่าฮิตเลอร์ถือว่าเบโธเฟนคือตัวแทนของเจตจำนงของคนเยอรมันทั้งผอง และจอมเผด็จการยังชอบซิมโฟนีหมายเลข 9 ถึงแม้เนื้อเพลงจะกล่าวถึงความรักที่คนทั้งโลกพึงมีให้กันและฮิตเลอร์มีปราถนาอันแรงกล้าในการลบล้างชาวยิวออกจากโลกใบนี้ก็ตาม
 
อนึ่งเป็นเรื่องตลกร้ายเมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรใช้ช่วงเริ่มต้นของซิมโฟนีหมายเลข 5 ในการกระจายเสียงผ่านวิทยุเพื่อเป็นการเป็นการส่งรหัสมอสที่เป็นแทนตัว V หรือ Victory นั่นคือชัยชนะเหนือเยอรมัน และเมื่อสหรัฐฯ กับฝ่ายสัมพันธมิตรเข้ายึดครองเยอรมันภายหลังสงคราม พวกเขาซึ่งก็ชื่นชอบเบโธเฟนอยู่แล้วก็ยังเปิดให้มีการบรรเลงเพลงของเบโธเฟนได้โดยไม่ถือว่าเป็นดนตรีของพวกนาซีแต่ประการใด
 
สำหรับคอมมิวนิสต์นั้นย่อมประทับใจสำหรับเนื้อหา Ode to Joy ที่ เบโธเฟนดัดแปลงมาจากผลงานของกวีชื่อดังคือ ฟรีดิช ชิลเลอร์ซึ่งแสดงถึงความรักระหว่างเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ซึ่งจะช่วยโฆษณาชวนเชื่อให้เห็นถึงความกลมเกลียวของบรรดาชนชั้นกรรมาชีพในการต่อสู้กับชนชั้นนายทุน ส่วนประเทศที่ให้ความเคารพแก่เบโธเฟนอย่างล้นพ้นคือเยอรมันตะวันออกนั้นเอง ประเทศซึ่งมีอายุยังน้อยเพราะถือกำเนิดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มุ่งหมายในการให้เบโธเฟนเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ของประเทศตน เบโธเฟนจึงถูกขยายภาพเสียใหญ่โต เป็นคีตกวีผู้มีจิตใจมุ่งมั่น อุทิศงานให้แก่มนุษยชาติและความก้าวหน้าของอารยธรรม เยอรมันตะวันออกยังพยายามแย่งเบโธเฟนจากเยอรมันตะวันตกโดยมองว่าเพื่อนบ้านของตนเป็นพวกทุนนิยมที่แสนชั่วร้าย วัฒนธรรมฟอนเฟอะไม่เหมาะกับเบโธเฟนอย่างยิ่ง แม้ว่าบ้านเกิดของเขาจะอยู่ในกรุงบอนน์ซึ่งเป็นเมืองหลวงของเยอรมันตะวันตก กระนั้นชาวเยอรมันตะวันออกซึ่งต่อต้านคอมมิวนิสต์ก็ใช้เบโธเฟนเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้รัฐบาลเผด็จการ ดังนั้นจึงไม่น่าประหลาดใจว่าในช่วงที่เยอรมันรวมเป็นหนึ่งเดียวหลังการล่มสลายของเยอรมันตะวันออก งานอันสำคัญยิ่งในเชิงสัญลักษณ์คือการบรรเลงซิมโฟนีหมายเลข 9 ที่นำโดยวาทยกรชาวอเมริกันคือลีโอนาร์ด เบอร์สไตน์ที่ Konzerthaus กรุงเบอร์ลินเพียงไม่กี่เดือนหลังกำแพงเบอร์ลินถูกทำลายในปี 1989 (เป็นเรื่องน่าสนใจว่าเบอร์สไตน์ยังได้ดัดแปลงชื่อ Ode to Joy เป็น Ode to Freedom)
 
