Skip to main content
คุณเดินไปตามทางดินแคบๆ ลัดเลาะสวนรกเรื้อที่ปล่อยให้ไม้ทุกชนิดขึ้นมาได้ คุณมองหาต้นมะปริงที่เด็กชายตัวน้อยๆ แอบย่องขึ้นไปเด็ดลูกสุกกิน กว่าจะได้กินก็ต้องสู้กับฝูงมดแดงยกโขยง มันไม่อยู่แล้ว มองหามะไฟต้นใหญ่ขนาดรอบโอบผู้ใหญ่ คุณเคยปีนขึ้นไปซ่อนตัวเงียบอยู่บนยอดราวกับลูกลิงขโมย มันไม่อยู่แล้ว

 


25_7_02

แล้วไปเกาะรั้วลวดหนาม ยืนมองทุ่งนากว้าง ซึ่งบัดนี้กลายสภาพเป็นที่เลี้ยงวัว ไม่มีร่องรอยเส้นซังข้าวแม้แต่เส้นเดียว นาข้าวร้างต้นข้าวมากว่าสิบปี แล้วคุณก็กวาดตามองครอบครัวยางนา มันอยู่เป็นครอบครัวจริงๆ ห้าหกต้น ต้นใหญ่สุดนั้นผู้ใหญ่สามคนโอบแทบไม่รอบทีเดียว ก็ไม่มียางนาเหลือแม้แต่ต้นเดียว


อันที่จริง คุณตั้งใจจะไปมองดูต้นตาลหรือต้นโหนดคู่นั้น เผื่อมันยังอยู่ คุณอยากเข้าไปโอบสักครั้ง โอบกอดให้หายคิดถึง แต่ไม่เหลืออีกแล้วเช่นกัน


หลานปู่รุ่นตวาดเสือ ก็ได้แต่ยืนเป่าลมเล่น ลมเดือนมีนาคมพัดผ่านทุ่งโล่งแรงมาก ใบมะพร้าวในสวนปู่สะบัดรัวราวกับคนทั้งหมู่บ้านออกมาสะบัดผืนผ้าพร้อมๆกัน หลานปู่ผมยาวปลิวเล่นลม มองจากไกลๆแทบแยกไม่ออกว่าหลานปู่เป็นผู้หญิงหรือชาย


ปู่เป็นคนรุ่นสุดท้ายของหมู่บ้าน ที่ลิ้มรสการเดินไปทุกหนแห่ง ไม่มีถนน ไม่มีรถ กลางคืนใช้ไต้น้ำมันยาง ตะเกียงน้ำมันก๊าด ชาวบ้านต่างรู้ฤทธิ์เดชของปู่ ว่าถ้าเดินตามหลังปู่แล้วขอให้อุ่นใจเถอะ เสือไม่กล้าเข้าใกล้ ปู่ตวาดเสือจนขี้แตกเยี่ยวพ่านมาหลายตัวแล้ว กลายเป็นเสือหัวหกก้นขวิดวิ่งหนีไปดื้อๆ


คุณได้รับเงาเหรียญสายเลือดผู้กล้าตามน้ำไปด้วย ประมาณว่าเป็นหลานของปู่รุ่นตวาดเสือเชียวหนา แม้จะพ่วงท้ายนับญาติอยู่ห่างๆ ก็ได้รับอานิสงฆ์บารมีปู่อยู่ไม่น้อย แต่คุณก็ไม่รู้สึกว่าต้องยืดตัวให้สูงขึ้น หรือยึดมาต่อความยาวสู่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง


มันแค่อดีตความทรงจำที่อยู่ไกลๆ และเลยผ่านไปแล้ว


ปู่จากไปตอนคุณยังเรียนต่อปริญญาโทของมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ภาพคุณกลับไปร่วมไว้อาลัยราวกับเจ้าชายน้อยไปร่วมงาน เป็นหลานปู่อายุน้อยยี่สิบกว่าๆ แต่กำลังต่อดีกรีการศึกษาที่ไม่เคยมีหลานปู่คนใดในหมู่บ้านทำได้


