Skip to main content

‘นายยืนยง’

20080409 1

ชื่อนิตยสาร      :    ฅ คน ปีที่ ๓  ฉบับที่ ๕ (๒๔)  มีนาคม ๒๕๕๑
บรรณาธิการ     :    กฤษกร  วงค์กรวุฒิ
เจ้าของ           :    บริษัท ทีวีบูรพา จำกัด

ฅ คน นับเป็นนิตยสารรายเดือนที่รวบรวมหลากหลายแง่มุมของชีวิต ผู้คนและเนื้อหาของคนในสังคม  เป็นเสียงบอกเล่าผ่านมุมมองของนักเขียนสารคดี ว่าด้วยเรื่องกึ่งชีวประวัติ หากอ่านเอาเรื่องก็ได้คติแง่คิด ขณะเดียวกันเราจะพบว่าลีลาของนักเขียนบทความ สารคดี ล้วนเขียนด้วยสำนวนอย่างงานวรรณกรรม ซึ่งนับเป็นข้อสังเกตเกี่ยวกับก้าวย่างของงานเขียนประเภทนี้
        
ปัจจุบันงานเขียนสารคดีได้ปรับกระบวนอย่างชัดเจนมากขึ้น นอกจากพื้นฐานที่ต้องเขียนบนหลักการ ข้อเท็จจริงแล้ว นักเขียนสารคดีต่างแต้มสำนวน ลีลาให้ออกรสออกชาติ ด้วยวิธีการนำเสนอแบบอาศัยโครงสร้างอย่างเรื่องสั้น หรือนิยาย ทำให้งานเขียนประเภทนี้มีแรงเร้า ชวนอ่าน และโดดเด่นมากขึ้นอย่างไม่อาจปฏิเสธ

กล่าวได้ว่านักเขียนสารคดีในปัจจุบัน สามารถก้าวผ่านข้อเขียนที่ละเลงข้อมูล- ข้อเท็จจริงเพื่อให้เข้ากรอบของงานไปได้ไกลแล้ว การก้าวพ้นกรอบเกณฑ์ปลีกย่อยนี้ต้องยกย่องนักเขียนสารคดีอย่างจริงจังอีกด้วย ทั้งนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเอารางวัลใดมาเทียบเคียง ยกยอปอปั้นกันให้เอิกเกริก เพราะงานเขียนสารคดีที่ดีเข้าขั้นสามารถก้าวเข้ามานั่งในใจนักอ่านได้ไม่ยากเย็น ทั้งยังได้เกร็ดความรู้ประเทืองสมองพ่วงท้ายมาด้วย     

นอกเหนือจากในนิตยสารรายเดือนต่าง ๆ เช่น  สารคดี หรือ  ฅ คน แล้ว อีกเล่มที่น่าอ่านจนถึงขั้นไม่ควรพลาด ทั้งด้วยฝีมือการเขียน กับเรื่องราวที่ที่ถูกสื่อกระแสหลักปิดบังมานาน และเรา (ประชาชน) ต้องร่วมรับรู้ คือ โศกนาฏกรรมคนชายขอบ

โศกนาฏกรรมคนชายขอบ ประกอบด้วยสารคดีว่าด้วยวิถีชีวิตของกลุ่มชนเผ่าพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย อธิบายถึงความเป็นมาแต่ดั้งเดิม บอกเล่าถึงชะตากรรมอันเข้มข้นของพวกเขาซึ่งถูกรุกราน ทำลายล้างด้วยอำนาจของภาครัฐภายใต้แผนนโยบายพัฒนาฟื้นฟูอันสวยหรู  รวมทั้งได้สะท้อนภาพปัญหาอย่างชัดเจน และไม่ละเลยที่จะชี้แจงทางออก วิธีการแก้ไขปัญหาด้วยความเป็นธรรมในน้ำเสียงของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง

