Skip to main content
ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี ที่ผมตระเวนท่องไปตามป่าเขาในภาคเหนือ ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเผชิญหน้าจริงๆ กับพายุลมแรงที่หอบน้ำแข็งมาด้วย จนติดตรึงอยู่ในพายุน้ำแข็ง ไม่เห็นทางข้างหน้าและไม่เห็นทางข้างหลัง ขยับไปไหนไม่ได้ ราวกับทุกอย่างตกอยู่เหนือการควบคุม นอกจากยอมรับสภาพแล้วจำนนกับความเป็นไป



 

ธรรมชาติยิ่งใหญ่ มนุษย์เล็กเสียเหลือเกิน

รถยนต์ทั้งคัน กลายสภาพจากยานพาหนะเหล็กหนักๆทึบๆ มีสภาพไม่ต่างไปจากกระป๋องบางๆ ตั้งวางตากฝนพายุ ที่สำคัญนั้นมี 6 ชีวิตอยู่ในนั้นด้วย

ผมบอกให้ทุกคนช่วยมองยอดสน ดูว่ามันลู่โอนเอนไปทิศทางไหน เพื่อจะจอดรถไว้ในระยะปลอดภัย ไม่โดนต้นสนหักโค่น


รู้กันอยู่ว่า ยอดสนถูกปลิดออกไปง่ายดาย เหมือนมีมือมหึมายื่นมาปลิด ทิ้งใส่บ้านคนบ้าง ทิ้งลงข้างทางบ้าง ทุกอย่างเป็นไปอย่างรวดเร็วเหมือนโดนแกล้ง

บนระดับความสูงของป่าสน ความสูงกว่า 700 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลขึ้นไป เป็นความสูงของสังคมไม้สน หากมองผ่านสายตานก ก็คงเห็นป่าสนทอดตัวเป็นงูดำใหญ่ยักษ์พาดผ่านเทือกเขาเป็นบริเวณกว้างบนภูเขาภาคเหนือ

กระหวัดหวีดหวิวแทรกไปท่ามกลางป่าแล้ง ป่าเบญจพรรณ และป่าดิบเขา

ยามพายุเคลื่อนตัวผ่าน ดูราวงูใหญ่ดำเมื่อมตื่นตัว พลิกตัวพัลวันป่ายขยับตัวไปมาให้ดูขนลุกขนพอง อีกทั้งเสียงที่เปล่งออกมาราวกับอาการโห่ร้อง ชวนหวาดหวั่นยิ่งนัก


 

ก่อนหน้าจะเกิดพายุ สัญญาณบอกแต่เพียงความอึมครึม หม่นมัวซัวไปทุกด้าน ต้นสนยืนต้นนิ่งสงบเหมือนยืนต้อนรับขบวนแห่ ความอบอ้าวแห้งแล้งเดือนมีนาคมเหมือนจะส่งสัญญาณแตกต่าง

แล้วละอองฝนปรอยก็โปรยลงมาบางๆ

เพียงชั่วอึดใจเดียวเท่านั้น ฝนตกเป็นเม็ดโตๆก็ค่อยๆโปรย หนักขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งในชั่วพริบตา เหมือนมีเกล็ดแก้วตกใส่หลังคารถ


ผมไม่นึกว่า พายุกำลังเดินทางผ่านมา พายุกำลังข้ามถนน และยากจะคาดเดาว่า นาทีต่อนาทีจะเกิดเหตุเพศภัยใดๆขึ้นบ้าง

ฟ้าแลบแปลบแล้วตามด้วยฟ้าผ่า ฮึ่มๆ.. แล้วสายฟ้าก็แตกเป็นรากไม้แห่งแสงสว่างกลางอากาศ


"
ผีมักไปแต่งงานหน้าแล้ง เดินทางมายังป่าสนต้องระวังพายุ หาที่หลบดีๆ อย่าอยู่ในรัศมีของต้นสนโค่น ถ้าผีเลือกเดินไปทางไหน มันหักทุกอย่างราบไปต่อหน้าต่อตา" คำชาวบ้านในป่าสนบอกต่อกันมาอย่างนั้น

ผมไม่เคยนึกว่าต้องตกอยู่ในบรรยากาศหยุดชมขบวนแห่ผีไปแต่งงาน

"ทางหลบได้นั้นต้องนอนราบกับพื้น หาที่กำบัง อยู่ในรถก็ไม่ปลอดภัย มันอาจยกรถไปได้ง่ายๆ"

