Skip to main content

picture1

ระหว่างรอความหมายเพลงของเหล่อวา  ซึ่งผมเขียนไว้ว่าจะนำมาขึ้นจอ  แต่เพลงของเขาอยู่ระหว่างทางแปลความหมาย  สัปดาห์ต่อไปน่าจะถึงฝั่งน้ำปิง  นอนรอ  นั่งรอ ... บังเอิญนึกถึงเพลงศิลปินเพลงอีกชุดหนึ่ง  รูปปกเทปดอกกุหลาบแดง

พ้อต่อฉื่อโพ  -- กุหลาบน้อย   เป็นชื่อบนปกเทป
นานมาแล้วผมเคยเขียนถึง  ผ่านคนบอกเล่า  และคนแปลความหมายเนื้อเพลง 

ว่ากันว่า  เป็นงานเพลงที่รวบรวมเอาเพลงอมตะสองฟากฝั่งสาละวิน  เลือกเอาคุ้นหูคนตะเข็บชายแดนมาไว้ในที่เดียวกัน  ผ่านเสียงร้องหวานเศร้าจับใจ  ในโทนเนื้อเสียงใกล้เคียง  นอร่าห์ โจนส์ (Norah  Jones)  นักร้องแนวแจ๊ส ลูกครึ่งอเมริกัน-อินเดีย

picture2

นางถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกพลัดพราก  ห่วง  อาลัยในแผ่นดินอย่างจับใจ
ชื่อนาง กะญอพอ  
นางเกิดที่เมืองร่างกุ้ง  มุ่งหน้าสู่ดินแดนก่อซูเล
คนบอกเล่า  เล่าว่านางเก็บตัว  ไม่ยุ่งเกี่ยวกับหน้าสื่อ  ผมจึงขอเขียนถึงแต่เพลงของนาง เพลงที่นางร้อง  มีเนื้อหาความหมายไม่ต่างไปจากชีวิตของนาง

“คืนนี้  แสงจันทร์ส่องฟ้า
ณ ใต้ร่มไม้  ฉันคิดถึงบ้าน
ต้นไม้  สรรพสิ่งหลับนิ่งอยู่ในกลางคืน
แต่หัวใจฉันกลับบ้าน
แผ่นดินที่ฉันเกิด  ฉันรักมาก
บ้านฉัน  ดอกไม้ของฉัน  ฉันเคยพบเห็น
แผ่นดินอื่น  แม้สงบสุขสวยงามเพียงใด
ฉันก็ยังรักหมู่บ้าน  และดอกไม้ของฉัน...” (เพลงชื่อ คิดถึงบ้าน)

หนังไทยเรื่อง สาละวิน หรือมือปืน 2  สร้างกำกับโดยท่านมุ้ย หม่อมเจ้าชาตรี  ยุคล  ฉากใหญ่ฉากหนึ่ง  ฉากไล่ล่าคนกะเหรี่ยงมาถึงริมน้ำสุดแดนประเทศ  เฮลิคอปเตอร์บินวนสาดกระสุน  คนหนีตายเหมือนมดแตกรัง 

ท่ามกลางความโกลาหล  แตกตื่น  ร้องไห้  เสียงปืน  ควันไฟ   เพลงหนึ่งเพลงนั้นก็ดังขึ้น   เรียกน้ำตาจากผู้ชม  เพลงนั้นชื่อ ดอกกุหลาบ  เพลงของ พ้อต่อฉื่อโพ นั่นเอง

“ดอกกุหลาบที่ฉันส่งมอบให้เธอ
เป็นสิ่งบอกว่า  ฉันรักเธอ
ความรักที่ฉันมีทั้งหัวใจ  มอบให้เธอ
เมื่อเราห่างไกลกัน  ส่งดอกไม้ที่สวยงามให้เธอ
ดูดอกไม้ของฉันสิ  เห็นความหมายฉันรักเธอไหม
ดอกกุหลาบดอกนี้  จะบอกเธอ
คนที่ฉันรัก คือคนนี้
คิดถึงเมื่อเราอยู่สองคน
ทุกวัน  ก็ยังโหยหา
เธอเคยรับดอกไม้จากมือฉัน
ให้ดูดอกไม้ต่างหน้าฉัน
ดอกไม้ดอกนี้จะบอกเธอ
ว่าฉันรักเธอมาก”

picture3

นางยังใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังที่ใดที่หนึ่งบนฝั่งน้ำปิง  หากนางรู้  ฝากความคิดถึง ระลึกถึง  ถึงนางด้วย  เพลงของนางมีชีวิตและวิญญาณ  เต็มไปด้วยเสียงของความพลัดพรากจากบุคคล แผ่นดินอันเป็นที่รัก  เหมือนชีวิตของนาง  เหมือนชีวิตใครๆบนฝั่งฟากตะวันตกนั้น

บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
พ่อของลูกคือลูกของพ่อ ล้วงหนังสือ “เจ้าชายน้อย” ออกจากกระเป๋าสะพาย เป็นเล่มเดียวที่ติดตัวไปด้วยทุกครั้งที่ลูกชายเดินทางไปด้วย และไม่อาจรู้หรอกว่าจะได้เปิดอ่านในช่วงไหนเวลาไหน ลูกของพ่อคือหลานของปู่กำลังง่วนอยู่กับสมุด ดินสอ สีในกระเป๋าเช่นกัน เขาคงนึกอยากเขียนภาพ
ชนกลุ่มน้อย
เดินทางแบบกระเด็นกระดอนอยู่ในกระป๋องหนาหนักติดล้อ  และความยาวนานของระยะทาง  กว่า 5 ชั่วโมงไปให้ถึงใจกลางภูเขา  แต่ยิ่งคิดว่าเมื่อไหร่จะถึงใจกลางภูเขาตามมาตรวัดของแผนที่แผ่กางออกกว้าง  ยิ่งกลับเป็นเรื่องยากไปถึงใจกลางภูเขาที่อยู่ในใจ  ภูเขาเป็นทะมึนก่อกำแพงรายล้อม  
ชนกลุ่มน้อย
    เป็นเวลา 10 กว่าปี ที่ผมไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับพ่อใต้ชายคาเดียวกันนานๆ แต่คราวนี้ พ่ออยู่กับผมนานถึง 90 วัน พ่อในวัย 74 เพิ่งผ่านการบำบัดรักษาหัวใจอย่างชนิดลุ้นเส้นยาแดงผ่าแปดกันมา และต้องควบคุมตัวเองเรื่องการดื่ม กิน เคลื่อนไหว และเคร่งครัดกับขนาดจำนวนยารักษาอย่างชนิดห้ามขาดเกินเวลา
ชนกลุ่มน้อย
ไหนๆ ก็กอดกันแล้ว กอดต่ออีกครั้งเป็นไรไป ภูเขาลูกนั้นมีเถียงไร่ตั้งอยู่โดดเด่นและโดดเดี่ยว สองพ่อลูกชวนกันไปยังเถียงไร่ ที่นั่นคงสบายตา ดูลับหูลับตาคน ไม่มีใครไป พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว กลับพบกับไม้สามต้น ดูราวเป็นพี่น้องกัน ทรงพุ่มงามเหลือเกิน เหมือนก้อนเมฆย้อมสีเขียวเกิดเปลี่ยนใจอยากมาปักเป็นต้นไม้อยู่บนผืนดิน มองแล้วมองอีก ยังไม่อิ่ม “กอดดีกว่าพ่อ” เสียงนั้นบอก “พ่อกอดด้วย” นานอย่างนาน ผลัดกันกอดไม้สามต้นนั้น
ชนกลุ่มน้อย
 ขอทะลึ่งๆ เว่อร์ๆ อีกสักครั้งเถอะครับ ผมรู้สึกอย่างนี้จริงๆ ทันทีที่นึกอยากเขียน และโชว์รูปที่น่าจะอยู่ในอัลบั้มรูปส่วนตัว ว่างๆก็เอามาแบวางออกดูและรำลึกถึง มากกว่านำออกมาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าสายตาสาธารณะ ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า เบื่อๆ เซาๆ ซึมๆ ว่างมาก มาทำเรื่องดูดีกันมั้ยลูก   มา ม๊า มาทำซึ้งกันสักครั้งดีกว่ามั้ย"เอ้า เอาเลย กอดกันเลยลูก" พูดแค่นั้นเจ้าชายน้อยโผประจำการทันที ผมไล่ตามเก็บรูป"พ่อกอดมั้ย" เขาถามกลับมา"กอดสิ ต้องกอดแน่ๆ ว่างแล้วยัง" หมายถึงไม้ต้นนั้น หมายตาไว้เหมือนกัน และถูกรักหลงในเวลาอันรวดเร็ว"ถ่ายรูปมั้ย" เขายึดกล้องไปกดรูปวันนั้น…
ชนกลุ่มน้อย
ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี ที่ผมตระเวนท่องไปตามป่าเขาในภาคเหนือ ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเผชิญหน้าจริงๆ กับพายุลมแรงที่หอบน้ำแข็งมาด้วย จนติดตรึงอยู่ในพายุน้ำแข็ง ไม่เห็นทางข้างหน้าและไม่เห็นทางข้างหลัง ขยับไปไหนไม่ได้ ราวกับทุกอย่างตกอยู่เหนือการควบคุม นอกจากยอมรับสภาพแล้วจำนนกับความเป็นไป
ชนกลุ่มน้อย
วันที่ 8 มีนาคม 2552 ผมนั่งเคียงข้างพ้อเลป่า ก่อนเดินทางกลับ ผมบอกว่า อีกสองสามอาทิตย์จะเข้ามาเยี่ยมอีกครั้ง เวลาผ่านไปสามอาทิตย์กว่า ตรงกับวันที่ 2 เมษายน 2552 พ้อเลป่าก็จากไปจริงๆ ผมไปถึงบ้านแม่แฮคี้ตอนบ่ายแก่ๆวันต่อมา บ้านไม้ริมถนนมีคนจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่บนบ้าน ไล่เรียงอออกมานอกประตูบ้าน ผู้เฒ่ากวีแห่งแม่แฮใต้จากไปจริงๆ รูปวางถ่ายไว้บนโลงไม้ รูปสูบไปป์ที่คุ้นเคย พร้อมดอกไม้สัญลักษณ์ของความอาลัย
ชนกลุ่มน้อย
 เมื่อฉันเริ่มจำความได้ ฉันเที่ยวเล่นกับพวกเพื่อนๆ ฉันรู้ว่า แม่เป็นคนทอเสื้อให้ฉันใส่ ฉันดีใจมาก ฉันสวมเสื้อตัวนั้นแล้วเดินนำหน้าคนอื่นๆ เวลานั้นฉันรู้สึกว่า ใบหน้าของตัวเองเต็มอิ่มไปด้วยความร่าเริงยินดี
ชนกลุ่มน้อย
ชนกลุ่มน้อย
 ไม่มองซ้ายขวาหน้าหลัง  เดินเข้าไปหาแล้วโอบกอด   "ได้กลิ่นมั้ย" ผมถาม"เหมือนน้ำมัน" เขาตอบ"ใช่  ในตัวเขามีน้ำมัน" .. บทสนทนาระหว่างโอบกอด  เป็นเช่นนี้จริงๆ