เปล่า คุณกลับไม่ได้รู้สึกชูคอให้สูงขึ้นตามปากคำยกยอจากญาติพี่น้อง


คุณรู้แต่ว่า ภาพขาวดำชัดเจนที่สุด มีปู่เคลื่อนไหวไปมาอยู่แจ่มชัดที่สุด ปู่ชอบปลูกต้นไม้ ปู่เลี้ยงวัวเป็นฝูง ปู่ปลูกกล้วยหอมที่ออกเครือใหญ่ลูกใหญ่มาก ปู่บ่มใส่โอ่งเอาไว้ คุณได้รับโอกาสเปิดฝาโอ่งก่อนใครทุกครั้ง


กลิ่นกล้วยหอมโชยเข้าจมูก คุณเลือกลูกสุกงอมมากินอย่างอร่อย


ไม่เพียงแค่นั้น ปู่ชอบขึ้นต้นโหนดคาบเอาน้ำตาลโหนดมากิน นั่นแหละของหอมหวานอันล้ำเลิศ คุณเดินตามหลังปู่ไปพร้อมกับพวงกระบอกไม้ไผ่ ดังโกร่งๆแกร่งๆ นั่งคอยอยู่ใต้ต้นโหนดนานมาก ดูปู่ขึ้นไปนั่งอยู่บนเรือนยอดอย่างสบายเฉิบ


พอปู่ลงมาถึงพื้นดิน ปู่ต้องยื่นกระบอกที่หวานที่สุดให้คุณดื่ม

กลิ่นน้ำตาลโหนดสดๆจากกระบอกไม้ไผ่ มันเป็นกลิ่นหอมไม่เหมือนอื่นใด คุณยกซดครั้งแล้วครั้งเล่า


ถ้าคุณไม่ได้ไปนั่งคอย ปู่ก็เอาน้ำตาลโหนดทั้งหมดเคี่ยวเป็นน้ำตาลเก็บไว้ แต่จะเหลือไว้ส่วนหนึ่ง ที่เอาน้ำตาลสดต้มตั้งไฟไว้พอเดือด ไว้ราดกินกับข้าว พอคุณขึ้นบนบ้าน ปู่ต้องใช้ไปกินข้าว มีน้ำตาลสดอุ่นๆอยู่ในหม้อแล้ว


ราดน้ำตาลสดอุ่นๆสีเหมือนน้ำซาวข้าว จนท่วมเม็ดข้าวในจาน

25_7_01


พอถึงฤดูส้มโอ ส้มแป้น ส้มเขียวหวาน ส้มจุกสุกคาต้น โอชะเปรี้ยวๆมีให้เด็กชะเง้อใต้โคนต้นได้ทั้งวัน ความหวานเปรี้ยวจากน้ำมือปู่อีกแล้ว


วันดีคืนดี ปู่ก็เอาลูกต่อผัดน้ำมันมาวางลง รวงรังผึ้งลูกอ่อนก็วางตรงหน้า หลานปู่ได้รับสิทธิให้หยิบใส่ปากได้เต็มกระพุ้งแก้ม ปากเปื้อนน้ำผึ้ง ไหลเยิ้มง่ามนิ้วมือ


หน้าเกี่ยวข้าวมาถึง ปู่ก็ตัดต้นไผ่นอนเกยอยู่แล้ว กอไผ่ของปู่มีหลายพันธุ์ ปล้องใหญ่ๆเนื้อกลาง ไม่อ่อนแก่เกินไปนั่นแหละ เอามาทำว่าว ปู่ต้องล้มต้นไผ่ไว้ทุกครั้งที่ลมว่าวมาถึง เด็กเล็กชวนเด็กใหญ่ที่ช่ำชองเรื่องการใช้มีด เอาออกมาจากพงรกจนได้


