Skip to main content

ภาพขาวดำที่มีอายุยืนยาว  เหมือนแสงส่องเข้าไปไม่ถึง  ตรึงอยู่ในเบื้องลึกของก้นบึ้งความทรงจำ  มันแตกพร่ามาสั่นไหวดวงใจทุกครั้งที่นึกรำลึก  จริงเหมือนไม่เคยมีจริง   ภาพเบลอมัวหม่นเต็มไปด้วยความรู้สึกดีเหลือเกิน  ปลอดภัย  เป็นสุข สงบ  ไม่ร้อน  ไม่รน  สีของความเก่าแก่  สีของนักบวช  เพียงไม่นึกถึงมันก็ถอยร่นไปอยู่ลึก  ราวกับถูกลืมเลือนหายไปสิ้น

ผมกลับไปเดินบนทางดินสายนั้น  ทางเลียบลำคลองที่ออกไปสู่ทะเลสาบสงขลา  ทำให้นึกถึงครั้งหนึ่ง  เคยเดินตามหลังแม่ชีทุกเช้า  กลิ่นแม่ชีเป็นกลิ่นนักบวช  โชยเข้าจมูกมาจนถึงปัจจุบัน  เป็นกลิ่นที่ราวกับมัดผูกไว้กับต้นไม้ภายใน  ที่ไม่เคยผลัดใบเปลี่ยนสีกลิ่นเป็นอื่น

แม่ชีเดินอุ้มบาตร  เด็กชายวัยสิบสองสิบสามปีเดินถือปิ่นโต  ทางเดินของแม่ชีไม่ต่างไปจากวันก่อน  เริ่มต้นจากกุฏิไม้หลังคามุงจาก  ทุกอย่างวางตั้งอยู่ในนั้น  แม่ชีมีสิ่งของเครื่องใช้ไม่กี่อย่าง  ชามช้อนแค่จำนวนนิ้วมือข้างเดียว  ไม่มีหม้อ  มีแต่กาน้ำกับไม้ฟืน  มีกระติกน้ำร้อน  แก้วน้ำสองสามใบ  ไม่มีตู้ใส่เสื้อผ้า  เสื้อแม่ชีสองสามชุดเก่าๆทั้งนั้น  พาดอยู่ตามฝา  ซ้อนทับอยุ่บนพื้นไม้เก่าๆ 

มีกลิ่นธูปเทียนโชยอยู่ตลอดเวลา  
ทางดินเท่าฝ่าเท้า  เดินกันจนเป็นร่องลึก  เด็กชายเดินเงียบตามหลัง  ได้ยินเสียงลมพัดใบมะพร้าว  เสียงนกร้องชัดเจนมาก  ทางดินตัดผ่านเขตแดนที่ไม่มีรั้วบ้าน  ตัดผ่านสวนผลไม้จำพวกมังคุด  ละมุด(สะหวา)  ฝรั่ง  ชมพู่มะเหมี่ยว  ลางสาด  น้อยหน่า  มะปริง  มะปราง  มะไฟ  มะม่วง หมาก  มะพร้าว ฯลฯ  เป็นสวนผลไม้ที่ต่อเนื่องกันไม่มีที่สิ้นสุด 

เหมือนแม่ชีเดินวนๆอยู่ในสวนผลไม้  แม่ชีเดินไปทางไหน  เด็กชายเดินตามหลัง  ไม่น่าเชื่อว่าจะมีบ้านไม้เก่าๆซุกซ่อนตัวอยู่ในสวนผลไม้  เต็มไปด้วยใบหน้าคนจีนแก่ๆ  บ้านทุกหลังรู้จักกันหมด  รู้ว่าใครเป็นลูกใคร

20080616 1

เด็กชายจะได้รับการถามไถ่เป็นพิเศษ  ลูกศิษย์แม่ชีเป็นหลานของแม่ชี  โยงใยไปถึงพ่อแม่  จับแขนลูบหัว  สุดท้ายลงเอยด้วยผลไม้

เด็กชายขนผลไม้กลับกุฏิเยอะมาก  รอให้แม่ชีฉันข้าวจนเสร็จ  เด็กชายจึงได้กินข้าว   แม่ชีแบ่งข้าวสุกเป็นสามส่วน  หนึ่งส่วนเก็บไว้ฉันมื้อเที่ยง  มื้อเย็นของเด็กชาย   ส่วนที่สองตากแห้ง  ส่วนที่สามโปรยหว่านให้นก ไก่ หมา แมวกินกัน  

20080616 2

เสียงจิกกินตอนแม่ชีโปรยข้าวสุก  เต็มไปด้วยบรรยากาศของการแย่งชิงจิกตี  แต่แม่ชีไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว  เด็กชายเหลือข้าวไว้ส่วนหนึ่งเช่นกัน  เด็กชายชอบดูพวกมันไล่จิกกิน       

