Skip to main content

นายยืนยง

 
ชื่อหนังสือ           :           นัยน์ตาของโคเสี่ยงทาย
ผู้แต่ง                 :           วิสุทธิ์ ขาวเนียม
ประเภท              :           กวีนิพนธ์รางวัลนายอินทร์อะวอร์ดครั้งที่ 10
จัดพิมพ์โดย        :           แพรวสำนักพิมพ์
\\/--break--\>

รางวัลนายอินทร์อะวอร์ดครั้งที่ 10 ได้ประกาศผลและมอบรางวัลกันไปแล้ว ใครที่ด้อม ๆ มอง ๆ รางวัลนี้อยู่บ้าง ย่อมได้กลิ่นวับ ๆ แวม ๆ อยู่บ้างแหละน่า ในกรณีที่ตามกติกาการประกวดนั้น ได้ระบุไว้ชัดว่า ผลงานต้องไม่เคยเผยแพร่ที่อื่นมาก่อน อันถือเป็นกฎที่ถูกนำมาใช้เป็นกฎในการประกวดวรรณกรรมชั้น

ต่าง ๆ หลายรางวัล นับเป็นกฎยอดฮิตที่ทั้งคณะกรรมการและผู้ส่งประกวดนิยมทำให้มันเป็นเรื่องวับ ๆ แวม ๆ ไปได้อย่างครื้นเครง เช่นเดียวกับรางวัลนายอินทร์ครั้งนี้

เนื่องจากมีบทกวีบางบทของพี่กวีบางคนเคยเผยแพร่มาแล้วในสื่อประเภทอินเตอร์เน็ต หรือเผยแพร่กัน

สด ๆ ในงานอ่านบทกวีตามสถานชุมนุมชน ทั้งที่หนึ่งในกรรมการก็เป็นผู้รับรู้ว่างานกวีนิพนธ์ชั้นนั้นได้ถูกเผยแพร่แล้วจนเป็นที่ประจักษ์แก่ตาของตัวเองและผู้อื่น แต่ทั่นกรรมการก็ยังดันทุรังหยิบมาให้เข้ารอบลึก ไปได้หน้าตาเฉย

อีอย่างงี้เขาจะเรียกว่าอะไรดีล่ะ กรรมการตาบอดเรอะ ... ก็เปล่า จะเรียก "ฮั้ว" ตามประสาวงข้าราชการหรือการเมืองเรอะ ก็ฟังระคายรูหูไปหน่อย เรื่องอย่างงี้คนวงในเขาทราบกันดี แต่มิอาจเผยแพร่ให้เสียภาพพจน์กวีผู้ทรงความศักดิ์สิทธิ์ไปได้ ส่วนไอ้ที่เคยมีคนป้องปากกระซิบกระซาบมาว่า มีการเล่นพรรคเล่นพวกกันฉันญาติน้ำหมึกนั้น งานนี้ก็เห็นจะมีมูลละซีทั่น ไม่รู้พากันเฮโลชิงชังรังเกียจนักการเมืองอีท่าไหน ถึงได้ขอยืมนิสัยเลวของนักการเมืองมาใช้ได้อย่างหน้าตาเฉย

ครั้นได้หยิบมาอ่านบรรดาบทกวีที่นำมาเข้าเล่มพิมพ์จำหน่าย เราก็ต้องพยักหน้าหงึก ๆ ยินยอมพร้อมใจรับคอนเซ็ปต์แบบ "หลากหลายทัศน์อย่างกลมกลืน" อย่างหน้าชื่นอกตรม มีทั้งนิยมฉันทลักษณ์และไม่นิยมฉันทลักษณ์กันเลยทีเดียว แหม..ใจกว้างเหลือเกิน (น่าสังเกตว่าเวลาที่มีการประกวดกวีนิพนธ์กันเมื่อไหร่ หากกรรมการตัดสินให้กวีนิพนธ์ไร้ฉันทลักษณ์ได้รับรางวัล ก็จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า กรรมการใจกว้างอย่างโง้นอย่างงี้มั่งล่ะ กรรมการใจถึงมั่งล่ะ) งานนี้ถือว่าเป็นการรวบรวมกวีนิพนธ์เข้าไว้ด้วยกันเช่นเดียวกันงานสันทนาการ ติดแต่มีสีสันที่จืดชืดไปหน่อยเท่านั้นเอง

