Skip to main content

ผมตกปากรับคำนั่งซ้อนหลังอานรถของเขาอย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆ ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าผมจะวางใจในฝีไม้ลายมือของเขา รู้ทั้งรู้ว่าเป็นเส้นทางที่เขาขับขี่ไปมาอยู่ทุกวัน ผมควรประหยัดคำพูดที่จะถามเรื่องคุ้นเคยเส้นทาง อีกทั้งมอเตอร์ไซค์คู่ชีพเขา ก็ตั้งวางให้เห็นความแข็งแรงพร้อมลุย โคลนคลุกตามตัวรถเหมือนบอกว่าไปทางไหนไม่หวั่น



ไกลมั้ย” ผมจะถามถึงระยะทาง

หลังเขาลูกนั้น” เขาชี้มือไปยังเนินเขาไกลๆอยู่ม่านหมอกฝน

เขามาอาสาเป็นธุระรับส่งไปสวนป่า ผมอยากไปเห็นกับตา ว่าป่าธรรมชาติกับคนทำสวนในป่านั้น จะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร ความเข้าใจคนทั่วไปนั้น ป่าก็อยู่ส่วนป่า คนก็อยู่ส่วนคน ถ้าคนไปยุ่งกับป่าหมายถึงบุกรุกพื้นที่ป่า


แต่เขากำลังพาผมบุกลุยพื้นที่ป่า


พอรถออกวิ่งฉิวไปข้างหน้าเพียงไม่กี่เมตร ผมรู้แล้วว่า มือขับบังคับรถนั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจและช่ำชอง มิหนำซ้ำ พอข้ามรากไม้ปูดโปนอยู่บนเส้นทาง เขาทำราวกับว่ารากไม้จะเกิดรอยถลอก ล้อค่อยคืบข้ามไปอย่างนุ่มนวล


ผมถามชื่อเขาที่เป็นภาษาของเขา เขาหัวเราะนำก่อนจะตอบ ผมได้ยินเสียงเบาๆ เป็นลมผ่านหู

ฌาเกอปอทู” (ดาวทอง)


เขาขัดเขินในชื่อและความหมายแปลก หรือชื่อ จันทร์แก้ว น่าจะเหมาะกว่าดาวทอง นั่นเป็นเพียงชื่อมีอยู่จริงกลางป่าดงลึก หากผมไม่ผ่านเข้าไป ผมก็คงไม่รู้จักชื่อเขา การพบจึงเป็นเรื่องลี้ลับไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการจากพราก


ผมงุนงงสงสัยทุกครั้ง เวลาที่พบใครแปลกหน้า แล้วบังเอิญต้องออกเดินร่วมกันไป ชั่วชีวิตไม่เคยเจอหน้ากันเลย การทำความรู้จักกันจึงเป็นไปอย่างรวบรัดตัดความ พอให้รู้แห่งหนที่อยู่การงาน หรืออาจยื้อยาวไปถึงมีลูกมีพี่น้องกี่คน แต่เรื่องอาหารที่ชอบ อะไรคือสิ่งที่ฝัน น่าจะยังอยู่ไกล อย่างดีก็น่าจะถาม เคยมั้ย เรื่องใดเรื่องหนึ่ง


พอผมบอกว่า พื้นเพบ้านผมอยู่ที่ไหน เขาพูดสวนกลับว่า เคยมีคนในจังหวัดใกล้บ้านผมนั่นแหละ มานอนหนาวห่มหนาวอยู่นอกบ้านในคืนอากาศเย็นจัด เจ้าบ้านได้ยินเสียงคราง รีบช่วยกันแบกหามเข้าไปในบ้าน ต้มน้ำอุ่นก่อไฟอิงเตาฟืน

เมาจนหลับ”..


ผมนึกในใจด้วยความรู้สึกขำๆ คนบ้านเรามาทำเรื่องเสียหายถึงที่นี่เชียวหรือ แต่แค่นึกผมก็ร่วมหัวเราะไปกับเขาแล้ว



ม้าญี่ปุ่นคันนี้แรงดีจริงๆ ทางโค้งคดลงไหล่เขา ราวพุ่งทยานลงไปในหลุม ตรงก้นหลุมนั้นมีลำน้ำกั้นขวาง ผมนึกฉากหนังคาวบอยในหนังเก่าๆ เพียงเรามีม้าควบขี่แทนมอเตอร์ไซค์ม้าญี่ปุ่น เราก็อยู่ร่วมฉากนั้นแล้ว แทบทุกฉากในหนังคาวบอย เมื่อการขี่ม้าไปถึงที่ยากลำบาก มักมีเรื่องให้ดวลปืนกับตัวร้าย หรือไม่ก็การปรากฏตัวของศัตรูอย่างไม่มีเหตุผล


ผมอยู่ในอารมณ์ความรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ (อารมณ์ดวลปืน)

