Skip to main content

อย่างหนึ่งต้องทำ  นั่นคือผมต้องไปสวนยาง เดินทางมากว่าหนึ่งพันกิโลเมตร  เดินต่อไปอีกสองสามกิโลเมตร  ไม่ใช่เรื่องยากเลย  พลันไปยืนอยู่ท่ามกลางต้นยาง  ความโปร่งโล่งก็ปรากฏ  จับจิตจับใจ  แน่นอนว่า ไม่ใช่ความรู้สึกของการงานคนกรีดยาง (ตัดยาง) แน่ๆ  เพราะธรรมชาติของการตัดยางนั้น  เป็นงานที่เหนื่อยหนักเอาการ (ออกอาการ) ทีเดียว

20080424 1

แต่ผมไปในชั่วโมงนี้แบบตากอากาศ ลมพัดแรง ไม่ได้ยินเสียงอย่างอื่น นอกจากเสียงใบยางดังลั่นสนั่นป่า เปลี่ยว ลิบๆ ว่างเวิ้งโหวงเหวง ต้นยางต่อต้นเป็นแถวเป็นแนวสุดตา ไม่มีใครอยากมาเดินดูชมอะไรตามลำพังเช่นนี้หรอก  
      
เว้นแต่จะเข้ามาเก็บขี้ยาง ใส่ปุ๋ย หรืออะไรก็ตามที่ข้องเกี่ยวกับการเก็บเกี่ยว  และเพิ่มพูนเพิ่มเติมให้ต้นยาง

พูดง่ายๆ ว่าไม่มีใครมีเวลาว่างให้เดินลอยหน้าลอยตาในสวนยาง

20080424 2

หน้ายางอยู่สูง  ถึงขั้นต้องใช้บันไดปีนขึ้นไป  ภาษาตัดยางเรียกกันว่า ยางฉอย ให้ความรู้สึกเหมือนสอยเอาน้ำยางลงมาจากยอดยังไงยังงั้น   

หน้ายางดำเป็นปื้นติดต้น เหมือนคนยืนร้องไห้เป็นสายเลือดเหนียวหนืดมาเป็นปี  ร้องจนขี้มูกขี้ตาไหลกลบทับชั้นใหม่ชั้นเก่า   

ยิ่งมอง หน้ายางยิ่งดูเศร้าสลดหดหู่เหลือเกิน
(ขอโทษ ต้นยางอาจไม่รู้สึกเช่นนั้นก็ได้)

20080424 3

ผมเคยตื่นตีหนึ่งตีสองหลังเที่ยงคืน  ช่วยพ่อแม่ตัดยางมาตั้งแต่เรียนชั้นประถม  ตัดยางเสร็จก็ไปโรงเรียน  ตัดยางมาเรื่อย  

น้ำยางนั่นเอง  ที่ช่วยผลักดันหลังผมให้ออกเดินไปข้างหน้า  

วันที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งเลือกกลับหมู่บ้าน  กลับมาตัดยาง  หันหลังให้ใบปริญญานำไปสมัครงาน  ในนามของการงานที่ดี  มีเกียรติ  มีสวัสดิการ  มีระดับความเป็นอยู่ในสังคม  มีชื่อ  มีชั้น  มีคำยกย่องเชิดชู  มีความหวังของญาติตระกูล  มีแบบมีฟอร์ม  ดูดีเต็มบรรทัด ฯลฯ

20080424 4

กลับไปยืนอยู่อีกฟากตรงข้าม  กลับมาเวียนโคนยาง  เขียนบทกวีตอนกลางคืน   บทกวีชิ้นหนึ่ง  เด็กหนุ่มทุ่มเทสร้างและลุ้นสุดใจ   เขานึกประโยคงามๆได้หลายประโยค  แต่ไม่มีปากกาอยู่ในมือ  เขาจัดการสร้างกระดาษบนพื้นดิน  

กวาดใบไม้  เกลี่ยดินให้ราบเรียบ

มีแสงไฟแก๊ซถ่านหินส่องหน้ากระดาษดิน  ใช้ไม้แทนดินสอ  ขีดเขียนจนจบ  
พอกลับถึงบ้าน   เขารีบปั่นจักรยานกลับไป  พร้อมสมุดบันทึกกับดินสอ  ไปลอกบทกวี  เขาไปด้วยความตื่นเต้น  แต่พอใกล้จะถึง  เขาเกิดความว้าเหว่อย่างประหลาด

