Skip to main content


ห่างออกมาจากหมู่บ้านหนองเต่าไม่กี่โค้งถนน พลันปรากฎรถกระบะสีเลือดหมู
หัวทิ่มหัวตำต้นไม้ข้างทาง ในสภาพชวนให้ตกใจ คือหัวทิ่มลงไปในหุบเหว หากต้นไม้ไม่กั้นไว้ มันคงกลายเป็นกระป๋องบุบบิบอยู่ก้นเหวเป็นแน่


น่าดีใจอยู่อย่างเดียว ดูทุกคนปลอดภัย หญิงลูกสองในชุดเสื้อผ้าปกาเกอะญอ ชายวัยกลางคนกับเด็กหนุ่มที่เดินงุ่นง่านไปมา ผมเป็นคนแรกที่ผ่านมาเห็น เหตุการณ์เพิ่งเกิดสดๆร้อนๆ ผมจอดรถมอเตอร์ไซค์คู่ชีพแล้วรีบเดินเข้าไปหา พร้อมถามอีกครั้งว่า ไม่มีใครเป็นอะไรมากใช่ไหม


ผมได้รับคำอธิบายเพิ่มเติมจากเด็กหนุ่ม ว่าพ่อเขากำลังฝึกหัดขับรถ ยังขับได้ไม่ชำนาญ พอเข้าทางโค้งหักศอกไต่ขึ้นที่ลาดชัน พ่อเขาเกิดตกใจ หมุนพวงมาลัยจนรถตกถนน ฝ่ายคนเป็นพ่อก็นั่งหน้าตาเบื่อโลก


ผมถามเด็กหนุ่มว่า ผมช่วยอะไรได้บ้าง ให้ไปบอกคนในหมู่บ้าน หรืออย่างไรก็บอกมา แต่เด็กหนุ่มตอบว่า ไม่เป็นไร


ผมนั่งเฝ้าคอยเป็นเพื่อนกับพวกเขาด้วย ทั้งที่ไม่รู้จะช่วยเหลืออะไรได้บ้าง เด็กวัยสี่ห้าขวบเดินป้วนเปี้ยนไปมา พันแข้งพันขาคนเป็นแม่


แล้วรถมอเตอร์ไซค์ก็ผ่านมา แล้วก็มีคนลงมาถามไถ่ อีกคันและอีกคัน ทุกคนที่ผ่านมายามนี้ หยุดรถแล้วอยู่เป็นเพื่อน จากนั้นก็เป็นรถยนต์ เข้ามาจอดแล้วถามไถ่ความเป็นไป รถยนต์อีกคันและอีกคันก็จอดเทียบข้างถนน


ยามนี้กลายเป็นกลุ่มคนที่มีกำลังพอจะยกรถยนต์ทั้งคันได้สบาย นับคนได้เกือบ 30 คน ราวกับมีงานนัดหมายกันข้างถนน เสียงพูดภาษาปกาเกอะญอดังลั่น ต่างมีสีหน้าเห็นอกเห็นใจ แต่เด็กหนุ่มเจ้าของรถยืนยันจะรอเพื่อนขับรถกระบะมาช่วย


ผมพอรู้แผนการณ์กู้รถขึ้นมาจากปากเหว ว่าใช้รถลากขึ้นมา แต่รถยนต์ไม่ใช่เหล็กเบาๆที่จะลากกันได้ง่ายๆ พอกระบะมาถึงพร้อมเชือก ทุกอย่างก็เกิดขึ้นราวกับจัดแบ่งหน้าที่กันทำก่อนแล้ว เชือกผูกล่ามแล้วช่วยกันยื้อลากดึงขึ้นมา ราวกับน้ำหนักรถเป็นกระป๋องจริงๆ


ผมจากพวกเขามา ด้วยความรู้สึกโล่ง รถคันนั้นไปต่อได้แล้ว



ราวกับว่าความยุ่งยากเพิ่งผ่านไปชั่วครู่ ผมเห็นรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งจอดอยู่ข้างทาง คนนั่งมาด้วยเป็นหญิงสาว ส่วนคนขับเป็นเด็กหนุ่มกำลังเป่าลมใส่ปากถังน้ำมัน


ผมพอคาดเดาได้ว่า น้ำมันหมด

น้ำมันหมดใช่มั้ย แบ่งน้ำมันไปหน่อยมั้ย ใช้น้ำมันอะไร” ผมยิงคำถามใส่ทันที

ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวจะถึงปั้มน้ำมันแล้ว” ในใจผมคิดว่า ขนาดนี้แล้วยังเกรงใจกันอยู่อีกหรือ


ผมรอให้เขาสตาร์ทเครื่อง เขาคงมั่นใจว่าเป่าลมใส่ถัง ดันน้ำมันไปตามสาย คงช่วยได้กระมัง เปล่า... สตาร์ทไม่ติด

ผมไม่รีรอ ถามเขาอีกครั้ง ใช้น้ำมันอะไร พอรู้ว่าเบนซิน91 ผมรีบเปิดเบาะรถออกทันที สายตาก็มองหาถุงพลาสติกในเป้ ถุงใส่ฟิล์มน่าจะมี เปล่า--ไม่มี มองหาภาชนะข้างถนน เป็นถุงหรือกระป๋อง เปล่า--ไม่มี