ถึงวันนี้ ถ้าปู่ยังมีชีวิตอยู่ คุณไม่แน่ใจว่าปู่จะสมหวังในตัวหลานชายหรือไม่ แต่ปู่ไม่เคยชวนพูดคุยถึงโลกในห้องเรียน โลกในตัวหนังสือ ปู่มีแต่ชีวิตจริงกลางแจ้งของปู่ นำออกมาแสดงให้หลานเห็น ใช้ชีวิตให้เห็นอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย


เพียงแต่ยามนี้ ต้นไม้ของปู่ บรรยากาศรอบตัวปู่ แทบไม่เหลือร่องรอยใดเหลือไว้รำลึกถึง ดูเหมือนทุกอย่างจะล้มหายตายจากไปกับปู่ สวนปู่เหลือเค้าลางให้เห็นบ้างก็แค่กอไผ่เท่านั้น มันดูโทรมแก่เฉาเต็มที คุณมุดพงรกเข้าไป เข้าไปยืนมองใกล้ๆ ฟังเสียงไผ่เบียดเสียดกัน ฟังดูราวกับปู่หลบหน้าหลานไปส่งเสียงอยู่ในปล้องไผ่


บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
พ่อของลูกคือลูกของพ่อ ล้วงหนังสือ “เจ้าชายน้อย” ออกจากกระเป๋าสะพาย เป็นเล่มเดียวที่ติดตัวไปด้วยทุกครั้งที่ลูกชายเดินทางไปด้วย และไม่อาจรู้หรอกว่าจะได้เปิดอ่านในช่วงไหนเวลาไหน ลูกของพ่อคือหลานของปู่กำลังง่วนอยู่กับสมุด ดินสอ สีในกระเป๋าเช่นกัน เขาคงนึกอยากเขียนภาพ
ชนกลุ่มน้อย
เดินทางแบบกระเด็นกระดอนอยู่ในกระป๋องหนาหนักติดล้อ  และความยาวนานของระยะทาง  กว่า 5 ชั่วโมงไปให้ถึงใจกลางภูเขา  แต่ยิ่งคิดว่าเมื่อไหร่จะถึงใจกลางภูเขาตามมาตรวัดของแผนที่แผ่กางออกกว้าง  ยิ่งกลับเป็นเรื่องยากไปถึงใจกลางภูเขาที่อยู่ในใจ  ภูเขาเป็นทะมึนก่อกำแพงรายล้อม  
ชนกลุ่มน้อย
    เป็นเวลา 10 กว่าปี ที่ผมไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับพ่อใต้ชายคาเดียวกันนานๆ แต่คราวนี้ พ่ออยู่กับผมนานถึง 90 วัน พ่อในวัย 74 เพิ่งผ่านการบำบัดรักษาหัวใจอย่างชนิดลุ้นเส้นยาแดงผ่าแปดกันมา และต้องควบคุมตัวเองเรื่องการดื่ม กิน เคลื่อนไหว และเคร่งครัดกับขนาดจำนวนยารักษาอย่างชนิดห้ามขาดเกินเวลา
ชนกลุ่มน้อย
ไหนๆ ก็กอดกันแล้ว กอดต่ออีกครั้งเป็นไรไป ภูเขาลูกนั้นมีเถียงไร่ตั้งอยู่โดดเด่นและโดดเดี่ยว สองพ่อลูกชวนกันไปยังเถียงไร่ ที่นั่นคงสบายตา ดูลับหูลับตาคน ไม่มีใครไป พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว กลับพบกับไม้สามต้น ดูราวเป็นพี่น้องกัน ทรงพุ่มงามเหลือเกิน เหมือนก้อนเมฆย้อมสีเขียวเกิดเปลี่ยนใจอยากมาปักเป็นต้นไม้อยู่บนผืนดิน มองแล้วมองอีก ยังไม่อิ่ม “กอดดีกว่าพ่อ” เสียงนั้นบอก “พ่อกอดด้วย” นานอย่างนาน ผลัดกันกอดไม้สามต้นนั้น