แม่ชีเกิดมาเพื่อเป็นนักบวชโดยแท้   แม่ชีเลี้ยงลูก 4 คนจนทุกคนออกเรือนไปหมด  จากนั้นก็ออกเดินธุดงค์ไปตามป่า  ไปอยู่ตามถ้ำ  ลูกสาวแม่ชีคนที่สามบอกว่า  ถ้าพ่อล่าปลาเป็นๆมาขังไว้   มันจะอยู่ไปอย่างนั้น   หากไม่มีใครทำปลา  ก็ไม่มีปลาเป็นกับข้าว   ไม่มีคำบอกส่งเสียงให้ใครทำปลา  แม่ชีดำรงตนมาอย่างนั้น

ชั่วชีวิตแม่ชีมีแต่เรื่องการให้  ไม่เอา  ไม่ไขว่คว้า  เหมือนว่าทางเดินที่ไกลที่สุดของแม่ชีคือการอยู่นิ่งๆ
ปลดปล่อยตัวเองสู่เสื้อผ้าขาว   ลูกหลานเพียงไปนั่งมองไปคุยถึงเรื่องดีงามเท่านั้น  ใครไปถึงกุฏิแม่ชีต้องได้รับความเย็นสงบกลับมา

20080616 3

เด็กชายเป็นหลาน  แม่คงมีเหตุผลบางอย่างที่อยากให้ลูกชายไปเดินตามหลังแม่ชี
ก่อนนอน  เด็กชายนั่งไหว้พระนานมาก  แม่ชีสวดมนต์นานมาก  เทียนสว่าง  กลิ่นธูปอบอวล   ตกดึกสงัด เด็กชายจะได้ยินเสียงสวดแว่วเข้ามาในหู  พอลืมตาก็เห็นแสงเทียนสว่าง  เด็กชายนอนมองแสงเทียน  ฟังเสียงสวด  สูดกลิ่นธูปจนถึงรุ่งเช้า

เรื่องของแม่ชีเป็นสีขาวดำ  แต่ไม่เคยจางหายไปจากใจเด็กชาย  ยามชายผ้าสีข้าวปลิวสว่างไปในแสงแดด   มืออุ้มบาตร  ก้มหน้ามองดิน  เดินไปตามทางดินแคบๆ  เดินไปในสวนผลไม้   วันแล้ววันเล่าเป็นอย่างนั้น  เว้นแต่วันไหนมีกิจต้องไปค้างคืนในวัดอื่น

20080616 4

ผมผ่านไปบนเส้นทางสายนี้  คิดถึงแววตาของเด็กชาย  คิดถึงเวลาที่หยุดนิ่ง  กลิ่นที่ไม่เหมือนกลิ่นใดในโลก  ผมตั้งใจไปเยือนถิ่นเดิมนั้น  เส้นทางเก่าๆ  สวนผลไม้เก่าๆที่วันนี้รกเรื้อถมทางเดิน  ราวกับว่าไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น  

เด็กชายคนใหม่ที่เดินตามหลังพ่อถามว่า  ที่นี่เป็นอะไรเหรอ   พ่อตอบลูกชายว่า  แม่ชีเคยเดินผ่านมาทางนี้ทุกเช้า