เปล่า  ไม่ใช่กระดาษดินกลายเป็นอื่น   แต่เขาห่วงว่าจะมีใครสักคน  มาเห็นเขากำลังนั่งเขียนอะไรอยู่คนเดียว  แบบไม่พูดไม่จากับใคร  อันเข้าข่ายคนบ้าคนหลุดโลก  นั่งขีดเขียนอยู่คนเดียวในป่ายาง   แล้วเสียงร่ำลือจะดังปากต่อปาก  จากหัวบ้านถึงท้ายบ้านในชั่วข้ามคืน

บทกวียังอยู่  มีมดเข้ามาตอมกัดกินบ้าง  
บทกวีคงหอมเหมือนน้ำผึ้ง         
เขานั่งรอให้แน่ใจว่าไม่มีใครเดินผ่านมา   จึงเริ่มต้นนั่งลอกบทกวีจากผืนดินลงสมุดบันทึก  

พอมองไปยังตำแหน่งบทกวีบทหนึ่งเคยเกิดขึ้น   โอ.. เวลาผ่านเร็ว  แม้ภาพยังแจ่มชัดเหลือเกิน
พลันปรากฏยอดย่านนางกับยอดส้มเย็น ยอดย่านนางนำมาแกงเลียง  ได้รสกลิ่นไม่เหมือนผักใด ยอดส้มเย็นออกเปรี้ยว  กินกับเกลือ-พริกสด  เป็นของกินเล่น  เคี้ยวกันสดๆ  ทั้งย่านนางและส้มเย็นยังทอดย่านให้เห็นอยู่ตามริมขอบสวนยาง

ก่อนเชือกฟางเชือกไนล่อนมาถึงหมู่บ้าน   เชือกย่านนางกับย่านส้มเย็น  เป็นเชือกทนทานแข็งแรง   นำไปผูกร้อยได้จิปาถะ   ถึงอย่างไรก็ตาม  สวนยางก็เก็บกวาดไปสุมรวมกันอยู่ตามรอยต่อแบ่งดินชนแดนเท่านั้น  

สวนยางไม่อนุญาตไม้อื่นอยู่ร่วมด้วย

ห่างออกไปราว 100 เมตร  ก็จะพบต้นปีกใหญ่  ไม่เก่าแก่ที่เหลืออยู่เพียงต้นเดียว   มองเห็นได้จากระยะไกลหลายกิโลเมตร   ความใหญ่โตของมัน  ทั้งน่าเกรงขามและน่านับถือ  รู้จักกันในชื่อไม้ปีก  ไม้เนื้อแข็งมีอายุยืนยาว  นับได้กว่า 300 ปีมาแล้ว

20080424 5

ไม่น่าเชื่อว่า  เด็กหนุ่มที่ออกมาเขียนบทกวี ถือกำเนิดขึ้นมา ณ ตำแหน่งนั้น  ด้วยมือหมอตำแย  ห้อมล้อมด้วยป่าดงดิบ  และฝูงสัตว์นานา

แต่เขาจำนาทีชีวิตเหล่านั้นได้เลือนลาง  บ้านเดี่ยวกลางป่าร้างในเวลาต่อมา  บ้านโยกย้ายไปอยู่ที่อื่น  ห่างออกไปราวหนึ่งกิโลเมตร  การปักหลักตั้งถิ่นฐานของคนสมัยเมื่อ 40 ปีก่อน  มีเงื่อนไขสร้างบ้านโยกย้ายถิ่นกันง่ายๆ  

หนีโรคภัย  หาที่อยู่ที่ทำกินอันสมบูรณ์กว่า

เวลาไหนก็ตาม  สวนยางให้ที่พักอาศัยกับยุง  ด้วยดูแลอย่างดิบดี  ความชื้นเย็น  ร่มครึ้ม และไม่ถูกรบกวน  ตัวกินยุงมีน้อย   ยุงจึงรวมฝูงสร้างโลกขึ้นมาส่งเสียงชวนรำคาญได้ดีแท้  รอทีเผลอก็ดูดเลือดกันอย่างเมามัน  โบกมือไล่เท่าไหร่ก็ไล่ไม่หมด

