Skip to main content


31
สิงหาคม 2540


13.30
. ไกลลิบ ถนนโค้งพุ่งผิดรูปหายไปในพงหญ้าสูงท่วมศีรษะ คนหนึ่งเหมือนหลักกิโลเมตรเคลือบสีดำ เห็นมาแต่ไกล เพียงแต่เสาหินเคลื่อนที่ได้ ช้าเหมือนมด พอรถวิ่งไปใกล้ จึงเห็นผืนผ้าขาวเขียนตัวหนังสือด้วยหมึกดำ เคียงคู่ไปกับเสาหิน เหมือนไม่รู้สุขรู้เศร้า


เสาหินสวมหมวกเก่าๆ รองเท้ายางหุ้มส้น ในใจผมคิดว่า แกคงเดินเรียกร้องบางสิ่งบางอย่าง

พอรถแล่นผ่านตัวแก โค้งถนนเป็นเส้นตรงอีกครั้ง ความจริงก็ปรากฏ

ขบวนแห่ศพ!!..

รถผมเชื่องช้าเป็นไส้เดือน เหมือนว่าล้อรถหุ้มด้วยหนังงูเหลือม ลมตีเข้ามาทางหน้าต่าง ไม่ใช่ลมดอกไม้สด แต่เป็นลมมีกลิ่นธูป


ผมมองจ้องตัวหนังสือสีดำ ชื่อ สกุล และวันมรณะ

มีคนหายไปจากโลกหนึ่งคนแล้ว


ขบวนนุ่งดำยาวเหยียดเหมือนมดอพยพ เลาะขนานมากับแนวพงหญ้า มุ่งตรงไปยังที่เปลี่ยว แล้วปี่พาทย์จากลำโพงก็ดังขึ้น แล้วสีดำกับสีขาวก็พาดผ่านไปทั้งขบวน เชือกเส้นใหญ่อยู่ในมือชักลากรถบรรจุหีบใส่ร่างไม่มีชีวิต


สิ่งมีชีวิตบนโลก ไม่ต่างจากนักโทษที่ยืนเผชิญหน้ากับเสาหลักประหาร รอเวลาคำสั่งลากตัวไป แต่น่าแปลกที่เรายังทะเลาะ ห้ำหั่น โกรธแค้น ฆ่าฟันกันได้อย่างกับลืมนาทีบนเสาหลักประหาร


เห็นรูปถ่ายผู้จากไป นึกถึงบางคำ...

โลกวันนี้ คนเฒ่าเผาร่างคนหนุ่มสาว...”


โอ มนุษย์ทุกคนต่างเดินทางไปสู่บรรยากาศอัศดง เย็น และมืดสนิทนาน

จากมือแม่ ถึงเชิงตะกอน หรือหลุมฝังศพ

คล้ายจะนอนฟังเสียงทิพย์จากรากหญ้าไชชอน เสียงน้ำค้างยามดึกตกใส่ผืนดิน

และเสียงลามเลียของเปลวไฟครั้งสุดท้าย



14.10
. ฝนตกปรอยๆอีกแล้ว และมีท่าว่าจะตกหนัก พอข้ามน้ำปิง ผมนึกถึงทางลัด นานนับปีที่ไม่ได้ผ่านมา ลองไปดูสักหน่อย ถนนขรุขระเล็กเหมือนเส้นเชือก เหมือนเดิมทุกอย่าง

ผ่านทุ่งนาสีเขียวกว้างขยายออกไป หมู่บ้านเงียบเชียบ ราวกับหมู่บ้านร้าง


14.20
. ข่าวจากวิทยุ บอกความคืบหน้าเจ้าหญิงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เจ้าหญิงไดอานาชนเสาในอุโมงค์ ทำไมข่าวถึงประหลาดเช่นนี้ เป็นอื่นไปได้มั้ย


ข่าวการจากไปของเจ้าหญิง เป็นช่วงเวลาฝนตกหนักที่หมู่บ้านร้างริมฝั่งน้ำปิง

ฝนยิ่งตกหนัก เหมือนห่าเม็ดฝนไข่ไก่

คลื่นเสียงวิทยุยามนี้ บอกเรื่องเศร้าให้ชาวโลก เจ้าหญิงจากไปตลอดกาล เพลงของมาร์ค นอฟเลอร์ เคล้ามากับสายฝน เพลงนั้นได้ยินเสียงปี่สก็อต ในท่วงทำนองเพลงเซลติก


ผมกุมพวงพาลัยด้วยความรู้สึกเย็นเยือก

นึกถึงนายทหารหนุ่มก่อซูเลบนพรมแดน กลับมาหาพ่อในค่ายอพยพริมฝั่งน้ำสอง(สาขาแม่เมย) รู้จักกันในชื่อค่ายโซโกร

พ่อ ผมกลับมาแล้ว”

นายทหารหนุ่มร้องไห้

ผมไม่รู้ว่าพ่อเขาจะปลอบอย่างไร หลังลูกชายทิ้งดินแดน สนามเพลาะของลูกชายโดนยึด แม้จะยันสู้นานนับครึ่งศตวรรษ...


