Skip to main content

3

ขณะรถแล่นไป  เราพูดถึงแต่สิ่งที่อยู่ข้างหน้า  และย้อนนึกถึงสิ่งที่ผ่านมา  จนแทบไม่คิดถึงเรื่องขณะปัจจุบัน  ทันทีที่รถมาถึงโค้งหนึ่งนั่นเอง  พะเลอโดะหักหลบลงข้างทางอย่างกะทันหัน รถวิ่งไปบนพื้นขรุขระตึงๆตังๆ  พร้อมกับดับไฟหน้ารถ  ผมเห็นแต่ความมืดสลัว  และตะคุ่มพุ่มไม้ ใบบังที่แสงจันทร์เสี้ยวพอให้มองเห็นได้  

เหมือนว่าซอมีญอกับกะฌอจะเข้าถึงกลิ่นลอยมาล่วงหน้า  ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า  เขาหายไปจากที่นั่ง  หลบไปอยู่ที่ใดที่หนึ่ง  ผมถามพะเลอโดะว่ามีอะไร  ลุงเวยซาเช่นกัน  นั่งลุกลี้ลุกลนหันซ้ายหันขวา  สัมผัสได้ถึงสิ่งไม่ปกติ

“ข้างหน้ามีด่านตรวจ” พะเลอโดะพูดสั้นเพียงนั้น  อย่างกับได้กลิ่นอันตรายบางอย่าง แล้วส่องไฟฉายจัดสิ่งของในรถเสียใหม่  มะพร้าวงอกหน่อสูงเท่าข้อศอก  หน่อกล้วย ถุงข้าว  ถุงเกลือ  หม้อสนาม เปล  ถุงนอน จอบเสียม  มีดทำสวน  ต้นไม้ในถุงเพาะชำอีกจำนวนหนึ่ง   ทำให้ดูประหนึ่งเป็นรถคนสวนแถบนี้

“พะตี  เขาถามให้บอกว่าไปโข่โละโกร”  พะเลอโดะหันไปพูดกับลุงเวยซา  ผมได้ยินลุงเวยซาพูด เหม่ เหม่ รับคำอยู่ในความมืด พวกโง่ทั้งนั้น  ยังเฝ้ายามกันอยู่”  พะเลโดะพูดไปหัวเราะไป  ผมเห็นความเด็ดขาด  การตัดสินใจฉับพลัน  และท่าทีไม่กลัวใครในเวลาสำคัญมาตลอด  เหมือนเขาเคลื่อนไหวอยู่ในเขตสู้รบ  โดยไม่มีอาวุธหรือกระสุนแม้แต่นัดเดียว

4

รถถอนตัวออกจากข้างทาง  อย่างกับลุกขึ้นมาจากหลุมก้อนหิน  ไฟหน้ารถสว่างโล่ไกลออกไป  เห็นไฟฉายหลายกระบอกส่องขวางถนนอยู่แล้ว  คนในชุดพรางอาวุธสงครามโบกมือไหวๆพร้อมโบกมือ  พะเลอโดะหยุดรถ  ไม่แสดงอาการตื่นกลัวใดๆ  กลับนั่งสง่านิ่งสงบอย่างกับผู้บังคับบัญชากำลังตรวจกำลังพลแนวหน้า

“ไปไหน” เสียงหนึ่งดังง้วนสั้น  ไฟฉายส่องแสงวาบเข้ามาในรถ  พะเลอโดะพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่เจือด้วยท่าทีอ่อนน้อมเจียมตน  
“ไปสาละวินครับ”
เสียงคำถามดังมาทางด้านประตูรถที่ผมนั่ง

“มาจากไหน” เสียงนั้นดังมาจากความมืด
“เชียงใหม่” ผมตอบแล้วยิ้มมุมปาก
“ช่วงนี้มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าครับ” พะเลอโดะโยนคำถาม
“ข้างในกำลังสู้รบ  มาแถบนี้กลางคืนไม่ปลอดภัย” เสียงหนึ่งดังสอดขึ้นมา
“ลุงไปไหน ไปทำอะไร”
“โข่โละโกร”
ลุงเวยซาพูดด้วยน้ำเสียงตื่นๆ  

