‘นายยืนยง’
ชะตากรรมของสังคมฝากความหวังไว้กับวรรณกรรมเพื่อชีวิตเห็นจะไม่ได้เสียแล้ว หากเมื่อความเป็นไปหรือกลไกการเคลื่อนไหวของสังคมถูกนักเขียนมองสรุปอย่างง่ายเกินไป ดังนั้นคงไม่แปลกที่ผลงานเหล่านั้นถูกนักอ่านมองผ่านอย่างง่ายเช่นกัน เพราะนอกจากจะเชยเร่อร่าแล้ว ยังเศร้าสลด ชวนให้หดหู่...จนเกือบสิ้นหวัง
ไม่ว่าโลกจะเศร้าได้มากแค่ไหน ก็ไม่ได้หมายรวมว่าเราจะใช้ชีวิตอยู่แต่กับโลกแห่งความเศร้าใช่หรือไม่? เพราะบ่อยครั้งเราพบว่าความเศร้าก็ไม่ใช่ความทุกข์ที่ไร้แสงสว่าง ความคาดหวังดังกล่าวจุดประกายขึ้นต่อฉัน เมื่อตั้งใจจะอ่านรวมเรื่องสั้น โลกใบเก่ายังเศร้าเหมือนเดิม ของ ทัศนาวดีแต่แล้วกลับต้องผิดหวัง! (ในลำพัง) เพราะไม่เคยคาดคิดว่าต้องมาพบเจอกับกระบวนการที่ยังกลับย่ำวนอยู่ในหลุมบ่อโศกนาฏกรรมของศตวรรษที่แล้ว
รวม ๑๒ เรื่องสั้นที่ถ่ายทอดด้วยน้ำเสียงอย่างที่เรียกได้ว่าท้องถิ่นนิยม ปรนเปรอผู้อ่านด้วยคราบน้ำตาอันสุดรันทด แต่ความผิดหวัง (ส่วนตัว) ดังกล่าวนั้นก็ถูกชดเชยด้วยภาษาของทัศนาวดี
การใช้ภาษาของทัศนาวดีเต็มไปด้วยอารมณ์ละเอียดอ่อน และช่างเปรียบเปรย ให้ภาพพจน์ สร้างชีวิตชีวาให้ตัวละคร มีแรงดึงดูดชวนให้อยากอ่านจนจบ เพราะไม่ว่าเนื้อหาจะดีเลิศเลอเพียงใด ถ้าขาดศิลปะการใช้ภาษาแล้ว งานเขียนนั้นย่อมไม่ประสบความสำเร็จในแง่ของการสื่อสาร แต่ขณะเดียวกันเค้าโครงเรื่องและแก่นของเรื่องกลับแสดงออกให้เห็นข้อด้อยที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นแม้ในปีพ.ศ.๒๕๔๗ ปีที่จัดพิมพ์รวมเรื่องสั้นนี้ขึ้น
นี่ไม่ใช่ข้อเขียนที่จ้องจับผิดหรือประทุษร้ายอารมณ์ใคร หากแต่มุ่งหวังจะชี้ให้เห็นว่า วรรณกรรมแนวเพื่อชีวิตนั้น ควรค่าแค่เป็น “ของเก่าหายาก”ในยุคที่คนเดือนตุลา (ต้นแบบแนวคิดอันเป็นรากฐานของวรรณกรรมแนวเพื่อชีวิต) กลายเป็นเบี้ยให้รัฐบาลทาสทุนข้ามชาติเท่านั้นหรือ? หรือควรจะเป็นเสียงประกาศที่แท้ของยุคสมัยดั่งที่เคยเป็นมาในอดีต
เนื่องจากสูตรสำเร็จของแนวเพื่อชีวิต คือ โศกนาฏกรรม และขั้วคู่ขัดแย้ง ซึ่งคู่เอกคงไม่พ้น ชนบท –สังคมเมืองหลวง , อนุรักษ์นิยม –หัวสมัยใหม่, ไพร่ฟ้า –รัฐ ซึ่งประเด็นนี้จะไม่อาจก้าวถึงความเป็นสากลได้เลย หากนักเขียนยังจำกัดตัวเองให้หลับตาเขียนสนองอุดมคติของโลกใบเก่า ยกตัวอย่างเรื่องสั้นชื่อ กำแพง
