บารมี ชอบมีปัญหา
เรื่องมันเกิดขึ้นสิบกว่าปีมาแล้ว.....
ผมเคยนั่งพูดคุยกับพี่ที่นับถือคนหนึ่งในวงเหล้า แกคุยถึงเรื่องความสุข การคิดเชิงบวก พลังกลุ่มอะไรพวกนี้ที่น่าสนใจมากๆ ผมฟังจนเคลิ้ม ว่าความคิดแบบนี้จะเปลี่ยนแปลงสังคมได้ แต่พอผมเอ่ยถึงเรื่องปัญหาการกดขี่ทางชนชั้นขึ้นมา พี่แกตัดบทเลยว่าเรื่องทางชนชั้นนี่ไม่ต้องมาพูดกับผมเลย มันล้าสมัยไปแล้ว ผมก็รับฟังและหยุดพูดแบบงงๆ ว่ามันล้าสมัยได้ไง
ช่วงๆ เดียวกันก็มีคนมาเสนอเรื่องขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมรูปแบบใหม่ที่ก้าวพ้นความเป็นชนชั้น พูดถึงการต่อสู้ของขบวนการผู้หญิง ขบวนการด้านสิ่งแวดล้อม สมัชชาคนจนก็เป็นนิวโซเซี่ยลมู๊ฟเม้นกะเขาด้วย การต่อสู้แบบนี้ไม่มีชนชั้น ไม่แยกคนรวยคนจน แต่เป็นไปเพื่อการปกป้องผลประโยชน์สาธารณะ ราชสีห์อีสานถึงกับคำรามออกมาว่า บารมีเอ๋ย มันไม่มีชนชั้นแล้ว มันมีแต่ชนชาติ เอ็งอย่าไปยึดติดกับความเป็นชนชั้นอยู่ แต่ผมแอบคิดในใจว่าความเป็นชนชาติมันไปได้กับวัฒนธรรมชุมชนของพี่นี่หว่า
ต่อมาไม่นานก็เจอพวกที่กลับมาจากนอก เขาชวนไปคุยว่าชาวบ้านยังไม่เข้าใจเรื่องประชาธิปไตย เรื่องการเมืองอะไรประมาณว่าเราต้องมีสภาพัฒนาการเมือง ซึ่งผมก็เออๆออๆ ไปด้วย ทั้งที่พยายามเถียงแต่ดูเหมือนจะไม่มีเหตุผลที่ดีพอที่พรรคพวกเขาจะรับฟังได้ (เป็นความอ่อนหัดของผมเอง)
ต่อมาก็มีคำว่าไม่เป็นธรรม สองมาตรฐาน อะไรนี่มาอีก ผมก็เห็นด้วยนะว่ามันไม่เป็นธรรม มันสองมาตรฐาน มันมีช่องว่างทางสังคมขึ้นมาอีก ผมก็ว่ามันใช่อีกแหละ แล้วทีนี้ก็มีความเหลื่อมล้ำ ความไม่เท่าเทียม ทีนี้ชักงง เพราะมีคนบอกว่าเท่าเทียมคือไม่ใช่เท่าแท้ขึ้นมาอีก
ต่อมาก็มีเรื่องสิทธิมนุษยชน ปฏิญญานั่นนี่เข้ามาอีกมากมาย เราต้องมีสิทธินั่น เราต้องมีสิทธินี่ แต่ก็มีคนที่มีสิทธิที่ดีกว่าเราทุกที เรามีกองทุนรักษาพยาบาลที่ทำให้คนไม่ต้องล้มละลาย แต่เราก็มีการรักษาพยาบาลที่ใช้เงินมากมายมหาศาลที่รักษาโรคเหนือกว่ามาตราฐาน เรามีการศึกษาฟรีถึง 12 ปี แต่ช่องว่างทางการศึกษากลับมากมาย เด็กวัยเดียวกันคนนึงเรียน ไอพีโปรแกรม อีพีโปรแกรม แต่อีกคนยังอ่านภาษาไทยไม่ค่อยจะออก เรามีหลักประกันว่าชาวบ้านจะต้องมีที่ทำกิน แต่กับคนจำนวนหนึ่งเราต้องให้สิทธิมันแค่สิทธิชุมชน เพราะมันไม่มีปัญญาที่จะรักษาที่ดินไว้ได้ แต่คนอีกพวกจะซื้อขายปู้ยี่ปู้ยำกับที่ดินอย่างไรก็ได้ เรามีสิทธิด้านคลื่นความถี่การกระจายเสียง แต่กว่าจะได้ดูทีวีดิจิตอลมันยุ่งยากชิบหาย กล่องแลกฟรี แต่ต้องซื้อเสาซื้อหนวดกุ้งเพิ่ม เสียเงินเพิ่มโดยใช่เหตุ สมัยก่อนจะดูถ่ายทอดมวย ถ่ายทอดบอลแต่ละทีมันยุ่งยากมาก เพราะเทคโนโลยีมันต่ำ แต่พอเทคโนโลยีสูงขึ้นแทนที่จะได้ดูบอลดูมวยดีๆ กลับดูยากกว่าเดิม กลายเป็นต้องเสียเงินจ่ายค่าลิขสิทธิ์ เป็นสมาชิกเกรดดีๆ ของบริษัททีวีที่ฉายหนัง ฉายการ์ตูน ฉายสารคดีเวียนเทียนอย่างไม่ยอมอับอาย ตกลงมันเป็นเรื่องอะไรในสังคมกันแน่ มันไม่ใช่ความเหลื่อมล้ำอย่างเดียวนี่หว่า
