Skip to main content
15_9_01


ไม่มีเหตุผลที่ผมจะมุ่งไปยังเถียงนาหลังนั้น เพียงแต่อยากเดินเข้าไปใน
โพรงจมูกของเทือกอินทนนท์สักครั้งหนึ่ง


วันที่แดดแรงปลายฤดูร้อน นาข้าวขั้นบันไดสุดหูสุดตาเหลือแต่ตอ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ร่องรอยเก็บเกี่ยว โล่งลิบ ใบข้าวกองเกลื่อน ร่องรอยตีข้าวมีฟางข้าว ตอซังข้าวเป็นตุ่มตาเรียงรายบนพื้นผิวไหล่เขา ผมยืนอยู่บนไหล่เขาแล้วมองออกไปทางราบลุ่ม ภาพที่เห็นอย่างกับการปรากฏตัวของชิ้นส่วนวัตถุประหลาดผุดขึ้นมาจากพื้นดิน


ผมนึกไม่ออกว่า เถียงนาลุงเหน่วอเป็นอย่างไร คนนำทางก็ไม่ได้บอกว่า เถียงนาหลังนั้นซุกซ่อนเรื่องราวใดไว้บ้าง หรือมีส่วนปลีกย่อยอื่นใด ทำให้เกิดความหมายน่าสนใจขึ้นมากกว่าเถียงนาหลังอื่นๆ ในบริเวณนั้น


15_9_03


เรื่องของเรื่องน่าจะอยู่ที่หุบลมแรง ผมอยากจะเข้าไปยืนอยู่ ณ ใจกลางของหุบลม ที่ว่ากันว่ามีลมพัดแรงทุกๆห้านาที เราจะสัมผัสได้ถึงเกลียวลมหมุนราวกับใบพัดมหึมาพัดผ่านมาทางนี้ พัดทั้งวันทั้งคืน พัดจนคนปลูกข้าวห่วงต้นข้าวจะไม่ตั้งท้อง และพัดจนเจ้าของเถียงนาต้องซ่อมหลังคาบ่อยๆ


ปากต่อปากบอกต่อกันว่า หลังคาเถียงนาใครปลิวไปอีกแล้ว เป็นเรื่องเกิดขึ้นปกติธรรมดา จนกลายเป็นสิ่งคุ้นเคย


อีกไม่นานเถียงนาจะถูกซ่อมแซม สร้างใหม่ขึ้นมาเหมือนเดิมจนได้ นั่น น่าจะเรียกว่าเป็นหนทางอยู่ร่วมกับลม กลมกลืนกับภูมิประเทศแบบรู้ไปด้วย เข้าใจไปด้วย จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน


สังคมอยู่ร่วมกับลม แม้จะมากด้วยอุปสรรคและยากลำบาก แต่ใช่ว่าจะเลี่ยงหลีกหลบออกไปพ้นได้ เพราะยังต้องอยู่กับที่ทำกินแห่งนั้น


วันแดดแรง เห็นเทือกเขาอินทนนท์สูงตระหง่านเป็นปราการขอบฟ้าอย่างชัดเจน และดูเหมือนจะขยับมาอยู่ใกล้แค่เอื้อม มีเพียงส่วนยอดเท่านั้นที่กลุ่มก้อนเมฆยังครอบครองเอาไว้อย่างเหนียวแน่น


หุบลมแรง เป็นเสียงลมหายใจของเทือกอินทนนท์ก็ว่าได้ คนนำทางบอกว่าลมหมุนวนในหุบหลังภูเขาใหญ่ พัดมาลงจังหวะสัดส่วนพอดิบพอดีตรงหุบลมแรง ชาวบ้านต่างรู้ว่าเป็นเกรียวลมหมุนวน เป็นลมหายใจเข้าออกของอินทนนท์ พัดพายมาถึงหุบลมแรง


หรือจะเรียกว่าหุบลมแรง เป็นรูโพรงจมูกของยอดอินทนนท์ก็ได้


15_9_02  15_9_05


ทางดินแคบๆที่ไต่ความสูงคดเคี้ยวไปตามไหล่เขา ผ่านนูนเนินรากไม้ ขอนไม้ล้มทับทาง ผ่านป่าสนสามใบสองใบขนาดโอบรอบก็มี หรือป่าสนหนุ่มก็มี ลมหมุนพัดโชกมาครั้งหนึ่ง เสียงหวีดใบสนก็ดังเหมือนเสียงน้ำตก หวีดเสียงไปทั่วอาณาบริเวณ