สำหรับจีนนั้นเป็นเรื่องน่ากล่าวถึงอย่างยิ่งเพราะตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นคอมมิวนิสต์เมื่อปี 1949 จีนยังไม่เคยหยุดรักเบโธเฟนซึ่งพวกเขารู้จักมาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 บุคลิกของเบโธเฟนผู้อาจหาญต่อชะตากรรมนั้นเป็นตัวอย่างที่เหมาะกับค่านิยมของจีนในการต่อสู้กับลิขิตฟ้า เช่นเดียวกับรูปแบบดนตรีของเบโธเฟนซึ่งมีลักษณะปฏิวัตินั้นช่างเหมาะกับอุดมการณ์ของจีนที่เข้าสู่ยุคใหม่ซึ่งมีการล้มล้างแนวคิดเก่าๆ ดนตรีของเขาบางชิ้นอย่างซิมโฟนีหมายเลข 6 หรือ Pastoral Symphony ที่บรรยายถึงฉากและชีวิตของชาวนาในชนบทอาจถูกพรรคคอมมิวนิสต์ตีความว่าเป็นดนตรีแห่งชนชั้นกรรมชีพ และในทศวรรษที่ 50 มีการบรรเลงเพลงซิมโฟนีหมายเลข 9 พร้อมกับ Ode to Joy ที่ถูกแปลเป็นภาษาแมนดาริน อย่างไรก็ตามดนตรีของเบโธเฟนรวมไปถึงคีตกวีคนอื่นๆ ก็ต้องถูกสั่งห้ามในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมที่เห็นว่าดนตรีตะวันตกเป็นของชนชั้นกระฎุมพีอันแสนชั่วช้า นักดนตรี วาทยกรหลายคนก็พบกับชะตากรรมอันน่าแสนเศร้าจากฝีมือของเหล่าเรดการ์ด จนเมื่อเติ้ง เสี่ยวผิงได้เปิดประเทศจีนในปลายทศวรรษที่ 70 จึงได้รับเอาวัฒนธรรมตะวันตกและดนตรีของเบโธเฟนอีกครั้ง และเมื่อนักศึกษาได้ทำการประท้วงรัฐบาลคอมมิวนิสต์ที่จตุรัสเทียนอันเหมินในปี 1989 พวกเขาได้เปิดเพลงซิมโฟนีหมายเลข 9 ในช่วงระหว่างประท้วงด้วย
 
ที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้เป็นอันขาดนั้นคือ Ode to Joy ยังกลายเป็นเพลงประจำสหภาพยุโรปซึ่งก่อนหน้านี้ก็กำลังประสบปัญหาเรื่องผู้อพยพและการอุบัติของพวกขวาจัด (ซึ่งก็อาจจะใช้เบโธเฟนเป็นเครื่องมือ) อีกด้วย
Alles Gute zum Geburtstag ,Herr Beethoven!

 

 

                            ซิมโฟนีหมายเลข 5 (เบทโฮเฟิน) - วิกิพีเดีย

ภาพจาก วิกิพีเดียไทย

บล็อกของ อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์

อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
f n
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
n the future of disruptive world,if I am able to make the documentary film about Sergeant Major Chakaphan Thomma who committed the worst Mass shooting in Thai history , what will the t
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
Puzzling that it may seem when Thai authority chose the day king Naresuan reputedly fought with Hongsawadee's viceroy on the elephants as the Army Day.This is because, on that glorious
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
เห็นกระแสแปนิคเมื่อหลายวันก่อน ทำให้นึกได้ว่าชาวโลกมีการคาดหมายหรือหวาดกลัวมานานแล้วว่าจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 เริ่มได้ตั้งแต่ยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 มาหมาดๆ นั่นคือการกลายเป็นศัตรูระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพโซเวียตซึ่งเคยเป็นพันธมิตรกันแบบหลวมๆ ในการต่อสู้กับฝ่ายอักษะ การสิ้นสุดของสงครามได้ทำให้ฝ่า
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
นตำราเรียนมักบอกว่าหลังสิ้นสุดสงครามเย็นและการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1991 มีประเทศที่ยังเป็นคอมมิวนิสต์เหลืออยู่เพียง 5 ประเทศคือจีน เวียดนาม ลาว คิวบาว และเกาหลีเหนือ (ตลกดีมีคนที
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
  เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมาป็นวันครบรอบ 70 ปีของการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งมีการเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่ของรัฐบาลจีนไปพร้อมกับการประท้วงของชาวฮ่องกงซึ่งมุ่งมั่นท้าทายรัฐบ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
"...All right, Mr. DeMille, I'm ready for my close-up."
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
หากใครมาดูหนังเรื่อง Wild Strawberries แล้วเคยประทับใจกับหนังเรื่อง About Schmidt (2002) ที่ Jack Nicholson แสดงเป็นพ่อหม้ายชราที่ต้องเดินทางไปกับรถตู้ขนาดใหญ่เพื่อไปงานแต่งงานของลูกสาวและได้ค้นสัจธรรมอะไรบางอย่างของชีวิตมาก่อน ก็จะพบว่าทั้งสองเ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
Throne of Blood (1957) หรือ"บัลลังก์เลือด" เป็นภาพยนตร์ขาวดำของยอดผู้กำกับภาพยนตร์ญี่ปุ่นคืออาคิระ คุโรซาวา ที่ทางตะวันตกยกย่องมาก เกือบจะไม่แพ้ Seven Samurai หรือ Rashomon เลยก็ว่าได้ ลักษณะเด่นของมันก็คือการดัดแปลงมาจาก Macbeth
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
 
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
เข้าใจว่าผลงานของ William Shakespeare ที่คนไทยรู้จักกันดีรองจากเรื่อง Romeo and Julius ก็คือวานิชเวนิส หรือ Merchant of Venice ด้วยเหตุที่ล้นเกล้ารัชกาลที่หกทรงแปลออกมาเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาสำหรับเด็กนักเรียนได้อ่านกัน และประโยค ๆ หนึ่งกลายเป็นประโยคยอดฮิตที่ยกย่องดนตรีว่า &nbsp