ถ่ายทอดผ่านนักเขียนสารคดี ๕ คน คือ สุมาตร  ภูลายยาว, อานุภาพ  นุ่นสง,  แพร  จารุ,  ภู  เชียงดาว, จิตติมา  ผลเสวก  โดยบรรณาธิการ  สุริยันต์  ทองหนูเอียด

ว่าไปแล้วโศกนาฏกรรมคนชายขอบ หรืองานเขียนสารคดีที่มุ่งเสนอแง่มุมชีวิตของกลุ่มคนที่เสมือนไร้ตัวตน หรือถูกรัฐหรือสื่อกระทำให้ไร้ตัวตนไปจากช่องทางการรับรู้ของสังคมกระแสหลัก กำลังขยับขยายให้มี “หอกระจาย” ข่าวสารซึ่งอาจเรียกกันว่า ทางเลือกใหม่ (ส่วนหนึ่งมาจากความเบื่อหน่ายของสื่อกระแสหลัก) ปรากฎการณ์นี้ก่อร่างสร้างพลัง ผลักดัน ต่อสู้กันมาเป็นเวลายาวนาน จากหลากหลายกลุ่ม หลายองค์กร ซึ่งแน่นอนว่า ชื่อของ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือในนามของ ส.ศิวรักษ์  ก็เป็นผู้หนึ่งที่ยืนหยัดแสวงหาแนวทางกระจ่างฝ่ายุคอึมครึม ด้วยแนวทางความคิดอ่าน ด้วยวิถีการดำเนินชีวิต และบุคลิกเฉพาะตัว เราจึงไม่อาจปฏิเสธว่า ส.ศิวรักษ์ เป็นดั่งอาจารย์ของเรา ทุกครั้งที่อาจารย์พูด ลูกศิษย์อย่างเรามีหรือจะไม่สดับตรับฟัง

20080409 2
ที่มาภาพ : http://www.bangkokbiznews.com/2005/12/03/images/picweb_copy685.jpg

จากบทสัมภาษณ์  สุลักษณ์ ศิวรักษ์ 75 ปี บนเส้นทางแสวงหาสัจจะ ในนิตยสาร  ฅ คน เดือนมีนาคม ๒๕๕๑ นั้น มีคำถามเกี่ยวกับชัยชนะของการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมที่น่าสนใจ ในหน้า ๖๙  ขอยกมาให้อ่านกัน

(ถาม) เข้าใจว่าชัยชนะที่อาจารย์พูดถึง มิใช่การพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินของคนเล็ก ๆ ในการผลักดันเรื่องต่าง ๆ ในสังคม

(ตอบ) คือเราไม่ได้เห็นอีกฝ่ายเป็นศัตรู อันนี้สำคัญมาก ศาสนาพุทธสอนไว้อย่างนี้  ถ้าเห็นอีกฝ่ายเป็นศัตรู เราจะเป็นเหมือนเขาเลย ในภาษาอังกฤษบอกว่า ถ้าคุณสู้กับมังกร คุณจะกลายเป็นมังกร ศาสนาพุทธบอกว่า ถ้าคุณสู้กับมาร คุณก็กลายเป็นมาร ถ้าคุณเกลียดไอ้พวกคอร์รัป แล้วคุณก็จะคอร์รัปเหมือนเขา  พระไพศาล วิสาโล พูดไว้ดีมากว่า มดสู้มาตลอด แต่มดไม่เคยเห็นการไฟฟ้าฝ่ายผลิตเป็นศัตรู ไม่เห็นว่ากองทัพเป็นศัตรูเพราะฉะนั้นมดเขาก็ไม่เปลี่ยนไปในทางเลวร้าย ศาสนาพุทธใช้วิธีนี้นะครับ ศาสนาพุทธมันอยู่กับผี ไม่ได้ฟันผีให้ล้มไป แต่ทำผีให้เชื่อง อยู่กับไสยศาสตร์ ทำให้ไสยศาสตร์เชื่อง ตอนนี้เราอยู่กับทุนนิยม บริโภคนิยมก็ต้องทำให้ทุนนิยม บริโภคนิยมเชื่อง ต้องทำอย่างนี้ อย่าไปเห็นว่าต้องฆ่าไอ้หมักทิ้ง ฆ่าทักษิณทิ้ง ไม่ใช่หวังว่าเขาจะดีขึ้นในวันหนึ่ง ผมก็เชื่อว่าเขาจะดีขึ้นได้อาจจะช้าหน่อย ไม่ใช่เขา คนอื่นก็คงจะดีขึ้นได้