ผมเลือกมาทางลัดเส้นนี้ ราวตั้งใจมาฟังข่าวร้าย เรื่องจากโลกอื่นมาสร้างบรรยากาศหมองหม่นกดทับอยู่เหนือทุ่งนาสีเขียวกับเม็ดฝนตกหนัก


14.35
. รถบรรทุกอออยู่ริมถนน แต่ละคันบรรทุกหินคลุกยางมะตอยร้อนสีดำ รถเหยียบพื้นกำลังทำงาน คนงานรุมล้อมดูโทนสีดำไปหมด อายร้อนโชนขึ้นเหนือหินดำ เนื้อตัวทุกคนเปียกโชก อยู่กับหินร้อน การงานของพวกเขา


14.55
. ถึงถนนใหญ่สู่ตัวเมืองเชียงใหม่ ชั่วอึดใจ ไฟแลบวับแวมอยู่กลางถนน เห็นไกลๆ ฝูงรถยาวเหยียดคลานไปเท่าความเร็วของไส้เดือน


ร่างมนุษย์อีกร่าง อยู่ในผืนผ้าขาวห่มตัว ห่างออกไปราวสิบเมตร รถมอเตอไซค์ฉีกเป็นกองเศษเหล็ก เกลื่อนไหล่ถนน


ผมหยิบเพลง BLOWIN IN THE WIND ของ บ็อบ ดีแล่น เปิดดังลั่นห้องแคบๆใส่ล้อเคลื่อนที่ ที่ปัดน้ำฝนยังทำงาน อากาศนอกห้องเหมือนเมืองนรก เบลอหม่นไปทุกทาง คำตอบอยู่ในสายลมยามนี้ ช่างบางเบาเหลือเกิน


++++++++++++++


หมายเหตุ บันทึกชิ้นนี้ ผมเขียนในวันประหลาดๆ เหตุการณ์คล้ายๆกันมาต่อเนื่อง ปะติดปะต่อราวกับการเล่าเรื่องจากโลกอันลี้ลับ และเราเป็นผู้เฝ้ามองอยู่ห่างๆ วันสาหัสสากรรจ์ของวันใดวันหนึ่ง ราวกับจะยกโขยงกันมาถล่มทลาย แล้วประตูความจริงก็ไหลบ่ามาให้เห็นโลกจริง แม้เวลาผ่านมา 11 ปี ช่างดูราวเหตุการณ์เพิ่งผ่านไปเมื่อวาน ถือเป็นว่าผ่านมาพบบันทึกนิรนาม ตั้งวางอยู่ใกล้ตา อ่านข้ามเวลา ก่อนรถไฟจะออกจากสถานี เจ้าของบันทึกคงไม่เจตนาให้คนอื่นอ่าน แต่ขบวนรถไฟยังไม่เทียบชานชาลา รถไฟมาผิดเวลา นายสถานีแจ้งให้ผู้โดยสารทราบ แต่ไม่มีประโยชน์ใดใด อ่านบันทึกชิ้นนี้ดีกว่า ...เรื่องจริงของเขาผู้บันทึกแน่ๆ อ่านแล้วเป็นไงบ้าง...



บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
พ่อของลูกคือลูกของพ่อ ล้วงหนังสือ “เจ้าชายน้อย” ออกจากกระเป๋าสะพาย เป็นเล่มเดียวที่ติดตัวไปด้วยทุกครั้งที่ลูกชายเดินทางไปด้วย และไม่อาจรู้หรอกว่าจะได้เปิดอ่านในช่วงไหนเวลาไหน ลูกของพ่อคือหลานของปู่กำลังง่วนอยู่กับสมุด ดินสอ สีในกระเป๋าเช่นกัน เขาคงนึกอยากเขียนภาพ
ชนกลุ่มน้อย
เดินทางแบบกระเด็นกระดอนอยู่ในกระป๋องหนาหนักติดล้อ  และความยาวนานของระยะทาง  กว่า 5 ชั่วโมงไปให้ถึงใจกลางภูเขา  แต่ยิ่งคิดว่าเมื่อไหร่จะถึงใจกลางภูเขาตามมาตรวัดของแผนที่แผ่กางออกกว้าง  ยิ่งกลับเป็นเรื่องยากไปถึงใจกลางภูเขาที่อยู่ในใจ  ภูเขาเป็นทะมึนก่อกำแพงรายล้อม  
ชนกลุ่มน้อย
    เป็นเวลา 10 กว่าปี ที่ผมไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับพ่อใต้ชายคาเดียวกันนานๆ แต่คราวนี้ พ่ออยู่กับผมนานถึง 90 วัน พ่อในวัย 74 เพิ่งผ่านการบำบัดรักษาหัวใจอย่างชนิดลุ้นเส้นยาแดงผ่าแปดกันมา และต้องควบคุมตัวเองเรื่องการดื่ม กิน เคลื่อนไหว และเคร่งครัดกับขนาดจำนวนยารักษาอย่างชนิดห้ามขาดเกินเวลา
ชนกลุ่มน้อย
ไหนๆ ก็กอดกันแล้ว กอดต่ออีกครั้งเป็นไรไป ภูเขาลูกนั้นมีเถียงไร่ตั้งอยู่โดดเด่นและโดดเดี่ยว สองพ่อลูกชวนกันไปยังเถียงไร่ ที่นั่นคงสบายตา ดูลับหูลับตาคน ไม่มีใครไป พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว กลับพบกับไม้สามต้น ดูราวเป็นพี่น้องกัน ทรงพุ่มงามเหลือเกิน เหมือนก้อนเมฆย้อมสีเขียวเกิดเปลี่ยนใจอยากมาปักเป็นต้นไม้อยู่บนผืนดิน มองแล้วมองอีก ยังไม่อิ่ม “กอดดีกว่าพ่อ” เสียงนั้นบอก “พ่อกอดด้วย” นานอย่างนาน ผลัดกันกอดไม้สามต้นนั้น
ชนกลุ่มน้อย
 ขอทะลึ่งๆ เว่อร์ๆ อีกสักครั้งเถอะครับ ผมรู้สึกอย่างนี้จริงๆ ทันทีที่นึกอยากเขียน และโชว์รูปที่น่าจะอยู่ในอัลบั้มรูปส่วนตัว ว่างๆก็เอามาแบวางออกดูและรำลึกถึง มากกว่านำออกมาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าสายตาสาธารณะ ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า เบื่อๆ เซาๆ ซึมๆ ว่างมาก มาทำเรื่องดูดีกันมั้ยลูก   มา ม๊า มาทำซึ้งกันสักครั้งดีกว่ามั้ย"เอ้า เอาเลย กอดกันเลยลูก" พูดแค่นั้นเจ้าชายน้อยโผประจำการทันที ผมไล่ตามเก็บรูป"พ่อกอดมั้ย" เขาถามกลับมา"กอดสิ ต้องกอดแน่ๆ ว่างแล้วยัง" หมายถึงไม้ต้นนั้น หมายตาไว้เหมือนกัน และถูกรักหลงในเวลาอันรวดเร็ว"ถ่ายรูปมั้ย" เขายึดกล้องไปกดรูปวันนั้น…
ชนกลุ่มน้อย
ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี ที่ผมตระเวนท่องไปตามป่าเขาในภาคเหนือ ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเผชิญหน้าจริงๆ กับพายุลมแรงที่หอบน้ำแข็งมาด้วย จนติดตรึงอยู่ในพายุน้ำแข็ง ไม่เห็นทางข้างหน้าและไม่เห็นทางข้างหลัง ขยับไปไหนไม่ได้ ราวกับทุกอย่างตกอยู่เหนือการควบคุม นอกจากยอมรับสภาพแล้วจำนนกับความเป็นไป
ชนกลุ่มน้อย
วันที่ 8 มีนาคม 2552 ผมนั่งเคียงข้างพ้อเลป่า ก่อนเดินทางกลับ ผมบอกว่า อีกสองสามอาทิตย์จะเข้ามาเยี่ยมอีกครั้ง เวลาผ่านไปสามอาทิตย์กว่า ตรงกับวันที่ 2 เมษายน 2552 พ้อเลป่าก็จากไปจริงๆ ผมไปถึงบ้านแม่แฮคี้ตอนบ่ายแก่ๆวันต่อมา บ้านไม้ริมถนนมีคนจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่บนบ้าน ไล่เรียงอออกมานอกประตูบ้าน ผู้เฒ่ากวีแห่งแม่แฮใต้จากไปจริงๆ รูปวางถ่ายไว้บนโลงไม้ รูปสูบไปป์ที่คุ้นเคย พร้อมดอกไม้สัญลักษณ์ของความอาลัย
ชนกลุ่มน้อย
 เมื่อฉันเริ่มจำความได้ ฉันเที่ยวเล่นกับพวกเพื่อนๆ ฉันรู้ว่า แม่เป็นคนทอเสื้อให้ฉันใส่ ฉันดีใจมาก ฉันสวมเสื้อตัวนั้นแล้วเดินนำหน้าคนอื่นๆ เวลานั้นฉันรู้สึกว่า ใบหน้าของตัวเองเต็มอิ่มไปด้วยความร่าเริงยินดี
ชนกลุ่มน้อย
ชนกลุ่มน้อย
 ไม่มองซ้ายขวาหน้าหลัง  เดินเข้าไปหาแล้วโอบกอด   "ได้กลิ่นมั้ย" ผมถาม"เหมือนน้ำมัน" เขาตอบ"ใช่  ในตัวเขามีน้ำมัน" .. บทสนทนาระหว่างโอบกอด  เป็นเช่นนี้จริงๆ