เรื่องของคู่รัก คู่ขัดแย้งในรูปแบบของ อนุรักษ์นิยม –หัวสมัยใหม่
ฝ่ายชายเป็นครูบ้านนอก บูชาอุดมคติ บรรพบุรุษและถิ่นกำเนิด ฝ่ายหญิงเป็นพนักงานบริษัทในเมืองกรุง ฝันถึงชีวิตพรั่งพร้อมสะดวกสบาย สองคู่ขัดแย้งนี้ปะทะกันที่จุดวิกฤตคือการตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน สุดท้ายไม่อาจยอมถอยหลังคนละก้าว ไม่อาจประนีประนอมได้ นั่นคือ การไม่อาจยอมรับในความเป็นอื่น
ดังคำพูดของฝ่ายหญิงในหน้า ๒๑ “ ทุกสิ่งล้วนความจริง แต่ทำไมพี่ไม่ยอมรับ ยุคนี้โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว เราต้องวิ่งตามมัน จะมามัวนั่งดื่มด่ำอยู่กับภาพเก่าๆ ของบรรพบุรุษไม่ได้หรอก พี่เห็นมั้ย ล้อเกวียนพาหนะสมัยปู่ย่าตายาย เดี๋ยวนี้มีหรือที่บ้านนอกคอกนา เปล่าเลย... มันมาเรียงรายอยู่หน้าห้องอาหาร ตามบาร์ตามเธคหมดแล้ว... ”
คำพูดนั้นได้แสดงออกถึงการเคลื่อนย้ายของค่านิยมและรสนิยมของคนในสังคม กระแสอนุรักษ์ของเก่าที่มาพร้อมชุดความรู้สึกนึกคิดแบบ “เพื่อชีวิต” “ชาวนา” “ชนบท”ต่างเข้าไปอยู่ในแผนการตลาดตามธุรกิจหลายสาขา กลายเป็นพรีเซนเตอร์ขายสินค้าไปแล้ว ปัจจุบันชุดความรู้สึกนึกคิดที่ถูกสร้างมาจากวรรณกรรมแนวนี้ รวมถึงบทกวี หรือเพลงเพื่อชีวิต ก็ถูกนำมาติดราคาขายอย่างแพง นั่นมันก็เท่ากับว่ารอยไถ คราบน้ำตาชาวนา การถูกกดขี่ข่มเหง ความยากไร้รันทดของคนด้อยโอกาสที่มีชีวิตโลกแล่นในโลกวรรณกรรม เป็นสินค้าขายดีมีราคา สร้างกำไรให้กลุ่มคนที่ประกอบอาชีพบนความทุกข์ยากเหล่านั้น
เมื่อสังคมเคลื่อนผ่านจากจุดเดิมที่อุดมคติของฝ่ายครูหนุ่มบ้านนอก หัวอนุรักษ์นิยมและใฝ่ฝันจะเป็นนักเขียนผ่านไปแล้ว แต่มุมมองของนักเขียนยังจับจ้องอยู่ที่เดิม เรื่องสั้นที่มุ่งนำเสนอปัญหาสังคม ที่กำลังถูกตัดตอนออกจากรากเหง้าบรรพบุรุษ น่าจะแสดงออกได้กว้างและลึกกว่านี้ กลับกลายเป็นเรื่องที่ราบเรียบไร้มิติให้ตีความต่อ โดยเฉพาะตอนจบของเรื่อง ในหน้า ๒๕ ที่จบแบบโศกซื่อ เร้าให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจเท่านั้นเอง ( เรื่องเล่าผ่านมุมมองบุรุษที่หนึ่ง คือ ผม )
