สัปดาห์นี้ ในนามของกลุ่มพุทธศาสน์ของราษฎรที่สนับสนุนการต่อสู้เพื่อเสรีภาพ และความเสมอภาค ขออุทิศพื้นที่นี้ แด่ อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ที่พึ่งถูกสั่งฟ้องฐานหมิ่นเบื้องสูง
วิจักขณ์ พานิช
วิจักขณ์ พานิช
กลุ่มพุทธศาสน์ของราษฎร
คนส่วนมากสนใจมาภาวนา ก็เพื่ออยากให้ชีวิตดีขึ้น คลายความฟุ้งซ่านวิตกกังวล และมีความสุข สิ่งที่ได้จากการเข้าคอร์สปฏิบัติภาวนาเจ็ดวันบ้าง สิบวันบ้างก็ถูกเอากลับไปใช้จัดการชีวิตประจำวันให้เข้าที่เข้าทาง แก้ปัญหาต่างๆ ให้ลุล่วงลงตัว ขอแค่ชีวิตมีความสุข จะเอาอะไรมากไปกว่านี้อีก... เมื่อได้ผล เราก็ทำกันต่อไปแบบนี้เรื่อยๆ เข้าคอร์สซ้ำๆ รู้สึกดีซ้ำๆ ภาวนาในขั้นของความรู้แล้วซ้ำๆ สร้างความมั่นใจให้ตัวเองว่าตัวเองเดินมาได้ถูกทาง เป็นแบบอย่างที่ดี ทำไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นศีล เป็นประเพณี เกิดเป็นความตั้งมั่นที่ไม่มีอะไรมาสั่นคลอนได้ง่ายๆ ทำไป ทำไป จนมันกลายเป็นตัวเรา ตัวตนของเรา เป็นอำนาจของเรา ไม่ว่าจะเป็นอำนาจทางจิต อำนาจทางกาย หรืออำนาจทางสถานะ ชีวิตเป็นไปตามที่เราต้องการ ทุกอย่างควบคุมจัดการได้ และอีกด้านหนึ่งความเป็นผู้รู้ดีในธรรม ก็ทำให้เรามีตำแหน่งแห่งที่ที่ดูจะสูงส่งกว่าคนอื่นแถมไปด้วย
บางทีก็อดคิดไม่ได้ "ธรรมะป๊อบ" เช่นนี้ มันได้ช่วยส่งเสริมให้คนมีใจกว้างขึ้น หรือเห็นแก่ตัวขึ้นอย่างไรบ้าง นี่คือตัวอย่างหนึ่งของ "วัตถุนิยมทางจิตวิญญาณ" หรือการใช้เทคนิคการปฏิบัติทางจิตเพื่อพอกพูนความหยาบกระด้างของอัตตา (และอัตลักษณ์) ในนามความดีมีธรรมะ ธรรมะวัตถุนิยมแบบนี้ดูจะไปกันได้ดีสุดๆ กับความเป็นไทยๆ --- อัตลักษณ์ของการบ้าอำนาจ กราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หลงตัวเอง หลอกตัวเอง ปฏิเสธความจริง และมองทัศนคติที่แตกต่างทุกชนิดว่าเป็นการก่อการร้ายและภัยความมั่นคงต่อการอยู่รอดของอวิชชาที่เรียกว่าชาติ ทุกความกระเหี้ยนกระหือรือของการภาวนาและการศึกษาธรรมะในลักษณะนี้ ส่งเสริมอคติที่ได้ตั้งไว้ก่อนแล้วล่วงหน้า นั่นก็คือ "ทำอย่างไรก็ได้ให้ฉัน (ชาติ)โอเค และมีความสุข" จึงไม่น่าแปลกใจ ที่เราจะพบได้กับความไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับการทำรัฐประหาร หรือการใช้อาวุธสงครามสังหารประชาชนของรัฐ สังคมที่ถูกกล่อมเกลาด้วยศีลธรรมและการปฏิบัติธรรมใน