ไม่ว่ากัน เพราะเรื่องนี้ถือเป็น "รสนิยมของกรรมการ" ทั่นต่าง ๆ นั่นแหละ ดูหน้ากรรมการก็รู้แล้วล่ะว่าผลงานที่ได้รางวัลจะชวนซี๊ดดดหรือชวนเซ็งงง ปานไหน ก็น่าเห็นใจ เพราะทั่นกรรมการอาจยังปรับตัวปรับทัศนะไม่ทัน เนื่องจากหน้าที่อันหนักหนาในอันที่จะต้องตัดสินกวีนิพนธ์ทั่วฟ้าเมืองไทยนั้นก็สาหัสเอาการไม่ใช่เล่น

อย่ากระนั้นเลย เรามาดูไอ้ที่เข้าตากันสักบทเถอะ ก็กวีนิพนธ์ที่ได้รางวัลชนะเลิศนั่นยังไงล่ะ

นัยน์ตาของโคเสี่ยงทาย ผลงานของ วิสุทธิ์ ขาวเนียม

ฉากแรกเป็นเรื่องของเนื้อหาที่ถูกนำมาเขียนถึงจนบอบช้ำไปหมดแล้ว นั่นคือเรื่องการล่มสลายของภาคเกษตรกรรม หรือชาวนาตายแล้วนั่นเอง

ฉะนั้นนักเขียน กวี โปรดทราบ เมื่อชาวนาตายแล้ว ก็ได้โปรดอย่าตายตามชาวนาไปด้วย เพราะหากท่านลุ่มหลงงมงายกับการเขียนถึงภาคเกษตรกรรมที่ล่มสลายอย่างไม่ลืมหูลืมตาเช่นเดิมล่ะก็ มันก็เท่ากับว่าท่านได้ทำอัตวินิบาตกรรมเท่านั้นเอง

แต่วิสุทธิ์ ขาวเนียมหาได้ทำอัตวินิบาตกรรมไม่ เพราะเขาจงใจเลือกใช้ "มุมมอง" ที่ดู "ซับซ้อน" ขึ้นมา  ซึ่งว่าไปแล้ว ก็ไม่ได้ช่วยพยุงเนื้อหาให้วิเศษวิโสขึ้นแต่อย่างใด หากแต่ "ตัวบท" นั้นเองต่างหากเล่าที่ได้สะท้อนนัยยะแฝงซึ่งชัดเจนมากกว่าเนื้อหาที่ว่าชาวนาตายแล้วออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ

(ใครอยากอ่านก็เชิญร้านหนังสือได้ตามสะดวก ฉันไม่หยิบฉวยมาให้อ่านกันตรงนี้นะจ๊ะ ขออภัย )
(ใครอ่านตรงนี้แล้ว ไม่นึกอยากอ่านต่อก็ตามสะดวกเหมียนกัลล์)

มุมมองที่ดูซับซ้อนนั้นคือ
ฉันดูรายการถ่ายทอดสดพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญผ่านหน้าจอทีวี
ตากล้องรุ่นใหม่โฟกัสภาพไปที่นัยน์ตาของโคเสี่ยงทายในพิธี
นัยน์ตาของโคเสี่ยงทายสะท้อนภาคเกษตรที่ล่มสลาย
จะเห็นได้ว่า กว่าที่ "ฉัน" จะได้รับรู้ "สาร" คือ ความล่มสลายของภาคเกษตร จนถึงขั้นสะเทือนใจนั้น  
"สาร" ต้องผ่านนัยน์ตาของตากล้อง ซึ่งย่อมมองผ่านเลนส์กล้อง ผ่านคลื่นดาวเทียมในชั้นบรรยากาศ

ผ่านตัวกลางบรรดามีของเทคโนโลยี มาถึงจอรับภาพทีวี สุดท้ายมาถึง "ฉัน" แต่ทั้งนี้ "สาร" ดังกล่าวนั้น วิสุทธิ์จงใจที่จะให้ตากล้องโฟกัสภาพไปที่ นัยน์ตาขดองโคเสี่ยงทาย เพื่อให้โคเสี่ยงทายเป็นผู้ถ่ายทอด "สาร" ที่แท้จริง

