Skip to main content
 

  

ปลายปีจวนจะข้ามปีใหม่ทุกปี  ผมรอคอยการมาถึงของเพื่อนกลุ่มหนึ่ง 
พวกเขารวมตัวกันเฉพาะกิจ 
เดินทางไปตามบ้านที่มีสายใยทางใจต่อถึงกัน   นัดหมายกันไปร้องเพลงถึงในบ้าน 
ที่สำคัญนั้น  พวกเขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่า  การหยิบยื่นเสียงเพลง  เสียงของความปรารถนาดีผ่านบทเพลงให้ชีวิตมีความหวัง และความสุข

เพื่อนกลุ่มนี้เป็นคริสเตียน  นับถือศาสนาคริสต์  ผมนับถือพุทธมาตั้งแต่บรรพบุรุษ 
พวกเขารู้ว่า กำลังร้องเพลงให้ชาวพุทธฟัง 
เหนืออื่นใด  ความเป็นพี่น้องรักใคร่
พวกเขาร้องเพลงอย่างมีความสุข  เสียงประสานกันไพเราะมาก
จินตนาการของพวกเขานั้น  ปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข
พวกเขาบอกล่วงหน้าถึงความตั้งใจมาเป็นอาทิตย์  เลือกวันเวลาที่ว่างกันทั้งสองฝ่าย  ผมอยากให้พวกเขารับความสุขเช่นกัน  เตรียมน้ำท่า ชา กาแฟ ขนมหวาน ไว้ต้อนรับ 

เรารู้สึกถึงการคอย  เดี๋ยวเพลงจะมาดังก้องในบ้าน 
พวกเขาอาจมาตรงเวลา  หรือเกินเลยเวลาที่นัดหมายก็ได้   อาจดึกดื่นค่อนคืนก็ได้  หากในความเงียบสงัด  พลันได้ยินเสียงเพลงประสานดังขึ้น  ไม่ต้องสงสัย  พวกเขามาถึงแล้ว
ความหลับใหลจะฟื้นตื่น  นอนฟังจนอิ่ม  กว่าจะลุกขึ้นมาทักมายกัน  ต้อนรับกัน
เพลงร้องฟังเหมือนเพลงสวด
จินตนาการของพวกเขานั้น  ปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข
โชคดีเพียงใด  เรายังมีชีวิตข้ามผ่านปี  มาพบหน้ากัน  ร้องเพลงให้ฟังกันอีกปี
ใบหน้าน้ำเสียงของพวกเขา  บอกให้รู้ว่า  มีที่มาจากหลายเผ่าพันธุ์  เผ่าบนดอย  เผ่าหนีสงครามริมขอบพรมแดน  และหน้าที่อื่นๆที่แทบไม่มีใครกลุ่มๆไหนรู้จัก

พวกเขาต่างทำงาน  มีหน้าที่ไปตามทางเดินชีวิต  ในซอกมุมเมือง  หรือไม่ก็ในหมู่บ้านป่าเขา 
เส้นทางชีวิตพวกเขา  ยากจะมีใครมองเห็น  เส้นใยบางๆที่ปลิวไปมาตามลมพัดพา 
เจตจำนงพวกเขาต่างหาก  สวยงามและเป็นมิตร
ปรารถนาดีให้กัน
ความสัมพันธ์รักใคร่เช่นนี้เอง   เป็นที่มาของเพลงร้องร่วมกัน
พรมแดนชีวิตที่วางอยู่บนความต่าง  มีเพลงร้องให้ฟัง

เพลงแล้วเพลงเล่าผ่านไป  ทั้งภาษาเผ่า  ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ  หลอมรวมอยู่ในห้วงลมหายใจเดียวกัน
ท่วงทำนองเพลงของเขา  เหมือนชีวิตของพวกเขา  ฟังง่าย  ไม่ซับซ้อน  สวยงาม  ร้องผ่านแววตายิ้มแย้ม และมิตรไมตรี
พอเพลงหลายเพลงจบลง  เราจึงมีเวลาคุยกันถึงทุกข์สุขในชีวิต 
บางคนดำเนินชีวิตอยู่ในชะตาหลบๆ ซ่อนๆ กลางเมืองตลอดเวลา 
บางคนมีเงื่อนไขระยะเวลาการอยู่ 
บางคนหนีตายจากแผ่นดินอื่น  แต่ยังออกไปร้องเพลงให้คนอื่นมีความสุข
ข้างในผมเศร้า และว้าเหว่ไปตามน้ำเสียงแววตาพวกเขา
เพลงปรารถนายามค่ำคืนดึกดื่นของพวกเขา  เป็นเรื่องง่ายๆ

