Skip to main content

ราวห้าโมงเย็น

จุดเทียนหรือเปล่าคับทั่น” ผมโทรหาเพื่อนคนหนึ่งอย่างกระวนกระวาย

จุดดิคับ เริ่มหกโมงฯ แล้วมาตอนนี้ทำไม” มันว่าเข้าให้นั่น


เป็นอันว่า คงต้องรออีกสักพัก กว่ากลุ่มของพวกเขาจะเดินทางมาถึง


ผมเริ่มเดินสำรวจรอบๆ บริเวณศูนย์ศิลปะวัฒนธรรมแห่งชาติแห่งแรกของเมืองไทย จริงๆ มันมีศูนย์ศิลปะอื่นๆ อยู่บ้างในต่างจังหวัดแต่มันคงดูไม่หรูหราใหญ่โตอลังการเท่าศูนย์นี้ ความใหญ่โตของมันทำให้ผมงกๆ เงิ่นๆ เดินเข้าไปในศูนย์เพื่อฆ่าเวลา


เจ้าหน้าที่เกร่เข้ามาหาพร้อมกับรอยยิ้ม

ให้เจ้าหน้าที่ผู้หญิงตรวจกระเป๋า นิดนึงนะครับ” เขาบอกกับผมอย่างสุภาพ ซิปกระเป๋ากล้องถูกเปิด พร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ ก่อนจะผายมือเป็นทำนองว่า ‘ผ่านได้ แต่ห้ามถ่ายรูปนะ’


ความเงียบภายในสถานศิลปะวัฒนธรรมทำให้บรรยากาศดูน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง ตัวอาคารขนาดยาว 5 ชั้น กินพื้นที่ไปจรดสนามกีฬาแห่งชาติดูโล่งโถงและมีศิลปกรรมหลากรูปแบบจัดวางเอาไว้ตามจุด ผมคงไม่มีเวลาเดินสำรวจอาคารทั้งหมด


ผมตัดสินใจ เดินลงไปยังชั้นใต้ดิน เด็กสูง 3 เมตร ก้มตัวมองหว่างขาตัวเองวางอยู่กลางโถง มีเศษไม้เกรียมวางอยู่โดยรอบ ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งพินิจพิเคราะห์อย่างตั้งอกตั้งใจ


เธอช่างมีน้ำอดน้ำทนจริงๆ ผมคิด


ผมยืนมองจนเธอขยับนั่งบนเสื่อเพื่อจะได้ตั้งใจดูอย่างเต็มที่ ผมยอมรับกับตัวเองได้อย่างเต็มหัวใจว่า จริงๆ ผมยืนมองเธอนั่นแหละครับ บางครั้งอากัปกิริยาของคนที่มาชมงานศิลปะน่าชมพอๆ กับชิ้นงานเลยทีเดียว อีกมุมหนึ่งเป็นหนังสั้นในจอจะเป็นชาวบ้านกลุ่มใหญ่นั่งดูภาพวาดขนาด 2x3 เมตร ที่แขวนอยู่กับกอไผ่ ในภาพเป็นหญิงชายคู่หนึ่งร่างกายเปลือยเปล่าเป็นแบบให้จิตรกรวาดและถาดผลไม้อยู่ทางด้านล่างของมุมภาพ เสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นภาษาอิสาน ชี้ชวนไปยังภาพ ชายในจอยืนอย่างนอบน้อมเดินไปที่ภาพ


เห็นกล้วยไม๊ มันออกจะเน่าๆ นะ” ชาวบ้านที่นั่งชมต่างเฮกันลั่น

ชายหนุ่มเลื่อนมือไปชี้ที่หน้าอกของหญิงสาว มีเสียงรำพันดังจากกลุ่มชาวบ้านว่า “นมบูดๆ ๆ ๆ” ก่อนที่จะมีเสียงเฮตามมา


ผมยิ้มกรุ้มกริ่ม มองดูนาฬิกาจากโทรศัพท์ เออ เฮอะ ต้องออกไปรอเสียแล้ว


อากาศต้นฤดูหนาวทำให้บรรยากาศดูแล้วผ่อนคลาย กลุ่มคนทำงานศิลปะจัดวางงานของตัวเองเพื่อเสนอขายแก่นักท่องเที่ยวและคนเดินผ่านไปผ่านมา ทั้งโพสการ์ด ภาพวาดสีน้ำ สีน้ำมัน มีทั้งศิลปะสมัยใหม่ไปจนถึงภาพแนวพุทธวิถี ภาพเชิงนามธรรมและดอกลีลาวดีสีขาวนวล