พะเลอโดะพูดแทรกขึ้นมาว่า  ลุงอยู่แม่เงาขอติดรถมาด้วย  เอาต้นไม้ข้าวของไปฝากลูกหลาน

ไม่มีเสียงถามต่อ  แสงไฟฉายสาดไปทั่วรถ   ราวกับจะค้นหาสิ่งแปลกปลอมที่อาจแฝงตัวมากับฝุ่นในรถ   ผมเสียอีกกลับใจเต้นตึงๆตังๆ  ผมไม่รู้ว่าซอมีญอกับกะฌอไปแอบซ่อนอยู่ตรงไหนของตัวรถ  เกิดเขาค้นหาเจอ  จะมีอะไรเกิดขึ้นนับจากนี้ไป

“นี่อะไร”
เงียบกันชั่วอึดใจ  แสงไฟฉายสาดไปจ่อหน่อมะพร้าว

“ไปได้ๆ ระวังๆ หน่อยแล้วกัน” 
กลุ่มคนในชุดพรางหลีกทางให้  พะเลอโดะกล่าวขอบคุณ แสงไฟส่องไกลไปตามถนนที่คดเคี้ยวไปเรื่อยๆ

บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
พ่อของลูกคือลูกของพ่อ ล้วงหนังสือ “เจ้าชายน้อย” ออกจากกระเป๋าสะพาย เป็นเล่มเดียวที่ติดตัวไปด้วยทุกครั้งที่ลูกชายเดินทางไปด้วย และไม่อาจรู้หรอกว่าจะได้เปิดอ่านในช่วงไหนเวลาไหน ลูกของพ่อคือหลานของปู่กำลังง่วนอยู่กับสมุด ดินสอ สีในกระเป๋าเช่นกัน เขาคงนึกอยากเขียนภาพ
ชนกลุ่มน้อย
เดินทางแบบกระเด็นกระดอนอยู่ในกระป๋องหนาหนักติดล้อ  และความยาวนานของระยะทาง  กว่า 5 ชั่วโมงไปให้ถึงใจกลางภูเขา  แต่ยิ่งคิดว่าเมื่อไหร่จะถึงใจกลางภูเขาตามมาตรวัดของแผนที่แผ่กางออกกว้าง  ยิ่งกลับเป็นเรื่องยากไปถึงใจกลางภูเขาที่อยู่ในใจ  ภูเขาเป็นทะมึนก่อกำแพงรายล้อม  
ชนกลุ่มน้อย
    เป็นเวลา 10 กว่าปี ที่ผมไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับพ่อใต้ชายคาเดียวกันนานๆ แต่คราวนี้ พ่ออยู่กับผมนานถึง 90 วัน พ่อในวัย 74 เพิ่งผ่านการบำบัดรักษาหัวใจอย่างชนิดลุ้นเส้นยาแดงผ่าแปดกันมา และต้องควบคุมตัวเองเรื่องการดื่ม กิน เคลื่อนไหว และเคร่งครัดกับขนาดจำนวนยารักษาอย่างชนิดห้ามขาดเกินเวลา
ชนกลุ่มน้อย
ไหนๆ ก็กอดกันแล้ว กอดต่ออีกครั้งเป็นไรไป ภูเขาลูกนั้นมีเถียงไร่ตั้งอยู่โดดเด่นและโดดเดี่ยว สองพ่อลูกชวนกันไปยังเถียงไร่ ที่นั่นคงสบายตา ดูลับหูลับตาคน ไม่มีใครไป พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว กลับพบกับไม้สามต้น ดูราวเป็นพี่น้องกัน ทรงพุ่มงามเหลือเกิน เหมือนก้อนเมฆย้อมสีเขียวเกิดเปลี่ยนใจอยากมาปักเป็นต้นไม้อยู่บนผืนดิน มองแล้วมองอีก ยังไม่อิ่ม “กอดดีกว่าพ่อ” เสียงนั้นบอก “พ่อกอดด้วย” นานอย่างนาน ผลัดกันกอดไม้สามต้นนั้น
