เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิกฉบับมิถุนายนนี้ ก็ร่วมบรรเลงเพลงสวรรค์สีเขียวกับเขาด้วยคน ในท่วงทำนองแบบกระตุ้นให้เราหวาดวิตก หวั่นผวากับภาวการณ์ร่วมของยุคข้าวยากหมากแพง ในรายงานพิเศษเรื่องวิกฤติอาหารโลก ข้าวยากหมากแพง
ตามธรรมดาที่บทความซึ่งมุ่งกระตุ้นให้ภาวะตระหนักรู้ในสภาวะแวดล้อม ย่อมชี้แจงให้เห็นเหตุผลที่ชัดเจนและอุดมด้วยข้อมูลเชิงสถิติ นับเป็นการคุกคามความรู้สึกแบบอิงข้อมูลตัวเลขที่ใช้งานได้ผล เพราะใครก็ตามที่รับรู้ข้อมูล ที่ถูกส่งมาในรูปแบบข้อความสั้นเหล่านี้ ย่อมออกอาการ "เหงื่อตก"
เมื่อคุณได้รับรู้ข้อมูลตัวเลขที่ผ่านการประมวลผลให้ชัดเจน ตรงประเด็น และมันคล้ายได้แฝงข้อความสั้นในจินตการมาตอกย้ำว่า โลกแย่แล้ว วิกฤตแล้วล่ะเพื่อนรัก เป็นคุณจะเหงื่อตกไหมล่ะ หากเจอข้อความเหล่านี้
ราคาข้าวในตลาดโลกที่พุ่งสูงเกือบสองเท่าตลอดสองปีที่ผ่านมา ซ้ำเติมด้วยอุทกภัยและพายุไซโคลนถล่มทลายในปี 2007 ทำให้บังกลาเทศมีประชากรอดอยากหิวโหยเพิ่มเป็น 35 ล้านคน
ข้าวโพดที่ใช้ผลิตเอทานอล พลังงานสีเขียว 1 ถัง ขนาดบรรจุ 95 ลิตร นั้น เป็นปริมาณข้าวโพดที่เลี้ยงคนหนึ่งคนได้ตลอด 1 ปี
นโยบายส่งเสริมการผลิตเอทานอลของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ทำให้ราคาข้าวโพดในสหรัฐฯ สูงขึ้น
ร้อยละ 30 จากปี 2005 จนถึง ปี 2008 นับว่าสูงขึ้นถึง 3 เท่า
จีนเลี้ยงหมูเป็นปริมาณครึ่งหนึ่งของหมูทั่วโลก ต้องนำเข้าธัญพืชเพื่อขุนหมู เพื่อเลี้ยงปากท้องประชาชนชาวจีนอีกทอดหนึ่ง
โปรตีนราคาแพง ธัญพืชราวร้อยละ 35 ของโลก ถูกนำไปใช้ในการเลี้ยงสัตว์ในฟาร์มปศุสัตว์ กระเพาะของผู้หิวโหยจึงต้องว่างเปล่าต่อไป
ถ้าคุณต้องการพลังงานจากเนื้อหมูในปริมาณเท่า ๆ กับที่ได้จากธัญพืช คุณต้องขุนหมูด้วยธัญพืชมากกว่าที่คุณกินถึง 5 เท่า
การบริโภคเพิ่มขึ้นจาก 815 ล้านตันในปี 1960 มาเป็น 2.160 ล้านตันในปี 2008
จีนปลูกข้าวโพดมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก แต่ยังไม่พอจะขุนหมูภายในประเทศของตัวเอง จำต้องนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ และบราซิล โดยบราซิลต้องถากถางป่าอะเมซอนเพื่อปลูกถั่วเหลืองไปขุนหมูของจีน
มนุษย์เพิ่มขึ้นในอัตราเรขาคณิต คือ เป็น 2 เท่า ทุก ๆ 25 ปี หากไม่มีการควบคุม ขณะผลผลิตทางภาคเกษตรจะเพิ่มขึ้นแบบเลขคณิต หรือช้ากว่ากันมาก ภาวการณ์เช่นนี้ จะนำพามนุษย์ไปสู่กับดักทางชีวภาพ