ในขณะที่ "ฉัน" ตื้นตันใน "พิธีกรรม" จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ที่ "หลวง" จัดขึ้นเพื่อปลุกปลอบขวัญชาวนา และฉันยังตื้นตันว่าหลวงยังเห็นคุณค่าของภาคเกษตรกรรมของชาวนานั้น "ฉัน" ต้องสะเทือนใจกับ "สาร" ที่โคเสี่ยงทายเป็นผู้ถ่ายทอดในขั้นสุดท้าย

ฉะนั้น "ฉัน" ย่อมเป็นตัวแทนของคนไทยในภาคเกษตรหรือคนไทยที่มีสายสัมพันธ์กับภาคเกษตรด้วย เนื่องจากการเลือกใช้ "พิธีกรรม" นี้ ย่อมแสดงออกชัดเจนอยู่แล้วว่า เป็นพิธีกรรมที่หลวงบัญญัติขึ้นเพื่อภาคเกษตรโดยเฉพาะ

นอกจากนั้นวิสุทธิ์ยังให้ภาพของ "ราษฎร" ที่ "แย่งชิงกันจนลนลาน" เก็บ "ของหลวง" ที่ "คนของหลวง" โปรยลงมาจาก "หาบทอง" ภาพนี้ให้ความรู้สึกราวกับราษฎรกำลังแย่งชิงกันเก็บของวิเศษที่โปรยลงมาจากสรวงสวรรค์

มาถึงตรงนี้ จะเห็นได้ว่า มีนัยยะที่แฝงมากับเนื้อหา "ภาคเกษตรกรรมล่มสลาย" เพิ่มมาอีก

1.การเดินทางของ "สาร" ที่ต้องผ่าน "ตัวกลาง" หลากหลาย
2.รูปแบบความสัมพันธ์ระหว่าง "หลวง" กับ ชาวนา ที่นอกจากความสะเทือนใจธรรมดา ๆ ที่นัยน์ตาของโคเสี่ยงทายเป็นผู้ถ่ายทอดแล้ว เราย่อมรู้สึกได้มากขึ้นอีกเมื่อชาวนา หรือ ราษฎร เป็นได้ก็เพียงฝ่าย "รับ" ของวิเศษจากหลวง และยังแสดงให้เห็นความเหลื่อมล้ำต่ำสูงระหว่าง "หลวง" กับ "ราษฎร" ได้อย่างชัดเจน ราวกับเขาได้เปรยขึ้นด้วยความอิดหนาระอาใจ ที่ระคนกันอยู่กับความเศร้าที่ไม่อาจเยียวยาแก้ไขได้

เพราะราษฎรเป็นเพียงคนกลุ่มใหญ่ที่แทบจะสิ้นไร้ไม้ตอก แม้มีที่ดินทำกินก็ไม่อาจประคับประคองชีวิตให้ยั่งยืนได้ด้วยตัวเอง ต้องคอยพึ่งขวัญกำลังใจจาก "หลวง" เป็นประจำทุกปี ขณะที่หลวงก็ทำได้แค่ประกอบพิธีกรรมตามวัตรกิจอันพึงกระทำตามหลักโบราณราชประเพณีเท่านั้น มันดูเป็นแค่หน้าที่อันฉาบฉวยไม่ต่างจากสีทองที่ฉาบเคลือบตามหาบทอง และถาดทองที่ใช้บรรจุภัตตาหารให้พระโคเสี่ยง

เหล่านี้เป็นนัยยะที่แฝงมาเพื่อเพิ่มความสะเทือนใจให้กับ "สาร" ที่เรียกได้ว่าบอบช้ำซ้ำซาก
เพิ่มอย่างไร ตอบคือ เพิ่มให้ภาคเกษตรเป็นภาคที่น่าเวทนาสงสารที่สุด ถูกหลอกได้ง่ายที่สุด และงมงายที่สุด
ที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือ ตากล้องที่ถือเป็นตัวกลางแห่งการสื่อสาร ถามว่าทำไมต้องจงใจใช้
"นัยน์ตาของโคเสี่ยงทาย" เป็นตัวถ่ายทอด "สาร"
เพราะโคพูดไม่ได้เหมือน "หลวง" กับ "ราษฎร" ใช่หรือไม่
ถ้าใช่ นั่นเท่ากับว่า ปากที่พูดได้ย่อมไม่ใช่ "ตัวกลาง"ที่ซื่อสัตย์พอใช่ไหม
หรือเพราะโคเป็นสัตว์ที่อยู่คู่กับการเกษตรมาช้านาน ตีนติดดินพอ ๆ กับชาวนา แต่ทำไมไม่เลือกใช้ "ปาก" ชาวนาในการถ่ายทอด