ลงมั้ย” ผมคะเนด้วยสายตา ว่าร่องน้ำน่าจะลึก ดีไม่ดีม้าญี่ปุ่นอาจสำลักน้ำตาย หากจะขืนขี่ข้ามไป

ไม่ต้องลง เกาะแน่นๆ” น้ำเสียงเขามั่นใจ

กางเกงขาสั้น เสื้อแขนสั้นเก่าๆ กับรองเท้าแตะ ดูจะสมเหตุสมผลกับการมุ่งไปข้างหน้า แต่รองเท้าหนัง กางเกงยีนส์ขายาว เสื้อแขนยาว และกระเป๋ากล้อง ดูยังไงๆ ก็ควรรีบไปทำให้เสื้อกางเกงมีแขนขาสั้นลง


ผมถามเขาอีกครั้งว่า แน่ใจนะว่าจะข้ามไปได้

เขาเงียบ แต่ม้าญี่ปุ่นเริ่มส่งเสียงผ่านรูท่อกังวานกว่าเดิม

ผมเคยขี่รถยนต์ลุยข้ามน้ำ ขี่ช้างข้ามน้ำ ขี่แพข้ามน้ำ นั่งเรือข้ามน้ำ แต่ไม่เคยเลยที่จะขี่รถมอเตอร์ไซค์ข้ามน้ำ อย่างดีก็เคยแบกรถมอเตอร์ไซค์ข้ามน้ำ


แล้วเสียงบุ๋มๆๆ กุกๆกักๆ เครื่องสะดุดนิดหนึ่งแล้วไปต่อ เขาเร่งความเร็วให้สม่ำเสมอ บางช่วงแข็งขืนบิดคันเร่ง เสียงล้อห้อตะบึงดังเหมือนฟันกัดก้อนเกลือ ผมยกเท้าสูงเหนือน้ำ เขากลับทำสิ่งตรงข้าม เอาเท้าทิ้งยันลงน้ำจนเสียงรถดังเหมือนหายใจติดขัด แต่มันก็ฟื้นคืนเสียงกลับมาดังเดิม



เราข้ามลำน้ำทั้งสายไปได้จริงๆ เหมือนเขาหลับตาเห็นท้องร่องพื้นใต้น้ำ จนหลบหลีกดงหินดงกรวดทรายไปได้ เราหยุดยืนอีกฝั่ง มองด้วยสายตาความกว้าง 10 เมตรกว่าๆ


บรรยากาศดวลปืนจบลงแล้ว แต่เขาไม่วายบอกความจริงอีกอย่าง

เดือนหน้าข้ามไม่ได้แล้ว น้ำจะมากกว่านี้เท่าตัว”....


ผมยื่นยาหอมชมเขาอีกหลายคำ เข้าป่าคราวนี้ เขานำเสนอการข้ามน้ำแม่แจ่มตรงระยะต้นน้ำ ด้วยวิธีของเขาเอง ให้ความเข้าใจอันปราศจากถ้อยคำอธิบายแม้แต่คำเดียว แล้วจะให้ผมไม่เชื่อ ไม่วางใจว่าเขาจะมีความสุขปลอดภัย ยามพวกเขามีชีวิตโลดแล่นอยู่กลางป่าได้อย่างไร


บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
พ่อของลูกคือลูกของพ่อ ล้วงหนังสือ “เจ้าชายน้อย” ออกจากกระเป๋าสะพาย เป็นเล่มเดียวที่ติดตัวไปด้วยทุกครั้งที่ลูกชายเดินทางไปด้วย และไม่อาจรู้หรอกว่าจะได้เปิดอ่านในช่วงไหนเวลาไหน ลูกของพ่อคือหลานของปู่กำลังง่วนอยู่กับสมุด ดินสอ สีในกระเป๋าเช่นกัน เขาคงนึกอยากเขียนภาพ
ชนกลุ่มน้อย
เดินทางแบบกระเด็นกระดอนอยู่ในกระป๋องหนาหนักติดล้อ  และความยาวนานของระยะทาง  กว่า 5 ชั่วโมงไปให้ถึงใจกลางภูเขา  แต่ยิ่งคิดว่าเมื่อไหร่จะถึงใจกลางภูเขาตามมาตรวัดของแผนที่แผ่กางออกกว้าง  ยิ่งกลับเป็นเรื่องยากไปถึงใจกลางภูเขาที่อยู่ในใจ  ภูเขาเป็นทะมึนก่อกำแพงรายล้อม  
ชนกลุ่มน้อย
    เป็นเวลา 10 กว่าปี ที่ผมไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับพ่อใต้ชายคาเดียวกันนานๆ แต่คราวนี้ พ่ออยู่กับผมนานถึง 90 วัน พ่อในวัย 74 เพิ่งผ่านการบำบัดรักษาหัวใจอย่างชนิดลุ้นเส้นยาแดงผ่าแปดกันมา และต้องควบคุมตัวเองเรื่องการดื่ม กิน เคลื่อนไหว และเคร่งครัดกับขนาดจำนวนยารักษาอย่างชนิดห้ามขาดเกินเวลา
ชนกลุ่มน้อย
ไหนๆ ก็กอดกันแล้ว กอดต่ออีกครั้งเป็นไรไป ภูเขาลูกนั้นมีเถียงไร่ตั้งอยู่โดดเด่นและโดดเดี่ยว สองพ่อลูกชวนกันไปยังเถียงไร่ ที่นั่นคงสบายตา ดูลับหูลับตาคน ไม่มีใครไป พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว กลับพบกับไม้สามต้น ดูราวเป็นพี่น้องกัน ทรงพุ่มงามเหลือเกิน เหมือนก้อนเมฆย้อมสีเขียวเกิดเปลี่ยนใจอยากมาปักเป็นต้นไม้อยู่บนผืนดิน มองแล้วมองอีก ยังไม่อิ่ม “กอดดีกว่าพ่อ” เสียงนั้นบอก “พ่อกอดด้วย” นานอย่างนาน ผลัดกันกอดไม้สามต้นนั้น
ชนกลุ่มน้อย
 ขอทะลึ่งๆ เว่อร์ๆ อีกสักครั้งเถอะครับ ผมรู้สึกอย่างนี้จริงๆ ทันทีที่นึกอยากเขียน และโชว์รูปที่น่าจะอยู่ในอัลบั้มรูปส่วนตัว ว่างๆก็เอามาแบวางออกดูและรำลึกถึง มากกว่านำออกมาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าสายตาสาธารณะ ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า เบื่อๆ เซาๆ ซึมๆ ว่างมาก มาทำเรื่องดูดีกันมั้ยลูก   มา ม๊า มาทำซึ้งกันสักครั้งดีกว่ามั้ย"เอ้า เอาเลย กอดกันเลยลูก" พูดแค่นั้นเจ้าชายน้อยโผประจำการทันที ผมไล่ตามเก็บรูป"พ่อกอดมั้ย" เขาถามกลับมา"กอดสิ ต้องกอดแน่ๆ ว่างแล้วยัง" หมายถึงไม้ต้นนั้น หมายตาไว้เหมือนกัน และถูกรักหลงในเวลาอันรวดเร็ว"ถ่ายรูปมั้ย" เขายึดกล้องไปกดรูปวันนั้น…
ชนกลุ่มน้อย
ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี ที่ผมตระเวนท่องไปตามป่าเขาในภาคเหนือ ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเผชิญหน้าจริงๆ กับพายุลมแรงที่หอบน้ำแข็งมาด้วย จนติดตรึงอยู่ในพายุน้ำแข็ง ไม่เห็นทางข้างหน้าและไม่เห็นทางข้างหลัง ขยับไปไหนไม่ได้ ราวกับทุกอย่างตกอยู่เหนือการควบคุม นอกจากยอมรับสภาพแล้วจำนนกับความเป็นไป
ชนกลุ่มน้อย
วันที่ 8 มีนาคม 2552 ผมนั่งเคียงข้างพ้อเลป่า ก่อนเดินทางกลับ ผมบอกว่า อีกสองสามอาทิตย์จะเข้ามาเยี่ยมอีกครั้ง เวลาผ่านไปสามอาทิตย์กว่า ตรงกับวันที่ 2 เมษายน 2552 พ้อเลป่าก็จากไปจริงๆ ผมไปถึงบ้านแม่แฮคี้ตอนบ่ายแก่ๆวันต่อมา บ้านไม้ริมถนนมีคนจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่บนบ้าน ไล่เรียงอออกมานอกประตูบ้าน ผู้เฒ่ากวีแห่งแม่แฮใต้จากไปจริงๆ รูปวางถ่ายไว้บนโลงไม้ รูปสูบไปป์ที่คุ้นเคย พร้อมดอกไม้สัญลักษณ์ของความอาลัย
ชนกลุ่มน้อย
 เมื่อฉันเริ่มจำความได้ ฉันเที่ยวเล่นกับพวกเพื่อนๆ ฉันรู้ว่า แม่เป็นคนทอเสื้อให้ฉันใส่ ฉันดีใจมาก ฉันสวมเสื้อตัวนั้นแล้วเดินนำหน้าคนอื่นๆ เวลานั้นฉันรู้สึกว่า ใบหน้าของตัวเองเต็มอิ่มไปด้วยความร่าเริงยินดี
ชนกลุ่มน้อย
ชนกลุ่มน้อย
 ไม่มองซ้ายขวาหน้าหลัง  เดินเข้าไปหาแล้วโอบกอด   "ได้กลิ่นมั้ย" ผมถาม"เหมือนน้ำมัน" เขาตอบ"ใช่  ในตัวเขามีน้ำมัน" .. บทสนทนาระหว่างโอบกอด  เป็นเช่นนี้จริงๆ