อุปสงค์แซงหน้าอุปทาน เรามีอาหารไม่พอสำหรับทุกคน
ปี 2005 - ฤดูร้อน ปี 2008 ข้าวสาลี ข้าวโพด ราคาสูงขึ้น 3 เท่าตัว ราคาข้าวเพิ่ม 5 เท่า
แม้ราคาอาหารจะลดลงตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย แต่ยังจัดว่าสูงเป็นประวัติการณ์
จากบทความดังกล่าวนั่นแหละ ที่เล่นเอาต่อมเห็นแก่ตัวของฉันหดเกร็งจนแทบอัมพาต แต่นั่นไม่ได้หมายถึงการประกาศตัวว่าจะเป็นคนดีอะไรเลย เพราะหากเรายังร่วมแรงรวมใจเห็นแก่ตัวต่อไปอีก อนาคตข้างหน้าย่อมเลี่ยงนรกขุมเล็ก ๆ ไม่ได้แน่ ดังนั้น เราควรหันมาร่วมแรงรวมใจเห็นแก่ประโยชน์โภคผลแก่มนุษยชาติ แก่โลกของเรา ภายใต้เงื่อนไข "ถ้าโลกรอด เราย่อมไม่ตาย " หรือ " ถ้าโลกตาย เราต้องตายตกไปตามกัน "
ในเมื่อบทความ ข้าวยากหมากแพง นี้ ได้ทำการถ่ายทอดประวัติศาสตร์ของมนุษย์ที่ได้กระทำทารุณกรรมโลกสีน้ำเงินใบนี้ ในนามของพระเจ้าสีเขียว ที่จะนำพาให้ประชากรมนุษย์โลกมีข้าวกินอิ่มท้องกันทั่วหน้า พระเจ้าองค์นั้นรู้จักกันดีในนามของ การปฏิวัติเขียว (green revolution) ที่ก่อการขึ้นราวปี 1950 ถึงกลางปี 1990 นามแห่งความรุนแรงสีเขียวนี้ นาย วิลเลียม เอส. โกด อดีตผู้บริหารยูเสด เป็นผู้คิดคำว่า
ปฏิวัติเขียวขึ้นในปี 1968 เพื่อล้อเลียน การปฏิวัติแดงของรัสเซีย
ปฏิวัติเขียว กับการปลูกพืชขนานใหญ่หรือเกษตรเชิงเดี่ยว ที่ต้องพึ่งเมล็ดพันธุ์ที่ดัดแปลงให้เก่งกล้าสามารถ ให้ผลผลิตดกดื่นน่าชื่นใจ ทนแล้ง ทนมือทนเท้า
นั่นคือพระเจ้าสีเขียว ฮีโร่ที่ปราบความหิวของประชากรโลกได้อยู่หมัด
แต่น่าเสียดาย พืชเกษตรเหล่านั้นกลับเสพติดปุ๋ยเคมีชนิดเข้ากระแสเลือด ยังผลให้เกษตรกรที่ศรัทธาพระเจ้าองค์นี้ ต้องถวายตัวเป็นหนี้ค่าปุ๋ยเคมีชนิดไม่เกรงหน้าอินทร์พรหมที่ไหน
ไม่เท่านั้นผืนดิน ผืนน้ำ อันเป็นทรัพยากรเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิตที่ถูกใช้งานอย่างสาหัสก็ฟ้องร้อง
หาความเป็นธรรม โดยแปรดินอุดม น้ำอุดม เป็นพิษอุดมไปเสีย เกษตรกรในภาคพื้นแห่งการปฏิวัติเขียวกลายเป็นมนุษย์มะเร็ง อ่อนปวกเปียก ทั้งร่างกายและจิตใจ
รัฐปัญจาบ อินเดีย ซึ่งเคยท้องที่สีเขียวอันเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของชมพูทวีป ต้องกลับเป็นอาณาบริเวณอันตราย อุดมด้วยพิษของดิน น้ำ ลม ไฟ และเชื้อจุลชีพร้ายกาจ ประเทศไทยเราเองก็เคยเคารพนับถือปฏิวัติเขียว และหนีไม่พ้นชะตากรรมนี้