การกล่าวถึง มด (ชื่อเล่นของ วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์)  พระไพศาล วิสาโล หรืออ้างถึงศาสนาพุทธ ล้วนถือเป็นศิลปะแห่งวาทะที่เราจะพบได้เป็นจังหวะ ๆ ขณะให้สัมภาษณ์ นี้ทำให้นึกถึงประโยคอมตะที่ว่า ศิลปะส่องทางให้กัน แต่การณ์นี้กลับยิ่งกว่า เพราะการที่ “คนอย่าง” สุลักษณ์ ศิวรักษ์ กล่าวยกย่องถึง “คนอย่าง” มด วนิดา กล่าวยกย่อง “คนอย่าง” พระไพศาล วิสาโล เท่ากับเป็นการต่อคบไฟแห่งความหวังให้ผู้คนและสังคม  แม้จะไม่ใช่ศิลปะการประพันธ์ แต่นี่เป็นศิลปะแห่งชีวิต

ครั้นมาดูคำถามนี้บ้าง

(ถาม) ส. ศิวรักษ์ มาเข้าใจคนจน ก็เพราะเจ้า แต่ ส. ศิวรักษ์ ก็เป็นคนที่วิพากษ์เจ้ามากที่สุด

(ตอบ) ผมไม่ได้รังเกียจเจ้านะครับ  แต่ถ้าเจ้าทำตัวเป็นคนมากเท่าไหร่ ก็จะน่ารักมากขึ้นเท่านั้น  แต่ถ้าเจ้าทำตัวเป็นเทวดา เป็นอภิสิทธิ์ชนเท่าไหร่ ก็จะยิ่งน่าเกลียดขึ้นเท่านั้น เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมากหรอก

การพูดถึงเจ้า คนแต่ก่อนนี้เขาพูดนะครับ รัชกาลที่ ๗ ท่านรับสั่งเลยว่า ท่านจะทำอะไรใหม่ ๆ แล้วมีคนถามว่า ไม่กลัวคนวิพากษ์วิจารณ์หรือ ท่านบอกว่าพระเจ้าแผ่นดินทำอะไรคนก็วิพากษ์วิจารณ์อยู่แล้ว

สมัยก่อนนี้ ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล คนก็ด่าพระเจ้าแผ่นดิน รัชกาลที่ ๗ ท่านเข้าใจ คุณเป็นเบอร์หนึ่ง เบอร์หนึ่งก็ต้องถูกด่าสิครับ แต่ตอนนี้เราจะให้ชมอย่างเดียวหรือไง คนแต่ก่อนนี้เขาวิพากษ์วิจารณ์ครับ

คำตอบของ ส. ศิวรักษ์  แสดงออกถึงความเป็นปราชญ์ ถึงความรู้และประสบการณ์ และที่สำคัญความกล้าพูดความจริง กล้าคิดต่าง ซึ่งถือเป็นจุดหนึ่งที่หลอมรวมเป็นตัวตนของ ส. ศิวรักษ์ในปัจจุบัน  