บล็อกของ ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย
พ่อของลูกคือลูกของพ่อ ล้วงหนังสือ “เจ้าชายน้อย” ออกจากกระเป๋าสะพาย เป็นเล่มเดียวที่ติดตัวไปด้วยทุกครั้งที่ลูกชายเดินทางไปด้วย และไม่อาจรู้หรอกว่าจะได้เปิดอ่านในช่วงไหนเวลาไหน ลูกของพ่อคือหลานของปู่กำลังง่วนอยู่กับสมุด ดินสอ สีในกระเป๋าเช่นกัน เขาคงนึกอยากเขียนภาพ
ชนกลุ่มน้อย
เดินทางแบบกระเด็นกระดอนอยู่ในกระป๋องหนาหนักติดล้อ  และความยาวนานของระยะทาง  กว่า 5 ชั่วโมงไปให้ถึงใจกลางภูเขา  แต่ยิ่งคิดว่าเมื่อไหร่จะถึงใจกลางภูเขาตามมาตรวัดของแผนที่แผ่กางออกกว้าง  ยิ่งกลับเป็นเรื่องยากไปถึงใจกลางภูเขาที่อยู่ในใจ  ภูเขาเป็นทะมึนก่อกำแพงรายล้อม  
ชนกลุ่มน้อย
    เป็นเวลา 10 กว่าปี ที่ผมไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับพ่อใต้ชายคาเดียวกันนานๆ แต่คราวนี้ พ่ออยู่กับผมนานถึง 90 วัน พ่อในวัย 74 เพิ่งผ่านการบำบัดรักษาหัวใจอย่างชนิดลุ้นเส้นยาแดงผ่าแปดกันมา และต้องควบคุมตัวเองเรื่องการดื่ม กิน เคลื่อนไหว และเคร่งครัดกับขนาดจำนวนยารักษาอย่างชนิดห้ามขาดเกินเวลา
ชนกลุ่มน้อย
ไหนๆ ก็กอดกันแล้ว กอดต่ออีกครั้งเป็นไรไป ภูเขาลูกนั้นมีเถียงไร่ตั้งอยู่โดดเด่นและโดดเดี่ยว สองพ่อลูกชวนกันไปยังเถียงไร่ ที่นั่นคงสบายตา ดูลับหูลับตาคน ไม่มีใครไป พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว กลับพบกับไม้สามต้น ดูราวเป็นพี่น้องกัน ทรงพุ่มงามเหลือเกิน เหมือนก้อนเมฆย้อมสีเขียวเกิดเปลี่ยนใจอยากมาปักเป็นต้นไม้อยู่บนผืนดิน มองแล้วมองอีก ยังไม่อิ่ม “กอดดีกว่าพ่อ” เสียงนั้นบอก “พ่อกอดด้วย” นานอย่างนาน ผลัดกันกอดไม้สามต้นนั้น
ชนกลุ่มน้อย
 ขอทะลึ่งๆ เว่อร์ๆ อีกสักครั้งเถอะครับ ผมรู้สึกอย่างนี้จริงๆ ทันทีที่นึกอยากเขียน และโชว์รูปที่น่าจะอยู่ในอัลบั้มรูปส่วนตัว ว่างๆก็เอามาแบวางออกดูและรำลึกถึง มากกว่านำออกมาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าสายตาสาธารณะ ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า เบื่อๆ เซาๆ ซึมๆ ว่างมาก มาทำเรื่องดูดีกันมั้ยลูก   มา ม๊า มาทำซึ้งกันสักครั้งดีกว่ามั้ย"เอ้า เอาเลย กอดกันเลยลูก" พูดแค่นั้นเจ้าชายน้อยโผประจำการทันที ผมไล่ตามเก็บรูป"พ่อกอดมั้ย" เขาถามกลับมา"กอดสิ ต้องกอดแน่ๆ ว่างแล้วยัง" หมายถึงไม้ต้นนั้น หมายตาไว้เหมือนกัน และถูกรักหลงในเวลาอันรวดเร็ว"ถ่ายรูปมั้ย" เขายึดกล้องไปกดรูปวันนั้น…
ชนกลุ่มน้อย
ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี ที่ผมตระเวนท่องไปตามป่าเขาในภาคเหนือ ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเผชิญหน้าจริงๆ กับพายุลมแรงที่หอบน้ำแข็งมาด้วย จนติดตรึงอยู่ในพายุน้ำแข็ง ไม่เห็นทางข้างหน้าและไม่เห็นทางข้างหลัง ขยับไปไหนไม่ได้ ราวกับทุกอย่างตกอยู่เหนือการควบคุม นอกจากยอมรับสภาพแล้วจำนนกับความเป็นไป
ชนกลุ่มน้อย
วันที่ 8 มีนาคม 2552 ผมนั่งเคียงข้างพ้อเลป่า ก่อนเดินทางกลับ ผมบอกว่า อีกสองสามอาทิตย์จะเข้ามาเยี่ยมอีกครั้ง เวลาผ่านไปสามอาทิตย์กว่า ตรงกับวันที่ 2 เมษายน 2552 พ้อเลป่าก็จากไปจริงๆ ผมไปถึงบ้านแม่แฮคี้ตอนบ่ายแก่ๆวันต่อมา บ้านไม้ริมถนนมีคนจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่บนบ้าน ไล่เรียงอออกมานอกประตูบ้าน ผู้เฒ่ากวีแห่งแม่แฮใต้จากไปจริงๆ รูปวางถ่ายไว้บนโลงไม้ รูปสูบไปป์ที่คุ้นเคย พร้อมดอกไม้สัญลักษณ์ของความอาลัย
ชนกลุ่มน้อย
 เมื่อฉันเริ่มจำความได้ ฉันเที่ยวเล่นกับพวกเพื่อนๆ ฉันรู้ว่า แม่เป็นคนทอเสื้อให้ฉันใส่ ฉันดีใจมาก ฉันสวมเสื้อตัวนั้นแล้วเดินนำหน้าคนอื่นๆ เวลานั้นฉันรู้สึกว่า ใบหน้าของตัวเองเต็มอิ่มไปด้วยความร่าเริงยินดี
ชนกลุ่มน้อย
ชนกลุ่มน้อย
 ไม่มองซ้ายขวาหน้าหลัง  เดินเข้าไปหาแล้วโอบกอด   "ได้กลิ่นมั้ย" ผมถาม"เหมือนน้ำมัน" เขาตอบ"ใช่  ในตัวเขามีน้ำมัน" .. บทสนทนาระหว่างโอบกอด  เป็นเช่นนี้จริงๆ