อีกข้อหนึ่งคือ ขั้นตอนในการสื่อสาร
กว่า "สาร" จะเดินทางมาถึงผู้รับ คือ "ฉัน" นั้น ก็อย่างที่บอก ต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน
นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่า วิสุทธิ์ต้องการจะเยาะหยันว่าเป็นเพราะขั้นตอนอันซับซ้อนของ "หลวง" ด้วยหรือเปล่าที่ทำให้ปัญหาลุกลามจนเกินเยียวยา

สำหรับกวีนิพนธ์บทที่ได้รับรางวัลชนะเลิศครั้งนี้ ฉันถือว่าวิสุทธิ์ได้แสดงออกอย่างลึกซึ้งกว่ากวีนิพนธ์แนวชาวนาตายแล้วอีกหลายต่อหลายบทในตลาดกวีนิพนธ์ขณะนี้ เพราะนอกจากจะบอกภาพแล้ว เขายังวิพากษ์วิจารณ์ทั้ง "หลวง" และ "ราษฎร" ไปพร้อมกัน

สำหรับใครที่ต้องการ "ทางออก" ให้กับปัญหาชาวนาตายแล้ว หรือมีทางออกอยู่แล้วคือ เศรษฐกิจพอเพียงล่ะก็ ไม่จำเป็นต้องอ่านกวีนิพนธ์ก็ได้ ในเมื่อคุณเชื่อถือในเศรษฐกิจพอเพียงแล้ว ก็จงเชื่อไปเถิด เพราะในโลกของวรรณกรรมนั้น "ทางออก" ไม่ใช่หนทางแก้ปัญหาแต่อย่างเดียว

ไม่เชื่อลองไปถามทั่นกรรมการตัดสินวรรณกรรมดูก็ได้ ไม่แน่คุณกับทั่นอาจเป็นญาติน้ำหมึกกันก็เป็นได้.

 

 