การกล้าคิดต่าง เป็นข้อสำคัญประการใหญ่ทีเดียว และ ส.ศิวรักษ์ ก็ถือเป็นบุคคลหนึ่งในสังคมที่อาจหาญชาญชัย หากใครสนใจกระบวนการกล้าจะคิดต่าง สามารถหาอ่านเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้ชีวิตได้จาก หนังสือ แหวกแนวคิด ของ ส.ศิวรักษ์  ซึ่งสำนักพิมพ์ ๒๒๒ เป็นผู้จัดพิมพ์ จากการลงตีพิมพ์เป็นตอน ๆ ในหนังสือพิมพ์ ฐานสัปดาห์วิจารณ์ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๘ ในวาระที่  ส. ศิวรักษ์ เดินทางไปรับรางวัล Alternative Nobel  หรือรางวัลสัมมาอาชีวะ (Right Livelihood Award) ประกาศให้ ปัญญาชนสยามผู้อื้อฉาว – ส.ศิวรักษ์ เป็นหนึ่งในสี่ปัจเจกบุคคลและองค์กรที่สมควรได้รับรางวัลในฐานะ “ ผู้ปกป้องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน ปี ๒๕๓๘ (Honour Defenders of Democracy and Human Rights)
        
ความกล้าคิดแหวกแนว กล้าพูดความจริง กล้าวิพากษ์วิจารณ์ของ ส. ศิวรักษ์ ไม่ใช่สักแต่ “วิจารณ์” คนอื่น ไม่หันดูตัว  ดังที่หลายคนเป็นๆ อยู่ หากแต่ ส. ศิวรักษ์ยังกล้าพูดถึงด้านลบของตัวเองอย่างจริงใจด้วย  ดังเช่นในหน้า ๗๖

(ถาม) ในชีวิตอาจารย์  มีอะไรที่คิดว่าเป็นความล้มเหลวบ้างไหม
        
(ตอบ)  (เงียบ...)  ขอเวลาคิดหน่อย  เพราะคนเรามักจะปิดบังความล้มเหลว (หัวเราะเสียงดัง)  ...ความล้มเหลวที่หนึ่ง  ผมเทศน์มากเกินไป ผมทำในสิ่งที่ผมเทศน์น้อยเกินไป เทศน์มากกว่าลงมือทำ  ความล้มเหลวข้อที่สอง  จนป่านนี้อายุเจ็ดสิบห้าแล้วยังอยากมีกิ๊กอยู่...ให้ตายห่าสิ  

ความล้มเหลวที่สำคัญที่สุด  ที่ผมเทศน์ให้คนเขาลืมผม  เพราะลึก ๆ แล้วผมก็อยากเป็นอมตะ  ลึก ๆ ไม่อยากให้เขาลืม (หัวเราะ) นี่ถือเป็นความล้มเหลว... เพราะคนที่ถือพุทธจริงๆ จังๆ ชาติหน้าผมก็ไม่ใช่ ส. ศิวรักษ์ แล้ว  ไปติดยึดอะไรกับชื่อ ต้องทำใจในเรื่องนี้ให้ได้  ถ้าละตรงนี้ได้ก็คือดวงตาเห็นธรรม  ... ฯลฯ ...

หรือในคำถามนี้
(ถาม)  ในฐานะที่เป็นผู้ที่แสวงหาความจริง  และชีวิตที่ดำเนินมาได้ผ่านช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของสังคมไทยจากเผด็จการ  มาถึงยุคทุนนิยม บอกได้ไหมว่าอะไรคือสิ่งที่น่าชังที่สุดในสังคมไทย

(ตอบ)  สิ่งที่น่าชังที่สุด  ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๐  เป็นต้นมา  สังคมไทยเป็นสังคมซึ่งปฏิเสธความจริง  และเอาความจริงระคนเท็จมามอมเมาคนโดยตลอด  จนกระทั่งคนไม่เห็นผิดที่จะไม่พูดความจริง   ...ด้วยความเคารพ  แม้กระทั่งสื่อทั้งหมดทำตัวเหมือนปศุสัตว์เลย  เราไม่ยืนหยัดฝ่ายความจริงที่จะต่อต้านเลย  ... ฯลฯ ...