กระทั่งมีคำถามเสียงดังสนั่นว่าคุณูปการของการปฏิวัติเขียวแลกมาด้วยอะไร
ปฏิว้ติเขียว เคยเป็นพระเจ้าเมื่อประชากรโลกหิวโหย
พวกเราศรัทธาพระองค์ ขณะพระองค์ก็ทรงเรียกร้องจากเรามากมายเหลือเกิน เราต้องถวายพระแม่โพสพ
พระแม่คงคา และอีกหลายพระแม่ของเรา
เห็นทีเราต้องโลกมือลา เลิกศรัทธาพระเจ้าสีเขียวองค์นี้แล้วล่ะ ถึงแม้องค์การสหประชาชาติ หรือนักวิชาการด้านพันธุวิศวกรรมยังยืนยันจะสถาปนาพระเจ้าสีเขียวองค์นี้ขึ้นอีกครั้ง ในนามลูกชายคนใหม่ที่มีชื่อแสนเท่ว่า พืชจีเอ็มโอ ชื่อน่ารักแต่ฟังแล้วขนลุก
ขณะเดียวกัน พระเจ้าอีกองค์หนึ่งก็ถือกำเนิดขึ้น แต่ยังคงเป็นองค์สีเขียวเหมือนองค์เก่า ไม่แน่ว่าพระเจ้าสีเขียวใหม่นี้อาจเป็นปางอวตารของพระเจ้าที่ชื่อปฏิวัติเขียวก็เป็นได้
องค์นี้มีหลายชื่อ แต่มีแบบรูปเดียวกันคือ รักษ์สิ่งแวดล้อม รักษ์โลกร้อน ลดเคมี เกษตรอินทรีย์ เกษตรชีวภาพ อาหารชีวภาพ และอีกหลายชื่อที่ใคร ๆ พากันขนานนามให้ ใครศรัทธาก็จะเป็นกลุ่มชนที่ลดการเห็นแก่ความสะดวกสบายส่วนตัว ให้ความสำคัญกับเรื่องส่วนรวม เรื่องมลพิษสิ่งแวดล้อมเป็นพิเศษ
เหล่าผู้ศรัทธาจะลดการใช้น้ำมันปิโตรเลียม และหันมาใช้น้ำมันชีวภาพอย่างเอทานอล หรือไบโอดีเซล แต่ถ้าจะให้ลึกซึ้งเข้าขั้น จะพยายามลดปริมาณการใช้น้ำมันตามนโยบายโลกสีเขียว
แต่ให้ตายเถอะ เชื่อไหมว่าผู้ศรัทธากลุ่มนี้ หลายคนอาจไม่เคยรู้จักคำว่า "หิว"
ขณะที่หลายประเทศแถบแอฟริกายังอุดมไปด้วยความหิวโหย จนถูกขนานนามอย่างเรียกร้องอยู่ในทีว่า หัวใจที่หิวโหย
ฉันไม่รู้หรอกว่า เราหรือคุณ นับถือพระเจ้าองค์ไหน พระเจ้าสีเขียวเดิม หรือสีเขียวใหม่
ตราบใดที่พลังงานยังมีราคาแพง เชื้อเพลิงชีวภาพจะแย่งพื้นที่เพาะปลูกพืชที่ใช้เป็นอาหารและแหล่งน้ำในหลายภูมิภาคทั่วโลก นักวิชาการฝ่ายหนึ่งเสนอว่า เราจำเป็นต้องปฏิวัติเขียวอีกครั้งและต้องทำให้สำเร็จในเวลาที่น้อยกว่าเดิมครึ่งหนึ่ง และนักวิชาการอีกฝ่ายเสนอว่า เราจำเป็นต้องกลับไปสู่ดินแดนที่ปลอดจากเคมี เราต้องฟื้นฟูสภาพแวดล้อมที่เสื่อมทรุดให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ทั้งสองฝ่ายตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง แต่ทั้งสองก็เสนอทางรอดให้เรา ให้ฉัน และให้คุณแล้ว
ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกฝ่ายไหน และที่สุดแล้ว อาจขึ้นอยู่กับว่า คุณ เรา หรือฉัน เคย "หิว" บ้างหรือเปล่า.
...........................