แต่แล้วผมเห็นขวดเครื่องดื่มยาชูกำลังยี่ห้อหนึ่ง แถมมีให้เลือกอีกต่างหาก นอนก่ายคู่กัน เลือกเอาขวดใหม่กว่า ยังมีเครื่องดื่มติดก้นขวด สะบัดน้ำออกไป แล้วจ่อกับสายยางต่อจากถังน้ำมัน

อยู่บ้านไหน” ผมถามขณะเขาใส่น้ำมัน 1 ขวดยาชูกำลังลงถัง

ห้วยอีค่าง” เท่านั้นแหละ เรื่องที่จะพูดสืบสาวก็ตามมา


ผมคุ้นเคยกับหมู่บ้านนี้ ขนาดเข้าออกหมู่บ้านจนเห็นบ้านแต่ละหลัง ทุ่งนา ที่ราบเพาะปลูก เห็นสายเหมืองได้เต็มตา รวมไปถึงการถามไถ่ถึงคนที่ผมคุ้นเคย

แควาเป็นพี่ของพ่อผม” เด็กหนุ่มพูดยิ้มกว้างขวาง

เอาอีกขวดนะ ใส่ให้พอนะ” ผมบอกเขา

พอแล้วครับ นิดเดียวก็ถึงปั้มน้ำมันแล้ว” เขาเกรงใจแน่ๆ เพราะระยะทางจากนี้ ไม่ใช่ใกล้ๆ ผมตัดสินใจขับตามเขาไป


พอเขาถึงปั้ม เราก็โบกมือส่งท้ายให้กัน

พอลงหุบเขา ปรากฏหญิงสาวสูงโปร่งผมบรอนเดินอยู่ข้างทางเปลี่ยว มือหนึ่งถือสมุดบันทึก อีกมือจับแผ่นกระดาษมีภาพวาด ผมจะขับผ่านแล้ว

ขอโทษ มีอะไรให้ช่วยบ้าง ให้ผมไปส่งมั้ย” ผมถามเป็นภาษาอังกฤษแบบคิดแล้วคิดอีก ว่าจะสื่อสารประโยคใดออกไป

โอเค ขอบคุณ” เขาตอบกลับมา

ยูไปลงที่ไหน” ผมถามอย่างนี้จริงๆ

อีลีเฟนแค็มป์” เขาตอบเป็นภาษาอังกฤษแล้วถามต่อว่า ผมรู้จักมั้ย

ไอโน” ผมตอบ


มันเป็นการเดินทางที่ดูขาดๆเกินๆครั้งหนึ่งของผม ในวันที่ผ่านวาเลนไทม์เดย์ไปเพียง 4 วัน ผมฝันถึงแผ่นดินน่าอยู่ โลกน่าอยู่มาตลอด ฟังคนอื่นพูดมานับครั้งไม่ถ้วน แต่การได้ตอบตัวเองชัดๆ แม้เพียงครั้งเดียว ก็ปรากฏคำตอบที่ผมอยากให้คนอื่นฟังผมบ้างสักครั้ง


**
หมายเหตุ งานชิ้นนี้เคยตีพิมพ์ในคอลัมน์ คนคือการเดินทาง เสาร์สวัสดี นสพ.กรุงเทพธุรกิจรายวัน(เสาร์) ในนามชื่อจริง เมื่อเสาร์ 7 มีนาคม 2552 ที่ผ่านมา

 

 

บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
พ่อของลูกคือลูกของพ่อ ล้วงหนังสือ “เจ้าชายน้อย” ออกจากกระเป๋าสะพาย เป็นเล่มเดียวที่ติดตัวไปด้วยทุกครั้งที่ลูกชายเดินทางไปด้วย และไม่อาจรู้หรอกว่าจะได้เปิดอ่านในช่วงไหนเวลาไหน ลูกของพ่อคือหลานของปู่กำลังง่วนอยู่กับสมุด ดินสอ สีในกระเป๋าเช่นกัน เขาคงนึกอยากเขียนภาพ
ชนกลุ่มน้อย
เดินทางแบบกระเด็นกระดอนอยู่ในกระป๋องหนาหนักติดล้อ  และความยาวนานของระยะทาง  กว่า 5 ชั่วโมงไปให้ถึงใจกลางภูเขา  แต่ยิ่งคิดว่าเมื่อไหร่จะถึงใจกลางภูเขาตามมาตรวัดของแผนที่แผ่กางออกกว้าง  ยิ่งกลับเป็นเรื่องยากไปถึงใจกลางภูเขาที่อยู่ในใจ  ภูเขาเป็นทะมึนก่อกำแพงรายล้อม  
ชนกลุ่มน้อย
    เป็นเวลา 10 กว่าปี ที่ผมไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับพ่อใต้ชายคาเดียวกันนานๆ แต่คราวนี้ พ่ออยู่กับผมนานถึง 90 วัน พ่อในวัย 74 เพิ่งผ่านการบำบัดรักษาหัวใจอย่างชนิดลุ้นเส้นยาแดงผ่าแปดกันมา และต้องควบคุมตัวเองเรื่องการดื่ม กิน เคลื่อนไหว และเคร่งครัดกับขนาดจำนวนยารักษาอย่างชนิดห้ามขาดเกินเวลา
ชนกลุ่มน้อย
ไหนๆ ก็กอดกันแล้ว กอดต่ออีกครั้งเป็นไรไป ภูเขาลูกนั้นมีเถียงไร่ตั้งอยู่โดดเด่นและโดดเดี่ยว สองพ่อลูกชวนกันไปยังเถียงไร่ ที่นั่นคงสบายตา ดูลับหูลับตาคน ไม่มีใครไป พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว กลับพบกับไม้สามต้น ดูราวเป็นพี่น้องกัน ทรงพุ่มงามเหลือเกิน เหมือนก้อนเมฆย้อมสีเขียวเกิดเปลี่ยนใจอยากมาปักเป็นต้นไม้อยู่บนผืนดิน มองแล้วมองอีก ยังไม่อิ่ม “กอดดีกว่าพ่อ” เสียงนั้นบอก “พ่อกอดด้วย” นานอย่างนาน ผลัดกันกอดไม้สามต้นนั้น
ชนกลุ่มน้อย
 ขอทะลึ่งๆ เว่อร์ๆ อีกสักครั้งเถอะครับ ผมรู้สึกอย่างนี้จริงๆ ทันทีที่นึกอยากเขียน และโชว์รูปที่น่าจะอยู่ในอัลบั้มรูปส่วนตัว ว่างๆก็เอามาแบวางออกดูและรำลึกถึง มากกว่านำออกมาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าสายตาสาธารณะ ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า เบื่อๆ เซาๆ ซึมๆ ว่างมาก มาทำเรื่องดูดีกันมั้ยลูก   มา ม๊า มาทำซึ้งกันสักครั้งดีกว่ามั้ย"เอ้า เอาเลย กอดกันเลยลูก" พูดแค่นั้นเจ้าชายน้อยโผประจำการทันที ผมไล่ตามเก็บรูป"พ่อกอดมั้ย" เขาถามกลับมา"กอดสิ ต้องกอดแน่ๆ ว่างแล้วยัง" หมายถึงไม้ต้นนั้น หมายตาไว้เหมือนกัน และถูกรักหลงในเวลาอันรวดเร็ว"ถ่ายรูปมั้ย" เขายึดกล้องไปกดรูปวันนั้น…
ชนกลุ่มน้อย
ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี ที่ผมตระเวนท่องไปตามป่าเขาในภาคเหนือ ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเผชิญหน้าจริงๆ กับพายุลมแรงที่หอบน้ำแข็งมาด้วย จนติดตรึงอยู่ในพายุน้ำแข็ง ไม่เห็นทางข้างหน้าและไม่เห็นทางข้างหลัง ขยับไปไหนไม่ได้ ราวกับทุกอย่างตกอยู่เหนือการควบคุม นอกจากยอมรับสภาพแล้วจำนนกับความเป็นไป
ชนกลุ่มน้อย
วันที่ 8 มีนาคม 2552 ผมนั่งเคียงข้างพ้อเลป่า ก่อนเดินทางกลับ ผมบอกว่า อีกสองสามอาทิตย์จะเข้ามาเยี่ยมอีกครั้ง เวลาผ่านไปสามอาทิตย์กว่า ตรงกับวันที่ 2 เมษายน 2552 พ้อเลป่าก็จากไปจริงๆ ผมไปถึงบ้านแม่แฮคี้ตอนบ่ายแก่ๆวันต่อมา บ้านไม้ริมถนนมีคนจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่บนบ้าน ไล่เรียงอออกมานอกประตูบ้าน ผู้เฒ่ากวีแห่งแม่แฮใต้จากไปจริงๆ รูปวางถ่ายไว้บนโลงไม้ รูปสูบไปป์ที่คุ้นเคย พร้อมดอกไม้สัญลักษณ์ของความอาลัย
ชนกลุ่มน้อย
 เมื่อฉันเริ่มจำความได้ ฉันเที่ยวเล่นกับพวกเพื่อนๆ ฉันรู้ว่า แม่เป็นคนทอเสื้อให้ฉันใส่ ฉันดีใจมาก ฉันสวมเสื้อตัวนั้นแล้วเดินนำหน้าคนอื่นๆ เวลานั้นฉันรู้สึกว่า ใบหน้าของตัวเองเต็มอิ่มไปด้วยความร่าเริงยินดี
ชนกลุ่มน้อย
ชนกลุ่มน้อย
 ไม่มองซ้ายขวาหน้าหลัง  เดินเข้าไปหาแล้วโอบกอด   "ได้กลิ่นมั้ย" ผมถาม"เหมือนน้ำมัน" เขาตอบ"ใช่  ในตัวเขามีน้ำมัน" .. บทสนทนาระหว่างโอบกอด  เป็นเช่นนี้จริงๆ