ชนกลุ่มน้อย
 ขอทะลึ่งๆ เว่อร์ๆ อีกสักครั้งเถอะครับ ผมรู้สึกอย่างนี้จริงๆ ทันทีที่นึกอยากเขียน และโชว์รูปที่น่าจะอยู่ในอัลบั้มรูปส่วนตัว ว่างๆก็เอามาแบวางออกดูและรำลึกถึง มากกว่านำออกมาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าสายตาสาธารณะ ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า เบื่อๆ เซาๆ ซึมๆ ว่างมาก มาทำเรื่องดูดีกันมั้ยลูก   มา ม๊า มาทำซึ้งกันสักครั้งดีกว่ามั้ย"เอ้า เอาเลย กอดกันเลยลูก" พูดแค่นั้นเจ้าชายน้อยโผประจำการทันที ผมไล่ตามเก็บรูป"พ่อกอดมั้ย" เขาถามกลับมา"กอดสิ ต้องกอดแน่ๆ ว่างแล้วยัง" หมายถึงไม้ต้นนั้น หมายตาไว้เหมือนกัน และถูกรักหลงในเวลาอันรวดเร็ว"ถ่ายรูปมั้ย" เขายึดกล้องไปกดรูปวันนั้น…
ชนกลุ่มน้อย
ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี ที่ผมตระเวนท่องไปตามป่าเขาในภาคเหนือ ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเผชิญหน้าจริงๆ กับพายุลมแรงที่หอบน้ำแข็งมาด้วย จนติดตรึงอยู่ในพายุน้ำแข็ง ไม่เห็นทางข้างหน้าและไม่เห็นทางข้างหลัง ขยับไปไหนไม่ได้ ราวกับทุกอย่างตกอยู่เหนือการควบคุม นอกจากยอมรับสภาพแล้วจำนนกับความเป็นไป
ชนกลุ่มน้อย
วันที่ 8 มีนาคม 2552 ผมนั่งเคียงข้างพ้อเลป่า ก่อนเดินทางกลับ ผมบอกว่า อีกสองสามอาทิตย์จะเข้ามาเยี่ยมอีกครั้ง เวลาผ่านไปสามอาทิตย์กว่า ตรงกับวันที่ 2 เมษายน 2552 พ้อเลป่าก็จากไปจริงๆ ผมไปถึงบ้านแม่แฮคี้ตอนบ่ายแก่ๆวันต่อมา บ้านไม้ริมถนนมีคนจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่บนบ้าน ไล่เรียงอออกมานอกประตูบ้าน ผู้เฒ่ากวีแห่งแม่แฮใต้จากไปจริงๆ รูปวางถ่ายไว้บนโลงไม้ รูปสูบไปป์ที่คุ้นเคย พร้อมดอกไม้สัญลักษณ์ของความอาลัย
ชนกลุ่มน้อย
 เมื่อฉันเริ่มจำความได้ ฉันเที่ยวเล่นกับพวกเพื่อนๆ ฉันรู้ว่า แม่เป็นคนทอเสื้อให้ฉันใส่ ฉันดีใจมาก ฉันสวมเสื้อตัวนั้นแล้วเดินนำหน้าคนอื่นๆ เวลานั้นฉันรู้สึกว่า ใบหน้าของตัวเองเต็มอิ่มไปด้วยความร่าเริงยินดี
ชนกลุ่มน้อย
ชนกลุ่มน้อย
 ไม่มองซ้ายขวาหน้าหลัง  เดินเข้าไปหาแล้วโอบกอด   "ได้กลิ่นมั้ย" ผมถาม"เหมือนน้ำมัน" เขาตอบ"ใช่  ในตัวเขามีน้ำมัน" .. บทสนทนาระหว่างโอบกอด  เป็นเช่นนี้จริงๆ