bubble เช่นนี้ ย่อมอยู่ได้ไปวันๆ ด้วยแรงลอยตัวของสรวงสวรรค์เป็นที่ตั้ง เป็นธรรมอันไร้ที่ติ และไร้มิติ คือไม่มีมิติทางสังคม ไม่มีมิติความเป็นมนุษย์ ไม่มีมิติของความกล้าหาญ ความเป็นมิตร หรือมิติทางสติปัญญาใดๆ ทั้งสิ้น เพียงสร้างภาพของความเป็นคนดี ทำความดี ช่วยเหลือสังคม รักกันไปวันๆ ตราบใดที่ความเดือดร้อนยังไม่มาถึงตัว เมื่อได้ชื่อว่ามันดีและมันยังเวิร์ค ใยจะต้องไปแตะรื้อปัญหาสังคมเชิงโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็น โครงสร้างความรุนแรงของกองทัพ โครงสร้างศาลและกระบวนการพิจารณาคดีความอันอยุติธรรม พุทธศาสนาที่ถูกครอบงำโดยรัฐ รวมถึงกฏหมายอันป่าเถื่อนล้าหลัง อย่าง ม.112 หรือ กฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ปัญญานั้นถูกอุปมาอุปมัยว่าเปรียบเสมือนดาบ ความแหลมคมของมันเกิดขึ้นจากการหมั่นลับ หมั่นฝน ทั้งจากการสังเกต การตั้งคำถาม การแยะแยะ การลงไปทำความเข้าใจ และตัดรากโยงใยจากการยึดมั่นถือมั่นในความคิดอันคับแคบที่ตัวเองมี ปัญญาใช้ตัด ไม่ใช่ตัดเพื่อพ่อ ตัดเพื่อแม่ หรือตัดเพื่อใคร เป้าหมายเดียวคือเพื่อปล่อยและเปิดเราให้เข้าสู่พื้นที่ของการสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ ตามจริง เมื่อเห็นอะไรดึงรั้งจากการเปิดเข้าหาความจริง ปัญญาก็ตัด ....แม้จะเป็นอดีตที่หอมหวาน ประสบการณ์อันน่าจดจำถวิลหา หรือความยึดมั่นศรัทธาในตัวบุคคลผู้วิเศษ วินัยของปัญญาคือการตัดอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ และไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหม ตัดเฉือนแม้กระทั่งตัวเอง แม้แต่พื้นที่เล็กๆ ที่ตัวเราเองเอาไว้หยัดยืนเพื่อสร้างความมั่นคงแก่สถานะความดีและความมีตัวมีตนของเรา การภาวนาตามแนวทางพุทธศาสนา คือการใช้ปัญญาในลักษณะนี้ เส้นทางของผู้ฝึกภาวนา เผยขึ้นการถูกตัด ถูกเฉือน ...ทุกครั้งเราถูกปลดปล่อยจากการยึดถืออันคับแคบ เปลือยเปล่าอยู่กับภาวะไร้หลักยืน เพราะเราไม่รู้ เราจึงตื่น ตาเราจึงเปิด.. เราทำงานกับความทะเยอทยาน ความเคยชิน ความหวัง และความกลัว ของเราในแบบนี้ เผาไหม้ความหลับใหลและความไม่รู้ตัวของเราให้เป็นเชื้อไฟแห่งความตื่นในแบบนี้ ในทางหนึ่ง เส้นทางการภาวนาจึงเป็นเส้นทางที่เจ็บปวด น่าขายขี้หน้า โหดร้ายทั้งต่อตัวเราและต่อชาติเป็นอย่างยิ่ง...