ชนกลุ่มน้อย
 ขอทะลึ่งๆ เว่อร์ๆ อีกสักครั้งเถอะครับ ผมรู้สึกอย่างนี้จริงๆ ทันทีที่นึกอยากเขียน และโชว์รูปที่น่าจะอยู่ในอัลบั้มรูปส่วนตัว ว่างๆก็เอามาแบวางออกดูและรำลึกถึง มากกว่านำออกมาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าสายตาสาธารณะ ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า เบื่อๆ เซาๆ ซึมๆ ว่างมาก มาทำเรื่องดูดีกันมั้ยลูก   มา ม๊า มาทำซึ้งกันสักครั้งดีกว่ามั้ย"เอ้า เอาเลย กอดกันเลยลูก" พูดแค่นั้นเจ้าชายน้อยโผประจำการทันที ผมไล่ตามเก็บรูป"พ่อกอดมั้ย" เขาถามกลับมา"กอดสิ ต้องกอดแน่ๆ ว่างแล้วยัง" หมายถึงไม้ต้นนั้น หมายตาไว้เหมือนกัน และถูกรักหลงในเวลาอันรวดเร็ว"ถ่ายรูปมั้ย" เขายึดกล้องไปกดรูปวันนั้น…
ชนกลุ่มน้อย
ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี ที่ผมตระเวนท่องไปตามป่าเขาในภาคเหนือ ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเผชิญหน้าจริงๆ กับพายุลมแรงที่หอบน้ำแข็งมาด้วย จนติดตรึงอยู่ในพายุน้ำแข็ง ไม่เห็นทางข้างหน้าและไม่เห็นทางข้างหลัง ขยับไปไหนไม่ได้ ราวกับทุกอย่างตกอยู่เหนือการควบคุม นอกจากยอมรับสภาพแล้วจำนนกับความเป็นไป
ชนกลุ่มน้อย
วันที่ 8 มีนาคม 2552 ผมนั่งเคียงข้างพ้อเลป่า ก่อนเดินทางกลับ ผมบอกว่า อีกสองสามอาทิตย์จะเข้ามาเยี่ยมอีกครั้ง เวลาผ่านไปสามอาทิตย์กว่า ตรงกับวันที่ 2 เมษายน 2552 พ้อเลป่าก็จากไปจริงๆ ผมไปถึงบ้านแม่แฮคี้ตอนบ่ายแก่ๆวันต่อมา บ้านไม้ริมถนนมีคนจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่บนบ้าน ไล่เรียงอออกมานอกประตูบ้าน ผู้เฒ่ากวีแห่งแม่แฮใต้จากไปจริงๆ รูปวางถ่ายไว้บนโลงไม้ รูปสูบไปป์ที่คุ้นเคย พร้อมดอกไม้สัญลักษณ์ของความอาลัย
ชนกลุ่มน้อย
 เมื่อฉันเริ่มจำความได้ ฉันเที่ยวเล่นกับพวกเพื่อนๆ ฉันรู้ว่า แม่เป็นคนทอเสื้อให้ฉันใส่ ฉันดีใจมาก ฉันสวมเสื้อตัวนั้นแล้วเดินนำหน้าคนอื่นๆ เวลานั้นฉันรู้สึกว่า ใบหน้าของตัวเองเต็มอิ่มไปด้วยความร่าเริงยินดี
ชนกลุ่มน้อย
ชนกลุ่มน้อย
 ไม่มองซ้ายขวาหน้าหลัง  เดินเข้าไปหาแล้วโอบกอด   "ได้กลิ่นมั้ย" ผมถาม"เหมือนน้ำมัน" เขาตอบ"ใช่  ในตัวเขามีน้ำมัน" .. บทสนทนาระหว่างโอบกอด  เป็นเช่นนี้จริงๆ