Skip to main content

นางมาถึงหมู่บ้านเหมือนนกย้ายถิ่นประจำฤดู

ไม่มีใครรู้ว่านางมาถึงหมู่บ้านไหนเดือนไหน และเลือกเข้าไปบ้านใครก่อน ทุกคนในหมู่บ้านต่างรู้ว่านางจะมา ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ต่างเรียกนางจนติดปากว่า ซามูนะห์


ซามูนะห์มาแล้ว
ในความรู้สึกของเด็ก น่าสยอง น่าขนลุกขนพอง ใช่แล้ว หญิงบ้ากำลังเข้ามาหมู่บ้าน

เด็กคนไหนดื้อเกิน มักจะโดนพ่อแม่ขู่ จะให้ซามูนะห์จับใส่สอบนั่ง พาไปขาย

เด็กจะเงียบกริบ ผมเป็นหนึ่งในจำนวนเด็กกลัว เด็กไม่กลัวจะโต้ตอบอีกอย่าง เอากรวดปา หรือกระป๋องนมปาใส่นาง นางหยุดกึกบ่นพึมพำ ทำท่ายกไม้ยกมือปัดป้อง แล้วผู้ใหญ่ก็เข้ามาไล่พวกเด็กกลุ่มไม่กลัวนางอีกที

14_7_01


หมาเห่าไปตลอดทางที่นางเดินไป

ผมยังเด็กมาก แต่แม่ก็มอบหมายให้ต้มข้าวหมู โดยไปเอาบอนมาต้มกับปลายข้าวสาร นั่นหมายถึงต้องไปตัดบอนในหนองน้ำข้างทางรถไฟ ซึ่งมีปลิงเยอะมาก ผมไม่กล้าไปคนเดียว ต้องไปกับแม่เท่านั้น ผมกลัวจะพบซามูนะห์


นางมากับเสื้อผ้าชุดดำ ซิ่นดำเก่าๆ เสื้อดำเก่าๆ เสื้อดำที่หนังผีปอบชอบให้หญิงแก่ๆ เป็นปอบสวมใส่ แบบนั้นแหละ นางมากับสอบนั่งทุกครั้ง (ภาชนะทำจากต้นจูด วางไว้(ทูน)บนศีรษะ) เดินตีนเปล่าผ่านถนนตัดกลางหมู่บ้าน


ทุกคนเชื่อว่านางเดินมาตามทางรถไฟ พวกผู้ใหญ่บอกว่านางเดินไปเรื่อยตามทางรถไฟ บ้างบอกว่านางมาจากปัตตานีโน่นก็มี แวะพักตามแต่นางอยากจะหยุด


หน้ายับๆ แตกเป็นเส้นๆ เป็นขี้แมงวัน เส้นผมแห้งยาวเป็นกระเซิง ตาแข็งเย็นชาไร้ความรู้สึก เดินมาเหมือนคนหมดแรง ไม่พูดแม้แต่คำเดียว แต่ได้ยินเสียงบ่นอึ่มๆ ฮั่มๆ อยู่ในลำคอ เหมือนแมวส่งเสียงเครืออยู่ในลำคอตลอดเวลา

14_7_02


หน้าบ้านผมมีต้นน้อยหน่าเป็นสิบต้น ยอดสูงถึงหลังคา เตาไฟไม้ฟืนก่อขึ้น โดยเอาหินก้อนเส้าวางล้อมกองไฟ ปิ๊บต้มข้าวหมูตั้งวาง ถ้าน้ำแห้งก็เติมน้ำ ผมคอยเติมน้ำ และใช้ไม้พายกวนให้เข้ากัน จนกว่าข้าวต้มบอนจะเละ


ระหว่างควันคลุ้งขโมงอยู่นั่นเอง ร่างดำๆก็ปรากฏตัวขึ้น

ผมผงะวิ่งตาตั้งสุดแรงเข้าบ้าน ปิดประตูบ้าน ขังตัวอยู่ในบ้าน

ซามูนะห์มา” ..

ผมกลัวนางจะเข้ามาในบ้าน จึงลงกลอนประตูเสียด้วย


พอทุกอย่างเงียบ ผมค่อยๆย่องออกทางประตูหลังบ้าน ใจเต้นตุ่มๆต่อมๆ หวังจะวิ่งไปบ้านอื่น แต่ก็อดอยากรู้ไม่ได้ว่า ซามูนะห์ยังอยู่หน้าบ้านหรือไม่


นางนั่งดำอยู่จริงๆ นั่งอยู่ข้างปิ๊บต้มข้าวหมู

ความกลัวในใจผมเริ่มคลาย เมื่อเห็นนางกำลังใช้ไม้พาย ตักข้าวหมูใส่กะลาดำๆ แวววาว เป็นกะลาที่นางพกติดตัวตลอด นางใส่ไว้ในสอบนั่ง