จินตนาการของพวกเขานั้น  ปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข

บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
พ่อของลูกคือลูกของพ่อ ล้วงหนังสือ “เจ้าชายน้อย” ออกจากกระเป๋าสะพาย เป็นเล่มเดียวที่ติดตัวไปด้วยทุกครั้งที่ลูกชายเดินทางไปด้วย และไม่อาจรู้หรอกว่าจะได้เปิดอ่านในช่วงไหนเวลาไหน ลูกของพ่อคือหลานของปู่กำลังง่วนอยู่กับสมุด ดินสอ สีในกระเป๋าเช่นกัน เขาคงนึกอยากเขียนภาพ
ชนกลุ่มน้อย
เดินทางแบบกระเด็นกระดอนอยู่ในกระป๋องหนาหนักติดล้อ  และความยาวนานของระยะทาง  กว่า 5 ชั่วโมงไปให้ถึงใจกลางภูเขา  แต่ยิ่งคิดว่าเมื่อไหร่จะถึงใจกลางภูเขาตามมาตรวัดของแผนที่แผ่กางออกกว้าง  ยิ่งกลับเป็นเรื่องยากไปถึงใจกลางภูเขาที่อยู่ในใจ  ภูเขาเป็นทะมึนก่อกำแพงรายล้อม  
ชนกลุ่มน้อย
    เป็นเวลา 10 กว่าปี ที่ผมไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับพ่อใต้ชายคาเดียวกันนานๆ แต่คราวนี้ พ่ออยู่กับผมนานถึง 90 วัน พ่อในวัย 74 เพิ่งผ่านการบำบัดรักษาหัวใจอย่างชนิดลุ้นเส้นยาแดงผ่าแปดกันมา และต้องควบคุมตัวเองเรื่องการดื่ม กิน เคลื่อนไหว และเคร่งครัดกับขนาดจำนวนยารักษาอย่างชนิดห้ามขาดเกินเวลา
ชนกลุ่มน้อย
ไหนๆ ก็กอดกันแล้ว กอดต่ออีกครั้งเป็นไรไป ภูเขาลูกนั้นมีเถียงไร่ตั้งอยู่โดดเด่นและโดดเดี่ยว สองพ่อลูกชวนกันไปยังเถียงไร่ ที่นั่นคงสบายตา ดูลับหูลับตาคน ไม่มีใครไป พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว กลับพบกับไม้สามต้น ดูราวเป็นพี่น้องกัน ทรงพุ่มงามเหลือเกิน เหมือนก้อนเมฆย้อมสีเขียวเกิดเปลี่ยนใจอยากมาปักเป็นต้นไม้อยู่บนผืนดิน มองแล้วมองอีก ยังไม่อิ่ม “กอดดีกว่าพ่อ” เสียงนั้นบอก “พ่อกอดด้วย” นานอย่างนาน ผลัดกันกอดไม้สามต้นนั้น
ชนกลุ่มน้อย
 ขอทะลึ่งๆ เว่อร์ๆ อีกสักครั้งเถอะครับ ผมรู้สึกอย่างนี้จริงๆ ทันทีที่นึกอยากเขียน และโชว์รูปที่น่าจะอยู่ในอัลบั้มรูปส่วนตัว ว่างๆก็เอามาแบวางออกดูและรำลึกถึง มากกว่านำออกมาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าสายตาสาธารณะ ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า เบื่อๆ เซาๆ ซึมๆ ว่างมาก มาทำเรื่องดูดีกันมั้ยลูก   มา ม๊า มาทำซึ้งกันสักครั้งดีกว่ามั้ย"เอ้า เอาเลย กอดกันเลยลูก" พูดแค่นั้นเจ้าชายน้อยโผประจำการทันที ผมไล่ตามเก็บรูป"พ่อกอดมั้ย" เขาถามกลับมา"กอดสิ ต้องกอดแน่ๆ ว่างแล้วยัง" หมายถึงไม้ต้นนั้น หมายตาไว้เหมือนกัน และถูกรักหลงในเวลาอันรวดเร็ว"ถ่ายรูปมั้ย" เขายึดกล้องไปกดรูปวันนั้น…
ชนกลุ่มน้อย
ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี ที่ผมตระเวนท่องไปตามป่าเขาในภาคเหนือ ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเผชิญหน้าจริงๆ กับพายุลมแรงที่หอบน้ำแข็งมาด้วย จนติดตรึงอยู่ในพายุน้ำแข็ง ไม่เห็นทางข้างหน้าและไม่เห็นทางข้างหลัง ขยับไปไหนไม่ได้ ราวกับทุกอย่างตกอยู่เหนือการควบคุม นอกจากยอมรับสภาพแล้วจำนนกับความเป็นไป
ชนกลุ่มน้อย
วันที่ 8 มีนาคม 2552 ผมนั่งเคียงข้างพ้อเลป่า ก่อนเดินทางกลับ ผมบอกว่า อีกสองสามอาทิตย์จะเข้ามาเยี่ยมอีกครั้ง เวลาผ่านไปสามอาทิตย์กว่า ตรงกับวันที่ 2 เมษายน 2552 พ้อเลป่าก็จากไปจริงๆ ผมไปถึงบ้านแม่แฮคี้ตอนบ่ายแก่ๆวันต่อมา บ้านไม้ริมถนนมีคนจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่บนบ้าน ไล่เรียงอออกมานอกประตูบ้าน ผู้เฒ่ากวีแห่งแม่แฮใต้จากไปจริงๆ รูปวางถ่ายไว้บนโลงไม้ รูปสูบไปป์ที่คุ้นเคย พร้อมดอกไม้สัญลักษณ์ของความอาลัย
ชนกลุ่มน้อย
 เมื่อฉันเริ่มจำความได้ ฉันเที่ยวเล่นกับพวกเพื่อนๆ ฉันรู้ว่า แม่เป็นคนทอเสื้อให้ฉันใส่ ฉันดีใจมาก ฉันสวมเสื้อตัวนั้นแล้วเดินนำหน้าคนอื่นๆ เวลานั้นฉันรู้สึกว่า ใบหน้าของตัวเองเต็มอิ่มไปด้วยความร่าเริงยินดี
ชนกลุ่มน้อย
ชนกลุ่มน้อย
 ไม่มองซ้ายขวาหน้าหลัง  เดินเข้าไปหาแล้วโอบกอด   "ได้กลิ่นมั้ย" ผมถาม"เหมือนน้ำมัน" เขาตอบ"ใช่  ในตัวเขามีน้ำมัน" .. บทสนทนาระหว่างโอบกอด  เป็นเช่นนี้จริงๆ