ผมยืนมองสองพ่อลูกยืนอยู่บนสะพานลอยในเมืองกรุง ขณะฝนเริ่มสาดเม็ด
“ ฝนจะตกแล้ว กลับบ้านเราเถอะ พ่อ... ” ไอ้หนูเขย่าแขนพ่อ แววปิติเต้นระริกอยู่ในดวงตาซื่อ สายตาสองพ่อลูกตอบโต้กัน พ่อกลืนน้ำลายเหนียวหนืด เหม่อขึ้นมองฟ้า มือโอบลูกชายไว้
“ พ่อขายนาแล้วลูกเอ๋ย ... เราไม่ต้องการฝนอีกแล้ว ”
เรื่องกำแพงจบลงตรงนี้เอง จบลงตรงหน้ากำแพงอุดมคติที่ทึบทื่อ จนกระทั่งผู้เขียนไม่อาจฝ่าทะลุไปได้ ขณะที่เรื่อง โลกใบเก่ายังเศร้าเหมือนเดิม ( หน้า ๑๐๑ ) ที่เล่าชะตากรรมของยายเพ็ง แม่เฒ่าคนจรที่อาศัยข้างสถานีรถไฟ นางถูกนักเขียนสร้างให้เป็นคนที่น่าเวทนาเกินกว่ามนุษย์คนใดในโลก ทั้งถูกลูกสาวเนรคุณ ขณะลูกชายสุดที่รักก็หายเข้ากรุงเทพฯ ไม่รู้ชะตากรรม ทั้งถูกกดขี่ ข่มขู่จากพนักงานสถานีรถไฟ ตกรถขนม็อบเข้ากรุงเทพฯ ไม่ได้เงินค่าจ้าง สุดท้ายนางทิ้งชีวิตเฮือกสุดท้ายไว้ข้างถังขยะซึ่งเป็นเสมือนห้องครัวและบัญชีเงินฝากของนาง
ทั้งเรื่องเขียนให้เห็นแต่ความเศร้าที่ไร้ต้นสายปลายเหตุ ไม่บอกว่านางถูกอะไรกระทำนอกจากชะตากรรม นักเขียนไม่สามารถถ่ายทอดกลไกของสังคมที่สำแดงให้เห็นว่าคนด้อยโอกาส คนไร้ คนไร้โอกาสทางการศึกษา คนบ้านนอก คนไร้สัญชาติ ถูกกระทำโดยใคร? “ มือที่มองไม่เห็น ”หรือ? ถูกกระทำโดยกลไกทางเศรษฐศาสตร์หรืออำนาจรัฐ
หากนักเขียนแนวเพื่อชีวิตมีมุมมองที่จับจด หละหลวม เกินไป เหมือนรายการสงเคราะห์คนจนในจอโทรทัศน์ วรรณกรรมแนวเพื่อชีวิตคงอยู่แต่ในตู้โชว์ของบรรดากลุ่มคนที่มองเห็นลู่ทางสร้างรายได้จากวรรณกรรมแนวนี้
ขณะนักเขียนตกเป็นจำเลยในข้อหาด้านคุณภาพของงานแล้ว เราต้องไม่ละเลยที่จะตักเตือนแวดวงการตลาดในธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ด้วย หากกระบวนการขายยังปิดกั้น ไม่เอื้อโอกาส เปิดที่ทางให้เกิดความเป็นธรรมต่อสังคม ต่อนักเขียน และต่อผู้บริโภคแล้ว ก็เท่ากับเป็นส่วนหนึ่งของกลไกทางสังคมที่กดขี่ไม่ให้ความดีงามเจริญขึ้นมาได้ ฉะนั้นแล้วธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ก็ควรเลิกยกย่องตัวเองว่าวิเศษวิโสกว่าธุรกิจการค้าอื่น เพราะสิ่งเดียวที่แสวงหามิใช่การจรรโลงสังคมแต่เป็นกำไรเพียงประการเดียว.