ในเบื้องต้น พื้นฐานของภาวนาช่วยให้เราผ่อนคลายและอยู่กับภาวะที่เกิดขึ้นอย่างรู้เนื้อรู้ตัวมากขึ้น หัวใจคือการไม่ดึงรั้ง ไม่ผลักไส ต่อภาวะทางร่างกายและจิตใจใดๆ ที่เกิดขึ้น การไม่วิ่งวุ่นตามความคิด หรือตามปฏิกิริยาตอบโต้เดิมๆที่เรามี ทำให้จิตใจค่อยๆ กลับคืนสู่ธรรมชาติอันใสชัด และความใสชัดนั้นเองที่ทำให้เรามองเห็นตะกอนที่อยู่ลึกลงไปได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น การมองเห็นตะกอนที่นอนนิ่งอยู่ก้นบึ้งของใจเรามาอย่างยาวนาน เห็นแบบเห็นจังๆ โดยไม่มีแม้แต่ความธรรมะธัมโมเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้ปฏิกิริยา ความคุ้นชิน ความหวังและความกลัว ยิ่งแสดงธาตุแท้มันออกมาอย่างไม่มีกั๊ก เราได้เห็นตัวเองแบบเต็มๆ ทั้งด้านมืดและด้านสว่าง เมื่อพื้นที่ของการตระหนักรู้ขยายกว้างออกไปในเนื้อในตัวในลักษณะนั้น ถึงจุดหนึ่งที่เส้นทางการภาวนาของเราอาจต้องพบเจอแต่กับความเจ็บปวด ความดิ้นรน ความขมขื่น ความสับสน ความวุ่นวายโกลาหล ประสบการณ์อันไม่อยากจดจำ เราอยากผลักมันไปให้พ้นๆ ทุกครั้งที่นั่งลง เราเห็นหน้าคนรักที่แปรเปลี่ยนเป็นศัตรู เราเห็นหน้าศัตรูที่แปรเปลี่ยนเป็นปีศาจตามมาหลอกมาหลอน บางครั้งเราอยากล้มกระดาน บางครั้งเราอยากฆ่า... เราอาจโหยหาว่ามีวิธีไหนจะช่วยให้เราไปพ้นจากสถานการณ์เหล่านี้ได้บ้าง จะมีอัศวินม้าขาวคนใดช่วยเราได้ จะมีวันใดที่เราจะได้พบความสงบสุขอันเป็นนิรันดร์ น่าเสียดาย.. ที่การภาวนาตามแนวทางพุทธศาสนา ไม่ใช่บันไดที่เอาไว้สำหรับไต่สวรรค์ เป้าหมายไม่ใช่การเดินทางสู่สรวงสวรรค์ชั้นไหน แต่เราจะกำลังเดินทางบนดิน ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่รับรู้สุขและทุกข์ตามทีเป็นจริง ความกระหายคือการได้เรียนรู้ความจริงตามจริง... ดังนั้นในบางครั้ง ความผ่อนคลาย และการไว้วางใจตนเอง ก็ช่วยพาเรา "ลง" ไปสู่การเปิดกว้างต่อแง่มุมอื่นๆ ของชีวิตมนุษย์ชีวิตนี้ "ลึก" ขึ้น และจริงขึ้น
การฝึกใจตั้งอยู่บนรากฐานของความเปิดกว้างทั้งภายในและภายนอก ภายใน--เราจะพบได้กับประสบการณ์ในอดีต ที่ม้วนตัวโผล่ผุดขึ้นมาให้เราได้สัมผัสอีกครั้ง แง่มุมที่เราอาจมองข้าม ไม่มอง มองไม่เห็น แง่มุมที่เราอาจปฏิเสธ หรือเฉยเมย ศักยภาพที่เราไม่เคยตระหนักมาก่อนว่าเรามีอยู่ หัวใจที่ค่อยๆ เปิด จากการที่เราปล่อยจากความหยาบกระด้างของอคติทั้งหลายทั้งปวง ภายนอก-- เราจะพบว่าชีวิตมีความกล้าหาญที่จะเผชิญกับประสบการณ์อันแปลกใหม่มากขึ้นกว่าเก่า เรามีส่วนร่วมทางสังคม เรากล้าหาญในการร่วมทุกข์ร่วมสุขกับผู้อื่น