บทความนี้ แม้ได้วางแง่มุมของการวิจารณ์วรรณกรรมที่คุ้นเคยลงอย่างทื่อ ๆ   
แต่ก็หวังว่าเรา ๆ ท่านจะไม่ถือสา  เพราะเราต่างรู้สึกได้ว่า แม้วรรณกรรมจะเป็นส่วนสำคัญหนึ่งของภาษา วัฒนธรรม และการดำเนินชีวิต  แต่ขณะเดียว พื้นใจของเราย่อมเปิดรับทัศนคติจากบทสัมภาษณ์ ที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการกรองคำ กรองความเป็นรูปแบบของงานเขียน ดังเช่น บทสัมภาษณ์ของ ส. ศิวรักษ์ ที่ยกมานี้ เพราะสำหรับบางคนแล้ว การเชี่ยวชาญในด้านหนึ่ง ก็อาจให้ผลเทียบเคียงกับผู้ที่เชี่ยวชาญในอีกด้านได้เช่นกัน

นอกจากกระตุ้นให้เราขุกจิตคิดขึ้นได้ทันทีแล้ว ยังจุดเพลิงพลังใจและสานต่อให้ได้อยากเรียนรู้ ศึกษา เมื่อเรามองเห็นชีวิตของคนอื่น นอกจากจะมองเห็นเฉพาะตัวเอง.
                



        