มองผ่านไปยังเนินเขาอีกลูกหนึ่ง ราวกับเนินเขาป่าแคระ ไม่เพียงแต่รูปทรงต้นไม้ที่ไหวเอนไปทางเดียวเท่านั้น แต่ป่าทั้งป่ายังดูแก่แคระแกร็น แข็งแรงเป็นมะขามข้อเดียว อย่างกับป่าของคนแคระ พิจารณาดูกิ่งก้าน ก็หงิกงอเต็มไปด้วยข้อต่อ ยื่นออกไปราวกับนิ้วมือพิกลพิการ


ไม้ทุกต้นในบริเวณนั้นเป็นเหมือนกันหมด

ลมหมุนพัดแรงทั้งปี พัดจนต้นไม้หันหน้าไปทางเดียวกัน” คนนำทางบอก หรือจะเรียกว่าเป็นเส้นขนในโพรงจมูกอินทนนท์ก็ได้ ช่างเป็นเนินเขาที่น่าทึ่งอย่างยิ่ง


เถียงนาลุงเหน่วออยู่ลึกเข้าไปในก้นหุบรูปกรวย หลังคามุงใบตองตึงมีรูโหว่ใหญ่เปิดโล่ง เป็นเถียงนาที่ปูพื้นไม้ไผ่ ดูไม่ต่างไปจากเพิงดีๆนี่เอง หลังเถียงนาเป็นป่าทึบ เห็นยอดสนแซมปนอยู่ด้วย

15_9_04


ลมวนรอบหมุนผ่านมาอีกแล้ว เสียงใบสนหวีดหวิวผ่านอากาศกังวานไปทั่วอาณาบริเวณ คนนำทางบอกว่าบริเวณนี้รับแรงปะทะจากลมหมุนเต็มๆ เป็นเช่นนั้นจริงๆ ได้ยินแต่เสียงลมพัดผ่านป่า พัดแรงไล่มาเป็นระลอกๆ


ลุงเหน่วออยู่ในเถียงนาตามลำพัง คนนำทางบอกว่า ลุงเหน่วอเพิ่งกลับมายังทางเส้นนี้เมื่อไม่นาน มานั่งเถียงนาได้นานๆ ก็ไม่นาน ลุงหายไปจากเถียงนานานหลายเดือน ราวกับคาดหวังว่าลมหมุนพัดแรงจะผ่านไปชั่วนิรันดร์


บางอย่างจุกแน่นอยู่ในลำคอผม เมื่อรู้ความจริงว่า ลุงเหน่วอเพิ่งสูญเสียลูกชายวัยหนุ่มไปในป่าหลังเถียงนาเมื่อห้าเดือนก่อนนี้เอง


ปืน” ลุงเหน่วอพูดแล้วหลบหน้าหลบตา

ลูกชายลุงเหน่วอหายไปจากบ้าน ไม่มีใครรู้ว่าเขาหายไปทิศทางไหน หรือหลบไปพักค้างคืนที่ไหน ลุงเหน่วอไปพบศพลูกชายในป่าหลังเถียงนา เสียงร้องไห้ในเสียงสนเริ่มต้นตั้งแต่วันนั้น หมุนวนอยู่ในลมหายใจเข้าออกของคนเป็นพ่อ


บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
พ่อของลูกคือลูกของพ่อ ล้วงหนังสือ “เจ้าชายน้อย” ออกจากกระเป๋าสะพาย เป็นเล่มเดียวที่ติดตัวไปด้วยทุกครั้งที่ลูกชายเดินทางไปด้วย และไม่อาจรู้หรอกว่าจะได้เปิดอ่านในช่วงไหนเวลาไหน ลูกของพ่อคือหลานของปู่กำลังง่วนอยู่กับสมุด ดินสอ สีในกระเป๋าเช่นกัน เขาคงนึกอยากเขียนภาพ
ชนกลุ่มน้อย
เดินทางแบบกระเด็นกระดอนอยู่ในกระป๋องหนาหนักติดล้อ  และความยาวนานของระยะทาง  กว่า 5 ชั่วโมงไปให้ถึงใจกลางภูเขา  แต่ยิ่งคิดว่าเมื่อไหร่จะถึงใจกลางภูเขาตามมาตรวัดของแผนที่แผ่กางออกกว้าง  ยิ่งกลับเป็นเรื่องยากไปถึงใจกลางภูเขาที่อยู่ในใจ  ภูเขาเป็นทะมึนก่อกำแพงรายล้อม  
ชนกลุ่มน้อย
    เป็นเวลา 10 กว่าปี ที่ผมไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับพ่อใต้ชายคาเดียวกันนานๆ แต่คราวนี้ พ่ออยู่กับผมนานถึง 90 วัน พ่อในวัย 74 เพิ่งผ่านการบำบัดรักษาหัวใจอย่างชนิดลุ้นเส้นยาแดงผ่าแปดกันมา และต้องควบคุมตัวเองเรื่องการดื่ม กิน เคลื่อนไหว และเคร่งครัดกับขนาดจำนวนยารักษาอย่างชนิดห้ามขาดเกินเวลา
ชนกลุ่มน้อย
ไหนๆ ก็กอดกันแล้ว กอดต่ออีกครั้งเป็นไรไป ภูเขาลูกนั้นมีเถียงไร่ตั้งอยู่โดดเด่นและโดดเดี่ยว สองพ่อลูกชวนกันไปยังเถียงไร่ ที่นั่นคงสบายตา ดูลับหูลับตาคน ไม่มีใครไป พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว กลับพบกับไม้สามต้น ดูราวเป็นพี่น้องกัน ทรงพุ่มงามเหลือเกิน เหมือนก้อนเมฆย้อมสีเขียวเกิดเปลี่ยนใจอยากมาปักเป็นต้นไม้อยู่บนผืนดิน มองแล้วมองอีก ยังไม่อิ่ม “กอดดีกว่าพ่อ” เสียงนั้นบอก “พ่อกอดด้วย” นานอย่างนาน ผลัดกันกอดไม้สามต้นนั้น
ชนกลุ่มน้อย
 ขอทะลึ่งๆ เว่อร์ๆ อีกสักครั้งเถอะครับ ผมรู้สึกอย่างนี้จริงๆ ทันทีที่นึกอยากเขียน และโชว์รูปที่น่าจะอยู่ในอัลบั้มรูปส่วนตัว ว่างๆก็เอามาแบวางออกดูและรำลึกถึง มากกว่านำออกมาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าสายตาสาธารณะ ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า เบื่อๆ เซาๆ ซึมๆ ว่างมาก มาทำเรื่องดูดีกันมั้ยลูก   มา ม๊า มาทำซึ้งกันสักครั้งดีกว่ามั้ย"เอ้า เอาเลย กอดกันเลยลูก" พูดแค่นั้นเจ้าชายน้อยโผประจำการทันที ผมไล่ตามเก็บรูป"พ่อกอดมั้ย" เขาถามกลับมา"กอดสิ ต้องกอดแน่ๆ ว่างแล้วยัง" หมายถึงไม้ต้นนั้น หมายตาไว้เหมือนกัน และถูกรักหลงในเวลาอันรวดเร็ว"ถ่ายรูปมั้ย" เขายึดกล้องไปกดรูปวันนั้น…
ชนกลุ่มน้อย
ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี ที่ผมตระเวนท่องไปตามป่าเขาในภาคเหนือ ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเผชิญหน้าจริงๆ กับพายุลมแรงที่หอบน้ำแข็งมาด้วย จนติดตรึงอยู่ในพายุน้ำแข็ง ไม่เห็นทางข้างหน้าและไม่เห็นทางข้างหลัง ขยับไปไหนไม่ได้ ราวกับทุกอย่างตกอยู่เหนือการควบคุม นอกจากยอมรับสภาพแล้วจำนนกับความเป็นไป
ชนกลุ่มน้อย
วันที่ 8 มีนาคม 2552 ผมนั่งเคียงข้างพ้อเลป่า ก่อนเดินทางกลับ ผมบอกว่า อีกสองสามอาทิตย์จะเข้ามาเยี่ยมอีกครั้ง เวลาผ่านไปสามอาทิตย์กว่า ตรงกับวันที่ 2 เมษายน 2552 พ้อเลป่าก็จากไปจริงๆ ผมไปถึงบ้านแม่แฮคี้ตอนบ่ายแก่ๆวันต่อมา บ้านไม้ริมถนนมีคนจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่บนบ้าน ไล่เรียงอออกมานอกประตูบ้าน ผู้เฒ่ากวีแห่งแม่แฮใต้จากไปจริงๆ รูปวางถ่ายไว้บนโลงไม้ รูปสูบไปป์ที่คุ้นเคย พร้อมดอกไม้สัญลักษณ์ของความอาลัย
ชนกลุ่มน้อย
 เมื่อฉันเริ่มจำความได้ ฉันเที่ยวเล่นกับพวกเพื่อนๆ ฉันรู้ว่า แม่เป็นคนทอเสื้อให้ฉันใส่ ฉันดีใจมาก ฉันสวมเสื้อตัวนั้นแล้วเดินนำหน้าคนอื่นๆ เวลานั้นฉันรู้สึกว่า ใบหน้าของตัวเองเต็มอิ่มไปด้วยความร่าเริงยินดี
ชนกลุ่มน้อย
ชนกลุ่มน้อย
 ไม่มองซ้ายขวาหน้าหลัง  เดินเข้าไปหาแล้วโอบกอด   "ได้กลิ่นมั้ย" ผมถาม"เหมือนน้ำมัน" เขาตอบ"ใช่  ในตัวเขามีน้ำมัน" .. บทสนทนาระหว่างโอบกอด  เป็นเช่นนี้จริงๆ