ปีกยุงพร้อมตีวงรุมล้อมเข้ามาใหม่  สูบเลือดกันตอนกลางวัน  เพิ่มองศาเดือดชวนหงุดหงิดได้ร้ายกาจ

อารมณ์สบายๆ (เฉิบๆ) ในสวนยาง  ไม่สบายอย่างที่คิด ยากจะเอกเขนกได้ตามใจ  เครื่องปราบยุงชีวภาพถูกกำจัด  และมีน้อยลงทุกวัน  ยุงเพิ่มปีกวี้ๆๆซี๊ดซ๊าด  เหมือนนัดหมายมาชุมนุม   
เพิ่มจำนวน  เพิ่มเสียง  จนความสุขแบบเฉิบๆลอยหน้าลอยตาค่อยลอยห่างออกไป  

ชวนตาค้าง  ฝันค้าง
ยุงในสวนยาง มีกริยายียวนเป็นเอกลักษณ์พิเศษ  จนกว่าปีกมันจะหลุดร่วง  มันถึงจะหยุดรวมฝูงตามตื้อชั่วขณะ  แล้วรวมฝูงกันใหม่อย่างรวดเร็ว   
 
นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ที่ไม่มีใครคิดอยากหนีร้อนมาพึ่งลมเย็น  เดินเล่นนอนเล่นในสวนยาง

ยุงชุม  ยุงมาชุมนุม กี่ปีๆ ไม่เปลี่ยนเป็นอื่น  ยุงชุม  นกตบยุงหายหัว--ปีกหายไปไหนหมด ไม่ส่งเสียงหากินให้ได้ยิน  ไม่ออกหากินตอนย่ำค่ำ  ไม่นอนหลับลึกตอนกลางวัน อยู่ไหนกัน  นกตบยุง

บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
พ่อของลูกคือลูกของพ่อ ล้วงหนังสือ “เจ้าชายน้อย” ออกจากกระเป๋าสะพาย เป็นเล่มเดียวที่ติดตัวไปด้วยทุกครั้งที่ลูกชายเดินทางไปด้วย และไม่อาจรู้หรอกว่าจะได้เปิดอ่านในช่วงไหนเวลาไหน ลูกของพ่อคือหลานของปู่กำลังง่วนอยู่กับสมุด ดินสอ สีในกระเป๋าเช่นกัน เขาคงนึกอยากเขียนภาพ
ชนกลุ่มน้อย
เดินทางแบบกระเด็นกระดอนอยู่ในกระป๋องหนาหนักติดล้อ  และความยาวนานของระยะทาง  กว่า 5 ชั่วโมงไปให้ถึงใจกลางภูเขา  แต่ยิ่งคิดว่าเมื่อไหร่จะถึงใจกลางภูเขาตามมาตรวัดของแผนที่แผ่กางออกกว้าง  ยิ่งกลับเป็นเรื่องยากไปถึงใจกลางภูเขาที่อยู่ในใจ  ภูเขาเป็นทะมึนก่อกำแพงรายล้อม  
ชนกลุ่มน้อย
    เป็นเวลา 10 กว่าปี ที่ผมไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับพ่อใต้ชายคาเดียวกันนานๆ แต่คราวนี้ พ่ออยู่กับผมนานถึง 90 วัน พ่อในวัย 74 เพิ่งผ่านการบำบัดรักษาหัวใจอย่างชนิดลุ้นเส้นยาแดงผ่าแปดกันมา และต้องควบคุมตัวเองเรื่องการดื่ม กิน เคลื่อนไหว และเคร่งครัดกับขนาดจำนวนยารักษาอย่างชนิดห้ามขาดเกินเวลา
ชนกลุ่มน้อย
ไหนๆ ก็กอดกันแล้ว กอดต่ออีกครั้งเป็นไรไป ภูเขาลูกนั้นมีเถียงไร่ตั้งอยู่โดดเด่นและโดดเดี่ยว สองพ่อลูกชวนกันไปยังเถียงไร่ ที่นั่นคงสบายตา ดูลับหูลับตาคน ไม่มีใครไป พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว กลับพบกับไม้สามต้น ดูราวเป็นพี่น้องกัน ทรงพุ่มงามเหลือเกิน เหมือนก้อนเมฆย้อมสีเขียวเกิดเปลี่ยนใจอยากมาปักเป็นต้นไม้อยู่บนผืนดิน มองแล้วมองอีก ยังไม่อิ่ม “กอดดีกว่าพ่อ” เสียงนั้นบอก “พ่อกอดด้วย” นานอย่างนาน ผลัดกันกอดไม้สามต้นนั้น
ชนกลุ่มน้อย
 ขอทะลึ่งๆ เว่อร์ๆ อีกสักครั้งเถอะครับ ผมรู้สึกอย่างนี้จริงๆ ทันทีที่นึกอยากเขียน และโชว์รูปที่น่าจะอยู่ในอัลบั้มรูปส่วนตัว ว่างๆก็เอามาแบวางออกดูและรำลึกถึง มากกว่านำออกมาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าสายตาสาธารณะ ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า เบื่อๆ เซาๆ ซึมๆ ว่างมาก มาทำเรื่องดูดีกันมั้ยลูก   มา ม๊า มาทำซึ้งกันสักครั้งดีกว่ามั้ย"เอ้า เอาเลย กอดกันเลยลูก" พูดแค่นั้นเจ้าชายน้อยโผประจำการทันที ผมไล่ตามเก็บรูป"พ่อกอดมั้ย" เขาถามกลับมา"กอดสิ ต้องกอดแน่ๆ ว่างแล้วยัง" หมายถึงไม้ต้นนั้น หมายตาไว้เหมือนกัน และถูกรักหลงในเวลาอันรวดเร็ว"ถ่ายรูปมั้ย" เขายึดกล้องไปกดรูปวันนั้น…
ชนกลุ่มน้อย
ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี ที่ผมตระเวนท่องไปตามป่าเขาในภาคเหนือ ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเผชิญหน้าจริงๆ กับพายุลมแรงที่หอบน้ำแข็งมาด้วย จนติดตรึงอยู่ในพายุน้ำแข็ง ไม่เห็นทางข้างหน้าและไม่เห็นทางข้างหลัง ขยับไปไหนไม่ได้ ราวกับทุกอย่างตกอยู่เหนือการควบคุม นอกจากยอมรับสภาพแล้วจำนนกับความเป็นไป
ชนกลุ่มน้อย
วันที่ 8 มีนาคม 2552 ผมนั่งเคียงข้างพ้อเลป่า ก่อนเดินทางกลับ ผมบอกว่า อีกสองสามอาทิตย์จะเข้ามาเยี่ยมอีกครั้ง เวลาผ่านไปสามอาทิตย์กว่า ตรงกับวันที่ 2 เมษายน 2552 พ้อเลป่าก็จากไปจริงๆ ผมไปถึงบ้านแม่แฮคี้ตอนบ่ายแก่ๆวันต่อมา บ้านไม้ริมถนนมีคนจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่บนบ้าน ไล่เรียงอออกมานอกประตูบ้าน ผู้เฒ่ากวีแห่งแม่แฮใต้จากไปจริงๆ รูปวางถ่ายไว้บนโลงไม้ รูปสูบไปป์ที่คุ้นเคย พร้อมดอกไม้สัญลักษณ์ของความอาลัย
ชนกลุ่มน้อย
 เมื่อฉันเริ่มจำความได้ ฉันเที่ยวเล่นกับพวกเพื่อนๆ ฉันรู้ว่า แม่เป็นคนทอเสื้อให้ฉันใส่ ฉันดีใจมาก ฉันสวมเสื้อตัวนั้นแล้วเดินนำหน้าคนอื่นๆ เวลานั้นฉันรู้สึกว่า ใบหน้าของตัวเองเต็มอิ่มไปด้วยความร่าเริงยินดี
ชนกลุ่มน้อย
ชนกลุ่มน้อย
 ไม่มองซ้ายขวาหน้าหลัง  เดินเข้าไปหาแล้วโอบกอด   "ได้กลิ่นมั้ย" ผมถาม"เหมือนน้ำมัน" เขาตอบ"ใช่  ในตัวเขามีน้ำมัน" .. บทสนทนาระหว่างโอบกอด  เป็นเช่นนี้จริงๆ