อย่างไม่กลัวเปื้อนหรือกลัวเจ็บ เราพบว่าเราไม่ได้เลือกสัมพันธ์แต่เฉพาะแต่สิ่งที่เราชอบ ทว่าเราพร้อมจะเปิดรับต่อผู้คน และสถานการณ์ที่ผ่านเข้ามาด้วยความเป็นมิตร นี่คือพื้นที่ทั้งภายในและภายนอกที่ขยายกว้างออกไป เชื้อเชิญประสบการณ์ใหม่ๆ ที่เกินจากกรอบอคติและการคาดคิดของเรา ประสบการณ์ชีวิตกลายเป็นมิตรและเป็นครู มีความสมบูรณ์ในการเดินทางแต่ละย่างก้าวในตัวของมันเอง พุทธศาสนาวัชรยานเรียกโลกทัศน์ของการก้าวเดินเช่นนี้ว่า natural perfection อันแสดงออกถึงความไว้วางใจ ซึ่งเผยขึ้นจากการตื่นรู้ของจิตใจที่ถูกปลดปล่อยอย่างเป็นอิสระ
แม้ขณะภาวนา เราจะพบกับประสบการณ์ที่เข้มข้น เจ็บปวด และแทบจะทำให้เราเป็นบ้า เรารู้สึกถึงขอบเขตจำกัดของการตระหนักรู้ เรารู้สึก edgy พอกันที เหมือนมีอะไรบางอย่างมาบุกรุกและกระแทกขอบเขตตัวเราจนแทบคลั่ง เรารู้สึกถึงปฏิกิริยาของการพยายามปกป้องตัวเอง ของการพยายามเอาชนะ หายุทธวิธีทางความคิดมาตัดสิน ตัดพ้อ ต่อว่า หรือหาข้อแก้ตัว เพื่อจะได้เลี่ยงและหนีความเจ็บปวด บางชั่วขณะเรามีปฏิกิริยาในทันที เราผลัก เราตอบโต้ เราหนี หรือพยายามหาทางเลี่ยงด้วยสิ่งบันเทิงเริงใจ เพื่อจะได้ไม่ต้องสบตากับปีศาจตนนั้นอย่างจังๆ ทว่าเคราะห์ร้ายที่ยิ่งหนี เสนียดจัญไรก็ตามราวีเราอย่างไม่รู้จบ ดูเหมือนยังมีอะไรบางอย่างในเส้นทางนี้ที่เราไม่นับเป็นส่วนหนึ่ง มันคือสิ่งอื่น มันคือความเป็นอื่น มันไม่ใช่ตัวเรา เราอาจมองว่ามัน "ไม่จิตวิญญาณ" มันเลวร้ายเกินไป และควรถูกซุกเก็บไว้อย่างเงียบๆ ใต้พรมผืนเดิมที่เราจะใช้เป็นที่เหยียบยืนสุดท้าย ทว่า.. หากเราโชคดี ความจริงอันไร้ความปรานีก็จะตามมาแสดงความกรุณาอย่างถึงที่สุด ด้วยการเชื้อเชิญเราให้ออกมาจากที่ซ่อน ...ด้วยการดึงพรมผืนนั้นออกจากใต้เท้าเราอย่างฉับพลัน ปล่อยให้เราหงายหลังอย่างไร้หลัก สู่พื้นที่ว่างของความไม่รู้อีกครั้ง เราตะเกียกตะกาย ขัดขืน ครั้งแล้วครั้งเล่า จนถึงวินาทีที่เรายอมอย่างหมดเนื้อหมดตัว ยอมรับกับอะไรก็ตามที่เกิดขึ้น พื้นที่ก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เมื่อนั้นเรากลับพบว่า บาดแผลและความเจ็บปวด ได้ถูกเยียวยาด้วยความกรุณาของครูบาอาจารย์จนหมดสิ้น เราถูกเยียวยาด้วยการยอมรับความจริง เราถูกเยียวยาด้วยประวัติศาสตร์ ...ตื่นขึ้น และเกิดใหม่อีกครั้ง พร้อมกับการหลอมรวมประสบการณ์ที่ครั้งหนึ่งเราเคยคิดว่าเรารับมันไม่ได้