ผมกลับมาทบทวนอีกครั้ง และอีกหลายครั้ง นึกกลับไปถึงเรื่องราวที่เคยร่ำเรียนมา แล้วย้อนกลับมาดูปรากฎการณ์ทางสังคม พรรคพวกเพื่อนฝูงกำลังศึกษา วิเคราะห์ ผลักดัน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำสร้างความเป็นธรรมทางสังคมกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ทุนข้ามชาติ ทุนในชาติ ทั้งที่ก้าวหน้าและล้าหลังต่างก็ตั้งหน้าผลิตสินค้า บริการ เพื่อกอบโกยกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันมากขึ้น สิบกว่าปีที่ผ่านมา ความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรม กลับมากขึ้นด้วยซ้ำไป แน่นอนว่าในภาพรวมเรายกระดับพ้นความเป็นประเทศที่ยากจนไปแล้ว แต่มันไม่ใช่เกิดเพราะเรามีความมั่นคงหรือเรามีความมั่งคั่ง มันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะแรงผลักดันของมวลมหาประชาชน แต่มันเกิดขึ้นเพราะความเป็นโลกาภิวัตน์ เพราะความเปลี่ยนแปลงอันเป็นสากลของโลก เรายกระดับวิถีชีวิตของเราได้เพราะเรามีการเปลี่ยนแปลงกำลังการผลิต มีแรงงานจากต่างชาติเข้ามาให้เรากดขี่ขูดรีดแรงงานเพิ่มมากขึ้น เพราะมีการพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตมากขึ้น แม้เกษตรกรรายย่อยก็พัฒนาตัวเองขึ้นมาเป็นผู้ประกอบการรายย่อย เป็นนายทุนน้อย แม้จะสะดวกสบายขึ้น แต่ก็ไม่สามารถหยุดการผลิตได้ เพราะเรากลายเป็นกลไกหนึ่งของกลไกการตลาด เป็นหนึ่งในสายพานการผลิตที่ต้องทำหน้าที่ไปจนกว่าจะหมดสภาพแล้วก็ถูกเขี่ยทิ้งไป เราไม่ได้จนลง เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วยซ้ำ แต่ทำไมมันยังลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมในสังคมไม่ได้ล่ะ
นายทุนผู้ประกอบการมิใช่หรือที่เขาเอารัดเอาเปรียบ ขูดรีดพวกเราทุกวิถีทาง เขาขูดรีดแรงงาน เขาขูดรีดผลผลิต เขาขูดรีดเมล็ดพันธุ์ เขาผลักภาระภาษีที่เขาควรจะคืนให้สังคมกลับมาที่เราซึ่งเป็นผู้บริโภค เขาขูดรีดแม้กระทั่งความคิดความเชื่อ เชื่อแม้กระทั่งว่า หิวเมื่อไรก็แวะมาหาเขาได้ กลไกราชการกลายเป็นเครื่องมือของเขาในการดำเนินการ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามเพื่อให้เขาเอารัดเอาเปรียบเราได้
การลดความเหลื่อมล้ำกลายเป็นการสร้างความแข็งแรงให้กับพวกเขา สร้างความมั่นคงให้แก่พวกเขา เพื่อให้พวกเขานั่งอยู่บนหลัง ขี่อยู่บนคอเราได้อย่างสบาย มากขึ้นกว่าเดิม โดยที่พวกเขาไม่ต้องเสียอะไรเลย
พวกเราต้องเลิกหลงงมงายกับวาทะกรรมแบบนี้ได้แล้ว พวกเราต้องหันกลับมามองโลก หันกลับมามองความจริง ปัญหาความขัดแย้งที่มันเกิดขึ้นและดำรงอยู่ในปัจจุบันมันเป็นปัญหาอันเนื่องมากจากการเอาเปรียบขูดรีดทางชนชั้น พวกเราต้องลุกขึ้นต่อสู้เพื่อขับไล่ไอ้พวกคนที่ขี่หลังขี่คอพวกเราให้ลงมาอยู่บนพื้นดินอย่างเสมอหน้ากัน เพื่อสร้างโลกใหม่ที่เป็นของเราทุกคน