บล็อกของ สวนหนังสือ

สวนหนังสือ
  นายยืนยงชื่อหนังสือ           :           พ.๒๗ สายลับพระปกเกล้าฯ ผู้เขียน               :           อ.ก. ร่งแสง (โพยม โรจนวิภาต)ประเภท              :           สารคดีประวัติศาสตร์          พิมพ์ครั้งที่ 2  พ.ศ.…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : ฝรั่งคลั่งผี ผู้เขียน : ไมเคิล ไรท จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก : กรกฎาคม 2550 อ่าน ฝรั่งคลั่งผี ของ ไมเคิล ไรท จบ ฉันลิงโลดเป็นพิเศษ รีบนำมา “เล่าสู่กันฟัง” ทันที จะว่าร้อนวิชาเกินไปหรือก็ไม่ทราบ โปรดให้อภัยฉันเถิด ในเมื่อเขาเขียนดี จะตัดใจได้ลงคอเชียวหรือ
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : เด็กบินได้ ผู้เขียน : ศรีดาวเรือง ประเภท : นวนิยายขนาดสั้น พิมพ์ครั้งแรก กันยายน 2532 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์กำแพง มาอีกแล้ว วรรณกรรมเพื่อชีวิต เขียนถึงบ่อยเหลือเกิน ชื่นชม ตำหนิติเตียนกันไม่เว้นวาย นี่ฉันจะจมอยู่กับปลักเพื่อชีวิตไปอีกกี่ทศวรรษ อันที่จริง เพื่อชีวิต ไม่ใช่ “ปลัก” ในความหมายที่เราชอบกล่าวถึงในแง่ของการย่ำวนอยู่ที่เดิมแบบไร้วัฒนาการไม่ใช่หรือ เพื่อชีวิตเองก็เติบโตมาพร้อมพัฒนาการทางสังคม ปลิดขั้วมาจากวรรณกรรมศักดินาชน เรื่องรักฉันท์หนุ่มสาว เรื่องบันเทิงเริงรมย์…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : คนซื้อฝัน ผู้เขียน : ศุภร บุนนาค ประเภท : รวมเรื่องสั้น พิมพ์ครั้งที่ 2 กรกฎาคม 2537 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์เคล็ดไทย ตามสัญญาที่ให้ไว้ว่าจะอ่านหนังสือของนักเขียนไทยให้มากกว่าเดิม ฉันดำเนินการแล้วล่ะ อ่านแล้ว อิ่มเอมกับอรรถรสแบบที่หาจากวรรณกรรมแปลไม่ได้ หาจากภาษาของนักเขียนไทยรุ่นใหม่ก็ไม่ค่อยจะได้ จนรู้สึกไปว่า คุณค่าของภาษาได้แกว่งไกวไปกับกาละด้วย
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : เพลงกล่อมผี ผู้เขียน : นากิบ มาห์ฟูซ ผู้แปล : แคน สังคีต จาก Wedding Song ภาษาอังกฤษโดย โอลีฟ อี เคนนี ประเภท : นวนิยาย พิมพ์ครั้งแรก มิถุนายน 2534 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์รวมทรรศน์ หนาวลมเหมันต์แห่งพุทธศักราช 2552 เยียบเย็นยิ่งกว่า ผ้าผวยดูไร้ตัวตนไปเลยเมื่อเจอะเข้ากับลมหนาวขณะมกราคมสั่นเทิ้มด้วยคน ฉันขดตัวอยู่ในห้องหลบลมลอดช่องตึกอันทารุณ อ่านหนังสือเก่า ๆ ที่อุดม ไรฝุ่นยั่วอาการภูมิแพ้ โรคประจำศตวรรษที่ใครก็มีประสบการณ์ร่วม อ่านเพลงกล่อมผีของนากิบ มาห์ฟูซ ที่แคน สังคีต ฝากสำนวนแปลไว้อย่างเฟื่องฟุ้งเลยทีเดียว…
สวนหนังสือ
นายยืนยง สวัสดีปี 2552 ขอสรรพสิ่งแห่งสุนทรียะจงจรรโลงหัวใจท่านผู้อ่านประดุจลมเช้าอันอ่อนหวานที่เชยผ่านเข้ามา คำพรคงไม่ล่าเกินไปใช่ไหม ตลอดเวลาที่เขียนบทความใน สวนหนังสือ แห่ง ประชาไท นี้ ความตื่นรู้ ตื่นต่อผัสสะทางวรรณกรรม ปลุกเร้าให้ฉันออกเสาะหาหนังสือที่มีแรงดึงดูดมาอ่าน และเขียนถึง ขณะเดียวกันหนังสืออันท้าทายเหล่านั้นได้สร้างแรงบันดาลใจให้วาวโรจน์ขึ้นกับหัวใจอันมักจะห่อเหี่ยวของฉัน
สวนหนังสือ
ชื่อหนังสือ : เงาสีขาวผู้เขียน : แดนอรัญ แสงทองประเภท : นวนิยาย พิมพ์ครั้งที่สอง ตุลาคม 2550จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์สามัญชน น้ำเน่าในคลองต่อให้เน่าเหม็นปานใดย่อมระเหยกลายเป็นไออยู่นั่นเอง แต่การระเหิด ไม่ได้เกิดขึ้นเหมือนกับการระเหย  ระเหย คือ การกลายเป็นไอ จากสถานภาพของของเหลวเปลี่ยนสถานภาพกลายเป็นก๊าซระเหิด คือ การเปลี่ยนสถานภาพเป็นก๊าซโดยตรงจากของแข็งเป็นก๊าซ โดยไม่ต้องพักเปลี่ยนเป็นสถานภาพของเหลวก่อน ต่างจากการระเหย แต่เหมือนตรงที่ทั้งสองกระบวนการมีปลายทางอยู่ที่สถานภาพของก๊าซสอดคล้องกับความน่าเกลียดที่ระเหิดกลายเป็นไอแห่งความงามได้