แต่ทุกคนอยู่กันในรถ


  

 

ในช่วงเวลาผ่านไปอย่างอืดอาดยืดยาด เหมือนเข็มนาฬิกาแช่นิ่งอยู่ที่เดียว เสียงฝนกรวดเย็นยิ่งกระหน่ำหนักขึ้นเรื่อยๆ

ฝนน้ำแข็งยังตกต่อเนื่องหนักขึ้นเรื่อยๆ ก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ โหมกระหน่ำมาจากทุกทิศทุกทาง กระทั่งรถไม่อาจเคลื่อนไปได้อีกแล้ว ทางข้างหน้าเป็นหมอกหนาลอยข้ามถนนเหมือนพวยพุ่ง มองไม่เห็นถนน บนท้องฟ้าก็ยังมีฟ้าแลบฟ้าร้องฟ้าผ่าแทบตลอดเวลา


"
เราคาดเดาไม่ได้ว่าขบวนแห่ของผีไปแต่งงาน จะเริ่มจากทิศไหน ไปทางไหน และขบวนแห่จะหยุดเห่ หยุดโห่ร้องอีกนานแค่ไหน"

เสียงพูดคุยในรถ ไม่พ้นเรื่องน้ำกลายเป็นน้ำแข็ง พุ่งมากลางฟ้าอากาศ ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นานเหลือเกินที่ไม่เห็นน้ำแข็งตกหนักอย่างนี้

หรือไม่ก็บอกว่า เป็นความทรงจำครั้งแรกในชีวิต

นานนับชั่วโมง ที่เรายอมจำนนอยู่กับที่ ยอดสนใกล้ไกลพัดไหวโอนเอนตามลม โน้มกิ่งใบต่ำให้ดูหวาดเสียว ชวนหวาดหวั่นใจ


  

 

เมื่ออยู่ร่วมเฝ้าสังเกตการณ์ "ผีไปแต่งงาน" จึงรู้ว่ายามไม้สนอยู่ร่วมกับลม และแข็งขืนกับพายุลมแรงนั้น ท้องไส้ชวนปั่นป่วนเหลือเกิน นับเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ผมไล่ตามเก็บภาพขบวนแห่ผีไปแต่งงานไว้ได้ในระยะประชิด

 

 

 

 

บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
พ่อของลูกคือลูกของพ่อ ล้วงหนังสือ “เจ้าชายน้อย” ออกจากกระเป๋าสะพาย เป็นเล่มเดียวที่ติดตัวไปด้วยทุกครั้งที่ลูกชายเดินทางไปด้วย และไม่อาจรู้หรอกว่าจะได้เปิดอ่านในช่วงไหนเวลาไหน ลูกของพ่อคือหลานของปู่กำลังง่วนอยู่กับสมุด ดินสอ สีในกระเป๋าเช่นกัน เขาคงนึกอยากเขียนภาพ
ชนกลุ่มน้อย
เดินทางแบบกระเด็นกระดอนอยู่ในกระป๋องหนาหนักติดล้อ  และความยาวนานของระยะทาง  กว่า 5 ชั่วโมงไปให้ถึงใจกลางภูเขา  แต่ยิ่งคิดว่าเมื่อไหร่จะถึงใจกลางภูเขาตามมาตรวัดของแผนที่แผ่กางออกกว้าง  ยิ่งกลับเป็นเรื่องยากไปถึงใจกลางภูเขาที่อยู่ในใจ  ภูเขาเป็นทะมึนก่อกำแพงรายล้อม  
ชนกลุ่มน้อย
    เป็นเวลา 10 กว่าปี ที่ผมไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับพ่อใต้ชายคาเดียวกันนานๆ แต่คราวนี้ พ่ออยู่กับผมนานถึง 90 วัน พ่อในวัย 74 เพิ่งผ่านการบำบัดรักษาหัวใจอย่างชนิดลุ้นเส้นยาแดงผ่าแปดกันมา และต้องควบคุมตัวเองเรื่องการดื่ม กิน เคลื่อนไหว และเคร่งครัดกับขนาดจำนวนยารักษาอย่างชนิดห้ามขาดเกินเวลา
ชนกลุ่มน้อย
ไหนๆ ก็กอดกันแล้ว กอดต่ออีกครั้งเป็นไรไป ภูเขาลูกนั้นมีเถียงไร่ตั้งอยู่โดดเด่นและโดดเดี่ยว สองพ่อลูกชวนกันไปยังเถียงไร่ ที่นั่นคงสบายตา ดูลับหูลับตาคน ไม่มีใครไป พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว กลับพบกับไม้สามต้น ดูราวเป็นพี่น้องกัน ทรงพุ่มงามเหลือเกิน เหมือนก้อนเมฆย้อมสีเขียวเกิดเปลี่ยนใจอยากมาปักเป็นต้นไม้อยู่บนผืนดิน มองแล้วมองอีก ยังไม่อิ่ม “กอดดีกว่าพ่อ” เสียงนั้นบอก “พ่อกอดด้วย” นานอย่างนาน ผลัดกันกอดไม้สามต้นนั้น
ชนกลุ่มน้อย
 ขอทะลึ่งๆ เว่อร์ๆ อีกสักครั้งเถอะครับ ผมรู้สึกอย่างนี้จริงๆ ทันทีที่นึกอยากเขียน และโชว์รูปที่น่าจะอยู่ในอัลบั้มรูปส่วนตัว ว่างๆก็เอามาแบวางออกดูและรำลึกถึง มากกว่านำออกมาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าสายตาสาธารณะ ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า เบื่อๆ เซาๆ ซึมๆ ว่างมาก มาทำเรื่องดูดีกันมั้ยลูก   มา ม๊า มาทำซึ้งกันสักครั้งดีกว่ามั้ย"เอ้า เอาเลย กอดกันเลยลูก" พูดแค่นั้นเจ้าชายน้อยโผประจำการทันที ผมไล่ตามเก็บรูป"พ่อกอดมั้ย" เขาถามกลับมา"กอดสิ ต้องกอดแน่ๆ ว่างแล้วยัง" หมายถึงไม้ต้นนั้น หมายตาไว้เหมือนกัน และถูกรักหลงในเวลาอันรวดเร็ว"ถ่ายรูปมั้ย" เขายึดกล้องไปกดรูปวันนั้น…
ชนกลุ่มน้อย
ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี ที่ผมตระเวนท่องไปตามป่าเขาในภาคเหนือ ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเผชิญหน้าจริงๆ กับพายุลมแรงที่หอบน้ำแข็งมาด้วย จนติดตรึงอยู่ในพายุน้ำแข็ง ไม่เห็นทางข้างหน้าและไม่เห็นทางข้างหลัง ขยับไปไหนไม่ได้ ราวกับทุกอย่างตกอยู่เหนือการควบคุม นอกจากยอมรับสภาพแล้วจำนนกับความเป็นไป
ชนกลุ่มน้อย
วันที่ 8 มีนาคม 2552 ผมนั่งเคียงข้างพ้อเลป่า ก่อนเดินทางกลับ ผมบอกว่า อีกสองสามอาทิตย์จะเข้ามาเยี่ยมอีกครั้ง เวลาผ่านไปสามอาทิตย์กว่า ตรงกับวันที่ 2 เมษายน 2552 พ้อเลป่าก็จากไปจริงๆ ผมไปถึงบ้านแม่แฮคี้ตอนบ่ายแก่ๆวันต่อมา บ้านไม้ริมถนนมีคนจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่บนบ้าน ไล่เรียงอออกมานอกประตูบ้าน ผู้เฒ่ากวีแห่งแม่แฮใต้จากไปจริงๆ รูปวางถ่ายไว้บนโลงไม้ รูปสูบไปป์ที่คุ้นเคย พร้อมดอกไม้สัญลักษณ์ของความอาลัย
ชนกลุ่มน้อย
 เมื่อฉันเริ่มจำความได้ ฉันเที่ยวเล่นกับพวกเพื่อนๆ ฉันรู้ว่า แม่เป็นคนทอเสื้อให้ฉันใส่ ฉันดีใจมาก ฉันสวมเสื้อตัวนั้นแล้วเดินนำหน้าคนอื่นๆ เวลานั้นฉันรู้สึกว่า ใบหน้าของตัวเองเต็มอิ่มไปด้วยความร่าเริงยินดี
ชนกลุ่มน้อย
ชนกลุ่มน้อย
 ไม่มองซ้ายขวาหน้าหลัง  เดินเข้าไปหาแล้วโอบกอด   "ได้กลิ่นมั้ย" ผมถาม"เหมือนน้ำมัน" เขาตอบ"ใช่  ในตัวเขามีน้ำมัน" .. บทสนทนาระหว่างโอบกอด  เป็นเช่นนี้จริงๆ