ชีวิตทางจิตวิญญาณทั้งทางปัจเจกและทางสังคมเติบโตจากการเผชิญความทุกข์และความเจ็บปวดอันไม่มีที่สิ้นสุด เชอเกียม ตรุงปะ ได้ให้มนตราแห่งทุกขสัจจ์แก่ผู้ฝึกตนในวัชรธรรมะไว้ว่า "ความทุกข์ไม่มีวันหมดไป และเราจะไม่มีทางมีความสุข" และนั่นคือพรของการเกิดมาเป็นมนุษย์ ขอบเขตของตัวเราถูกก้าวข้ามทุกครั้งที่เราจนมุม-- และยอมให้ประสบการณ์จริงของชีวิตตัดเฉือนและแทรกผ่านข้อจำกัดของตัวเราจนโปร่งพรุน ทว่าจนแล้วจนรอด เราก็จะตะเกียกตะกายหาหลักยืนใหม่อีกครั้ง ทว่าทุกครั้งที่เกิดขึ้น เรากลับพบพื้นที่ชีวิตขยายกว้างขึ้นทีละน้อยอย่างไม่น่าเป็นไปได้... ทุกประสบการณ์อันเจ็บปวด ทุกความหวัง ทุกความกลัว ทุกการขัดขืนไม่ได้หายไปไหน มันยังคงอยู่เป็นส่วนหนึ่งของตัวเรา น่าแปลกที่การยอมรับมันได้ กลับทำให้มันไม่ได้กลายเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเหมือนเก่า ....ไม่มีใครถูกไล่ออกจากบ้าน ความสงบนิ่งและเยือกเย็นที่ไม่ได้มาจากการปฏิเสธส่วนที่น่าเกลียด น่ากลัว โหดร้าย รุนแรง ของเราออกไปไหน... ทว่าเราวางใจ เรายอมรับมันได้ จนมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของศักยภาพที่ไม่อาจถูกตัดสินใจว่าเป็นด้านดีหรือด้านลบ มันเป็นของมันอย่างที่มันเป็น มีความแรง มีความเข้มข้น มีพลัง... มันตื่นอยู่ในตัวและเป็นส่วนหนึ่งของตัวเรา ศักยภาพของความเป็นมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุด ก็เพราะความทุกข์ในโลกนี้ไม่มีที่สิ้นสุด เช่นเดียวกับการตระหนักรู้ของใจที่ก็ไม่มีสิ้นสุด ไม่มีประมาณเช่นกัน ทุกชีวิตต่างสัมพันธ์ต่อกันและกัน และแต่ละชีวิตต่างก็มีอิสระที่จะเป็นอย่างที่มันเป็น ความแตกต่าง ความขัดแย้ง ความไม่ลงรอย ได้นำพาความหมายของการสร้างสรรค์อันไม่รู้จบ ความเข้าใจใหม่ๆ ความสัมพันธ์ใหม่ๆ จังหวะ สีสัน และพื้นที่ ได้ถูกผสมผสานขึ้นมาจากความเป็นตัวของตัวเองที่ไม่อาจถูกตัดสินว่าดีหรือร้าย ภายใต้ความเปลี่ยนแปลง ความไม่แน่ไม่นอน และความเป็นไปได้ ดีอาจแปรเปลี่ยนเป็นร้าย และร้ายก็อาจแปรเปลี่ยนเป็นดี สอดคล้องอยู่กับความโหยหาที่ทุกชีวิตต่างก็อยากมีพื้นที่และอิสรภาพในการแสดงออกถึงภาวะตามที่เป็นจริงของตัวมันเอง ชีวิตคือสิ่งศักดิ์ิสิทธิ์ด้วยนิยามของอิสรภาพและความเท่าเทียม และเราในฐานะผู้ปฏิบัติธรรมก็สัมพันธ์กับมันอย่างตรงไปตรงมาทั้งหมด....
หากสังคมพุทธ มีทัศนคติในการยอมรับและเผชิญความจริงเช่นนี้ สติปัญญาก็น่าจะงอกงามได้ พร้อมๆ กับจิตสำนึกของสังคมประชาธิปไตยที่ก็น่าจะงอกงามตามกันไปด้วย
บล็อกของ กลุ่มพุทธศาสน์ของราษฎร
กลุ่มพุทธศาสน์ของราษฎร
ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์กลุ่มพุทธศาสน์ของราษฎร
กลุ่มพุทธศาสน์ของราษฎร
สุรพศ ทวีศักดิ์
กลุ่มพุทธศาสน์ของราษฎร