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ : เงาสีขาว ผู้เขียน : แดนอรัญ แสงทอง ประเภท : นวนิยาย พิมพ์ครั้งที่สอง ตุลาคม 2550 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์สามัญชน ปกติฉันไม่นอนดึกหากไม่จำเป็น และหากจำเป็นก็เนื่องมาจากหนังสือบางเล่มที่อ่านค้างอยู่ มันเป็นเวรกรรมอย่างหนึ่งที่ดุนหลังฉันให้หยิบ เงาสีขาว ขึ้นมาอ่าน เวรกรรมแท้ ๆ เชียว เราไม่น่าพบกันอีกเลย คุณแดนอรัญ แสงทอง ฉันควรรู้จักเขาจาก เรื่องสั้นขนาดยาวนาม อสรพิษ และ นวนิยายสุดโรแมนติกในนามของ เจ้าการะเกด เท่านั้น แต่กับเงาสีขาว มันทำให้ซาบซึ้งว่า กระบือย่อมเป็นกระบืออยู่วันยังค่ำ (เขาชอบประโยคนี้นะ เพราะมันปรากฏอยู่ในหนังสือของเขาตั้งหลายครั้ง)…
สวนหนังสือ
ชื่อหนังสือ : นิทานประเทศ ผู้เขียน : กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ประเภท : รวมเรื่องสั้น พิมพ์ครั้งที่ 1 กันยายน 2549 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์นาคร
สวนหนังสือ
นายยืนยง    ชื่อหนังสือ : นิทานประเทศ ผู้เขียน : กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ประเภท : รวมเรื่องสั้น พิมพ์ครั้งที่ 1 กันยายน 2549 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์นาคร   ผลงานของนักเขียนไทยในแนวของเมจิกคัลเรียลลิสม์ หรือสัจนิยมมหัศจรรย์ หรือสัจนิยมมายา ที่ได้กล่าวถึงเมื่อตอนที่แล้ว ซึ่งจะนำมาเขียนถึงต่อไป เป็นการยกตัวอย่างให้เห็นถึงข้อเปรียบเทียบระหว่างงานที่แท้กับงานเสแสร้ง เผื่อว่าจะถึงคราวจำเป็นจะต้องเลือกที่รักมักที่ชัง แม้นรู้ดีว่าข้อเขียนนี้เป็นเพียงรสนิยมส่วนบุคคล แต่ฉันคิดว่าบางทีรสนิยมก็น่าจะได้รับคำอธิบายด้วยหลักการได้เช่นเดียวกัน…
สวนหนังสือ
เมจิกคัลเรียลลิสม์ หรือที่แปลเป็นไทยว่า สัจนิยมมายา หรือสัจนิยมมหัศจรรย์ เป็นแนวการเขียนที่นักเขียนไทยนำมาใช้ในงานเรื่องสั้น นวนิยายกันมากขึ้น ไม่เว้นในกวีนิพนธ์ โดยส่วนใหญ่จะได้แรงบันดาลใจมาจาก ผลงานของกาเบรียล การ์เซีย มาเกซ ซึ่งมาเกซเองก็ได้แรงบันดาลใจมาจาก ฮวน รุลโฟ (ฆวน รุลโฟ) จากผลงานนวนิยายเรื่อง เปโดร ปาราโม อีกทอดหนึ่ง เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์วรรณกรรมแนวนี้ถูกตัดตอน ขอกล่าวถึงต้นธารของงานสกุลนี้สักเล็กน้อย กล่าวถึงฮวน รุลโฟ ซึ่งจริงๆ แล้วควรเขียนเป็นภาษาไทยว่า ฆวน รุลโฟ ทำให้หวนระลึกถึงผลงานแปลฉบับของ ราอูล ที่ฉันตกระกำลำบากในการอ่านอย่างแสนสาหัส…
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ : ประวัติย่อของแทรกเตอร์ฉบับยูเครนA SHORT HISTORY OF TRACTORS IN UKRAINIAN ผู้เขียน : MARINA LEWYCKA ผู้แปล : พรพิสุทธิ์ โอสถานนท์ ประเภท : นวนิยายแปล พิมพ์ครั้งแรก สิงหาคม 2550 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์มติชน และแล้วฉันก็ได้อ่านมัน ไอ้เจ้าแทรกเตอร์ฉบับยูเครน เมียงมองอยู่นานสองนานแล้วได้สมใจซะที ซึ่งก็สมใจจริงแท้แน่นอนเพราะได้อ่านรวดเดียวจบ (แบบต่อเนื่องยาวนาน) จบแบบสังขารบอบช้ำเมื่อต่อมขำทำงานหนัก ลามไปถึงปอดที่ถูกเขย่าครั้งแล้วครั้งเล่า ประวัติย่อของแทรกเตอร์ฉบับยูเครน เป็นนวนิยายสมัยใหม่ที่ใช้ภาษาง่าย ๆ แต่ดึงดูดแบบยุคทุนนิยมเสรี…