บล็อกของ สวนหนังสือ

สวนหนังสือ
  นายยืนยงชื่อหนังสือ           :           พ.๒๗ สายลับพระปกเกล้าฯ ผู้เขียน               :           อ.ก. ร่งแสง (โพยม โรจนวิภาต)ประเภท              :           สารคดีประวัติศาสตร์          พิมพ์ครั้งที่ 2  พ.ศ.…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : ฝรั่งคลั่งผี ผู้เขียน : ไมเคิล ไรท จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก : กรกฎาคม 2550 อ่าน ฝรั่งคลั่งผี ของ ไมเคิล ไรท จบ ฉันลิงโลดเป็นพิเศษ รีบนำมา “เล่าสู่กันฟัง” ทันที จะว่าร้อนวิชาเกินไปหรือก็ไม่ทราบ โปรดให้อภัยฉันเถิด ในเมื่อเขาเขียนดี จะตัดใจได้ลงคอเชียวหรือ
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : เด็กบินได้ ผู้เขียน : ศรีดาวเรือง ประเภท : นวนิยายขนาดสั้น พิมพ์ครั้งแรก กันยายน 2532 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์กำแพง มาอีกแล้ว วรรณกรรมเพื่อชีวิต เขียนถึงบ่อยเหลือเกิน ชื่นชม ตำหนิติเตียนกันไม่เว้นวาย นี่ฉันจะจมอยู่กับปลักเพื่อชีวิตไปอีกกี่ทศวรรษ อันที่จริง เพื่อชีวิต ไม่ใช่ “ปลัก” ในความหมายที่เราชอบกล่าวถึงในแง่ของการย่ำวนอยู่ที่เดิมแบบไร้วัฒนาการไม่ใช่หรือ เพื่อชีวิตเองก็เติบโตมาพร้อมพัฒนาการทางสังคม ปลิดขั้วมาจากวรรณกรรมศักดินาชน เรื่องรักฉันท์หนุ่มสาว เรื่องบันเทิงเริงรมย์…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : คนซื้อฝัน ผู้เขียน : ศุภร บุนนาค ประเภท : รวมเรื่องสั้น พิมพ์ครั้งที่ 2 กรกฎาคม 2537 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์เคล็ดไทย ตามสัญญาที่ให้ไว้ว่าจะอ่านหนังสือของนักเขียนไทยให้มากกว่าเดิม ฉันดำเนินการแล้วล่ะ อ่านแล้ว อิ่มเอมกับอรรถรสแบบที่หาจากวรรณกรรมแปลไม่ได้ หาจากภาษาของนักเขียนไทยรุ่นใหม่ก็ไม่ค่อยจะได้ จนรู้สึกไปว่า คุณค่าของภาษาได้แกว่งไกวไปกับกาละด้วย
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : เพลงกล่อมผี ผู้เขียน : นากิบ มาห์ฟูซ ผู้แปล : แคน สังคีต จาก Wedding Song ภาษาอังกฤษโดย โอลีฟ อี เคนนี ประเภท : นวนิยาย พิมพ์ครั้งแรก มิถุนายน 2534 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์รวมทรรศน์ หนาวลมเหมันต์แห่งพุทธศักราช 2552 เยียบเย็นยิ่งกว่า ผ้าผวยดูไร้ตัวตนไปเลยเมื่อเจอะเข้ากับลมหนาวขณะมกราคมสั่นเทิ้มด้วยคน ฉันขดตัวอยู่ในห้องหลบลมลอดช่องตึกอันทารุณ อ่านหนังสือเก่า ๆ ที่อุดม ไรฝุ่นยั่วอาการภูมิแพ้ โรคประจำศตวรรษที่ใครก็มีประสบการณ์ร่วม อ่านเพลงกล่อมผีของนากิบ มาห์ฟูซ ที่แคน สังคีต ฝากสำนวนแปลไว้อย่างเฟื่องฟุ้งเลยทีเดียว…
สวนหนังสือ
นายยืนยง สวัสดีปี 2552 ขอสรรพสิ่งแห่งสุนทรียะจงจรรโลงหัวใจท่านผู้อ่านประดุจลมเช้าอันอ่อนหวานที่เชยผ่านเข้ามา คำพรคงไม่ล่าเกินไปใช่ไหม ตลอดเวลาที่เขียนบทความใน สวนหนังสือ แห่ง ประชาไท นี้ ความตื่นรู้ ตื่นต่อผัสสะทางวรรณกรรม ปลุกเร้าให้ฉันออกเสาะหาหนังสือที่มีแรงดึงดูดมาอ่าน และเขียนถึง ขณะเดียวกันหนังสืออันท้าทายเหล่านั้นได้สร้างแรงบันดาลใจให้วาวโรจน์ขึ้นกับหัวใจอันมักจะห่อเหี่ยวของฉัน
สวนหนังสือ
ชื่อหนังสือ : เงาสีขาวผู้เขียน : แดนอรัญ แสงทองประเภท : นวนิยาย พิมพ์ครั้งที่สอง ตุลาคม 2550จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์สามัญชน น้ำเน่าในคลองต่อให้เน่าเหม็นปานใดย่อมระเหยกลายเป็นไออยู่นั่นเอง แต่การระเหิด ไม่ได้เกิดขึ้นเหมือนกับการระเหย  ระเหย คือ การกลายเป็นไอ จากสถานภาพของของเหลวเปลี่ยนสถานภาพกลายเป็นก๊าซระเหิด คือ การเปลี่ยนสถานภาพเป็นก๊าซโดยตรงจากของแข็งเป็นก๊าซ โดยไม่ต้องพักเปลี่ยนเป็นสถานภาพของเหลวก่อน ต่างจากการระเหย แต่เหมือนตรงที่ทั้งสองกระบวนการมีปลายทางอยู่ที่สถานภาพของก๊าซสอดคล้องกับความน่าเกลียดที่ระเหิดกลายเป็นไอแห่งความงามได้