นางกำลังกินข้าวหมู

ในทันใดนั้นเอง ที่แม่มาจากนา และเห็นซามูนะห์กินข้าวหมู แม่รีบเข้าไปคว้ากะลาซามูนะห์ พูดเสียงดังว่า อย่ากิน ข้าวหมู แล้วแม่ก็หันมาดุใส่ผมต่อ ว่าให้ยายกินข้าวหมูได้ยังไง


ผมวิ่งกลับไปถอดกลอนประตู แม่จับมือนางลากเข้าบ้าน ผมถอยมายืนดูห่างๆ แล้วแม่ก็ตักข้าวตักแกงให้นางกิน

นางกินรวดเดียวจนหมด

แม่บอกว่า อย่าไปอื่นเลย คืนนี้นอนที่บ้าน ผมตกใจมาก และไม่นึกว่าแม่จะชวนนางนอน แต่นางไม่นอน กินอิ่มแล้วไปต่อ แม่ถามว่าไปไหน นางไม่ตอบ ไม่ยิ้ม


ฤดูลมพัดเข้าหมู่บ้านอีกปี บ้านผมกลายเป็นสถานีหนึ่งที่นางจะหยุดแวะพัก แม่ให้ข้าวให้น้ำทุกครั้ง บางทีก็ให้เงินติดตัวไปบ้าง

นางหวงสอบนั่งมาก จะไม่ให้ใครแตะอย่างเด็ดขาด ครั้งหนึ่งแม่ขอดู นางยอมให้แม่เปิดดู และส่งเสียงในลำคอดังกว่าครั้งใดๆ เหมือนนางอยากบอก แต่บอกไม่ได้

ในสอบนั่งมีเสื้อผ้าขาดๆ ของแตกๆหักๆ ชามสังกะสีสีลอก ช้อนสังกะสีสีหลุด ตุ๊กตาคอหัก ทัพพีบิดงอ พวกเชือกป่านรวบเป็นก้อนๆ เส้นด้ายหลากสีเปื้อนดิน ล้วนเป็นสิ่งของแตกหักไม่สมบูรณ์ทั้งนั้น


แม่ถามว่า เอาไปทำอะไร ทิ้งเสียเถอะ

นางส่งเสียงในลำคอดังๆ แล้วรีบเก็บลงสอบนั่ง

แม่ให้เสื้อผ้า นางไม่เอา


ครั้งแล้วครั้งเล่าที่นางแวะที่บ้าน นางผ่านมาเหมือนลม ไปเหมือนลม แม่ถามว่าไปไหนมาบ้าง นางไม่ตอบ นั่งกินข้าวนิ่ง


เหมือนว่าข่าวมาตามทางรถไฟ บอกว่านางถูกรถไฟชนทับ ผมได้ยินแม่บ่นถึงซามูนะห์ด้วยน้ำตาคลอเบ้า แม่บอกว่า เห็นดูหมัน

น่าเอ็นดูเหลือเกิน ซามูนะห์ ...

 

 

บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
พ่อของลูกคือลูกของพ่อ ล้วงหนังสือ “เจ้าชายน้อย” ออกจากกระเป๋าสะพาย เป็นเล่มเดียวที่ติดตัวไปด้วยทุกครั้งที่ลูกชายเดินทางไปด้วย และไม่อาจรู้หรอกว่าจะได้เปิดอ่านในช่วงไหนเวลาไหน ลูกของพ่อคือหลานของปู่กำลังง่วนอยู่กับสมุด ดินสอ สีในกระเป๋าเช่นกัน เขาคงนึกอยากเขียนภาพ
ชนกลุ่มน้อย
เดินทางแบบกระเด็นกระดอนอยู่ในกระป๋องหนาหนักติดล้อ  และความยาวนานของระยะทาง  กว่า 5 ชั่วโมงไปให้ถึงใจกลางภูเขา  แต่ยิ่งคิดว่าเมื่อไหร่จะถึงใจกลางภูเขาตามมาตรวัดของแผนที่แผ่กางออกกว้าง  ยิ่งกลับเป็นเรื่องยากไปถึงใจกลางภูเขาที่อยู่ในใจ  ภูเขาเป็นทะมึนก่อกำแพงรายล้อม  
ชนกลุ่มน้อย
    เป็นเวลา 10 กว่าปี ที่ผมไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับพ่อใต้ชายคาเดียวกันนานๆ แต่คราวนี้ พ่ออยู่กับผมนานถึง 90 วัน พ่อในวัย 74 เพิ่งผ่านการบำบัดรักษาหัวใจอย่างชนิดลุ้นเส้นยาแดงผ่าแปดกันมา และต้องควบคุมตัวเองเรื่องการดื่ม กิน เคลื่อนไหว และเคร่งครัดกับขนาดจำนวนยารักษาอย่างชนิดห้ามขาดเกินเวลา
ชนกลุ่มน้อย
ไหนๆ ก็กอดกันแล้ว กอดต่ออีกครั้งเป็นไรไป ภูเขาลูกนั้นมีเถียงไร่ตั้งอยู่โดดเด่นและโดดเดี่ยว สองพ่อลูกชวนกันไปยังเถียงไร่ ที่นั่นคงสบายตา ดูลับหูลับตาคน ไม่มีใครไป พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว กลับพบกับไม้สามต้น ดูราวเป็นพี่น้องกัน ทรงพุ่มงามเหลือเกิน เหมือนก้อนเมฆย้อมสีเขียวเกิดเปลี่ยนใจอยากมาปักเป็นต้นไม้อยู่บนผืนดิน มองแล้วมองอีก ยังไม่อิ่ม “กอดดีกว่าพ่อ” เสียงนั้นบอก “พ่อกอดด้วย” นานอย่างนาน ผลัดกันกอดไม้สามต้นนั้น
ชนกลุ่มน้อย
 ขอทะลึ่งๆ เว่อร์ๆ อีกสักครั้งเถอะครับ ผมรู้สึกอย่างนี้จริงๆ ทันทีที่นึกอยากเขียน และโชว์รูปที่น่าจะอยู่ในอัลบั้มรูปส่วนตัว ว่างๆก็เอามาแบวางออกดูและรำลึกถึง มากกว่านำออกมาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าสายตาสาธารณะ ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า เบื่อๆ เซาๆ ซึมๆ ว่างมาก มาทำเรื่องดูดีกันมั้ยลูก   มา ม๊า มาทำซึ้งกันสักครั้งดีกว่ามั้ย"เอ้า เอาเลย กอดกันเลยลูก" พูดแค่นั้นเจ้าชายน้อยโผประจำการทันที ผมไล่ตามเก็บรูป"พ่อกอดมั้ย" เขาถามกลับมา"กอดสิ ต้องกอดแน่ๆ ว่างแล้วยัง" หมายถึงไม้ต้นนั้น หมายตาไว้เหมือนกัน และถูกรักหลงในเวลาอันรวดเร็ว"ถ่ายรูปมั้ย" เขายึดกล้องไปกดรูปวันนั้น…
ชนกลุ่มน้อย
ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี ที่ผมตระเวนท่องไปตามป่าเขาในภาคเหนือ ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเผชิญหน้าจริงๆ กับพายุลมแรงที่หอบน้ำแข็งมาด้วย จนติดตรึงอยู่ในพายุน้ำแข็ง ไม่เห็นทางข้างหน้าและไม่เห็นทางข้างหลัง ขยับไปไหนไม่ได้ ราวกับทุกอย่างตกอยู่เหนือการควบคุม นอกจากยอมรับสภาพแล้วจำนนกับความเป็นไป
ชนกลุ่มน้อย
วันที่ 8 มีนาคม 2552 ผมนั่งเคียงข้างพ้อเลป่า ก่อนเดินทางกลับ ผมบอกว่า อีกสองสามอาทิตย์จะเข้ามาเยี่ยมอีกครั้ง เวลาผ่านไปสามอาทิตย์กว่า ตรงกับวันที่ 2 เมษายน 2552 พ้อเลป่าก็จากไปจริงๆ ผมไปถึงบ้านแม่แฮคี้ตอนบ่ายแก่ๆวันต่อมา บ้านไม้ริมถนนมีคนจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่บนบ้าน ไล่เรียงอออกมานอกประตูบ้าน ผู้เฒ่ากวีแห่งแม่แฮใต้จากไปจริงๆ รูปวางถ่ายไว้บนโลงไม้ รูปสูบไปป์ที่คุ้นเคย พร้อมดอกไม้สัญลักษณ์ของความอาลัย
ชนกลุ่มน้อย
 เมื่อฉันเริ่มจำความได้ ฉันเที่ยวเล่นกับพวกเพื่อนๆ ฉันรู้ว่า แม่เป็นคนทอเสื้อให้ฉันใส่ ฉันดีใจมาก ฉันสวมเสื้อตัวนั้นแล้วเดินนำหน้าคนอื่นๆ เวลานั้นฉันรู้สึกว่า ใบหน้าของตัวเองเต็มอิ่มไปด้วยความร่าเริงยินดี
ชนกลุ่มน้อย
ชนกลุ่มน้อย
 ไม่มองซ้ายขวาหน้าหลัง  เดินเข้าไปหาแล้วโอบกอด   "ได้กลิ่นมั้ย" ผมถาม"เหมือนน้ำมัน" เขาตอบ"ใช่  ในตัวเขามีน้ำมัน" .. บทสนทนาระหว่างโอบกอด  เป็นเช่นนี้จริงๆ