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ : เงาสีขาว ผู้เขียน : แดนอรัญ แสงทอง ประเภท : นวนิยาย พิมพ์ครั้งที่สอง ตุลาคม 2550 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์สามัญชน ปกติฉันไม่นอนดึกหากไม่จำเป็น และหากจำเป็นก็เนื่องมาจากหนังสือบางเล่มที่อ่านค้างอยู่ มันเป็นเวรกรรมอย่างหนึ่งที่ดุนหลังฉันให้หยิบ เงาสีขาว ขึ้นมาอ่าน เวรกรรมแท้ ๆ เชียว เราไม่น่าพบกันอีกเลย คุณแดนอรัญ แสงทอง ฉันควรรู้จักเขาจาก เรื่องสั้นขนาดยาวนาม อสรพิษ และ นวนิยายสุดโรแมนติกในนามของ เจ้าการะเกด เท่านั้น แต่กับเงาสีขาว มันทำให้ซาบซึ้งว่า กระบือย่อมเป็นกระบืออยู่วันยังค่ำ (เขาชอบประโยคนี้นะ เพราะมันปรากฏอยู่ในหนังสือของเขาตั้งหลายครั้ง)…
สวนหนังสือ
ชื่อหนังสือ : นิทานประเทศ ผู้เขียน : กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ประเภท : รวมเรื่องสั้น พิมพ์ครั้งที่ 1 กันยายน 2549 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์นาคร
สวนหนังสือ
นายยืนยง    ชื่อหนังสือ : นิทานประเทศ ผู้เขียน : กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ประเภท : รวมเรื่องสั้น พิมพ์ครั้งที่ 1 กันยายน 2549 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์นาคร   ผลงานของนักเขียนไทยในแนวของเมจิกคัลเรียลลิสม์ หรือสัจนิยมมหัศจรรย์ หรือสัจนิยมมายา ที่ได้กล่าวถึงเมื่อตอนที่แล้ว ซึ่งจะนำมาเขียนถึงต่อไป เป็นการยกตัวอย่างให้เห็นถึงข้อเปรียบเทียบระหว่างงานที่แท้กับงานเสแสร้ง เผื่อว่าจะถึงคราวจำเป็นจะต้องเลือกที่รักมักที่ชัง แม้นรู้ดีว่าข้อเขียนนี้เป็นเพียงรสนิยมส่วนบุคคล แต่ฉันคิดว่าบางทีรสนิยมก็น่าจะได้รับคำอธิบายด้วยหลักการได้เช่นเดียวกัน…
สวนหนังสือ
เมจิกคัลเรียลลิสม์ หรือที่แปลเป็นไทยว่า สัจนิยมมายา หรือสัจนิยมมหัศจรรย์ เป็นแนวการเขียนที่นักเขียนไทยนำมาใช้ในงานเรื่องสั้น นวนิยายกันมากขึ้น ไม่เว้นในกวีนิพนธ์ โดยส่วนใหญ่จะได้แรงบันดาลใจมาจาก ผลงานของกาเบรียล การ์เซีย มาเกซ ซึ่งมาเกซเองก็ได้แรงบันดาลใจมาจาก ฮวน รุลโฟ (ฆวน รุลโฟ) จากผลงานนวนิยายเรื่อง เปโดร ปาราโม อีกทอดหนึ่ง เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์วรรณกรรมแนวนี้ถูกตัดตอน ขอกล่าวถึงต้นธารของงานสกุลนี้สักเล็กน้อย กล่าวถึงฮวน รุลโฟ ซึ่งจริงๆ แล้วควรเขียนเป็นภาษาไทยว่า ฆวน รุลโฟ ทำให้หวนระลึกถึงผลงานแปลฉบับของ ราอูล ที่ฉันตกระกำลำบากในการอ่านอย่างแสนสาหัส…
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ : ประวัติย่อของแทรกเตอร์ฉบับยูเครนA SHORT HISTORY OF TRACTORS IN UKRAINIAN ผู้เขียน : MARINA LEWYCKA ผู้แปล : พรพิสุทธิ์ โอสถานนท์ ประเภท : นวนิยายแปล พิมพ์ครั้งแรก สิงหาคม 2550 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์มติชน และแล้วฉันก็ได้อ่านมัน ไอ้เจ้าแทรกเตอร์ฉบับยูเครน เมียงมองอยู่นานสองนานแล้วได้สมใจซะที ซึ่งก็สมใจจริงแท้แน่นอนเพราะได้อ่านรวดเดียวจบ (แบบต่อเนื่องยาวนาน) จบแบบสังขารบอบช้ำเมื่อต่อมขำทำงานหนัก ลามไปถึงปอดที่ถูกเขย่าครั้งแล้วครั้งเล่า ประวัติย่อของแทรกเตอร์ฉบับยูเครน เป็นนวนิยายสมัยใหม่ที่ใช้ภาษาง่าย ๆ แต่ดึงดูดแบบยุคทุนนิยมเสรี…