เสียงดังมาจากอีกฟากถนน กลุ่มสันติภาพเพื่อพม่า เดินถือป้ายรณรงค์และตะโกนคำว่า “ฟรีๆ ๆ ๆ เบอร์มา ,รัฐบาลทหาร เก็ทเอ้าท์ๆ ๆ ๆ” ดังกังวานจนคนทำงานศิลปะหลายคนขึ้นยืนดูเพื่อความแน่ใจว่าไม่ใช่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือว่า ... มันเกิดอะไรขึ้นอีกวะ !!!


กลุ่มเพื่อสันติภาพในพม่าข้ามมาหยุดขบวนทางด้านข้างอาคารหอศิลป์ ก่อนจะเริ่มจุดเทียนและทำกิจกรรม อ่านแถลงการณ์และให้สัมภาษณ์นักข่าว ทั้งนักข่าวและคนในละแวกนั้นรุมล้อมเข้ามาดูอย่างคนที่อยากรู้อยากเห็น


แสงเทียนวอมแวมบนผืนผ้าสีขาวที่เขียนเอาไว้เป็นภาษาอังกฤษว่า ‘พีซ ฟอร์ เบอร์ม่า’ ทำให้ความงงงวยของคนในละแวกนั้นยิ่งทวีขึ้น ราวกับว่า มันช่างห่างไกลกับชีวิตประจำวัน


นายๆ เค้าตะโกนคำว่าอะไรนะ” มอเตอร์ไซค์รับจ้างย่านเอ็มบีเคถามเพื่อนร่วมอาชีพ

ว็อท แฮ็พเพ่น” คู่รักชาวอิสราเอลกระซิบกระซาบกันราวกับถ้อยรำพันคำหวาน

ถือเทียนตรงคำว่าเบอร์มาหน่อย” ช่างภาพมาดเซอร์บอกผู้ชุมนุมเพื่อกดชัตเตอร์

มีคนพม่าคนไหนที่พูดไทยได้บ้าง” นักข่าวสาวจากไทยทีวี สอบถาม

Free free free … free burma



เทียนสว่างขึ้นตามเวลาของความมืดตัดกับระยิบระยับของไฟประดับห้างใหญ่ใจกลางเมือง กลุ่มเพื่อสันติภาพในพม่าเริ่มร้องเพลงอิมแมจิ้นตามท่วงทำนองกีตาร์โปร่งจากผู้ร่วมชุมนุมคนหนึ่ง .. สำหรับบางคน เรื่องเช่นนี้ช่างดูห่างไกลจากความรู้สึกตราบเท่าที่พวกเขายังรู้จักคำว่าอิสรภาพ


หอศิลป์กรุงเทพฯ บรรจุผลงานชิ้นโตเอาไว้ข้างใน มันเป็นตัวแทนของเสรีภาพทางความคิด

หากใครสักคนจะคิดว่า การชุมนุมเช่นนี้มีความหมายมากกว่าผลทางการเมือง

ผมพยายามจะหมายถึงงานศิลปะชนิดหนึ่งที่ทำขึ้นเพื่อเสรีภาพ


Free for Burma’
































 

บล็อกของ กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์

กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
อยู่ดาก้าเพียง 2 วัน มันถูกส่งขึ้นดอยแดนดงป่า อีกแล้ว (ตรงนี้เพื่อนผมอุทธรณ์ว่า เหมือนอยู่เมืองไทยไม่มีผิด กำ) “ต้องไปเมืองอะไรครับ” เจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดการถาม ‘จิตตะกอง’ “โห โหดน๊า” นั่นหมายถึงคำปลอบโยน
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
อีกครั้งที่ ‘เพื่อนผม' มันไปสังเกตุการณ์การเลือกตั้งในบังคลาเทศ (แล้วผมก็เอามาเขียน 555) (จริงๆ มันไปเมื่อนานมาแล้วสักครึ่งปีเห็นจะได้)
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ภาพสุดท้ายที่ผมมองเห็นก่อนออกจากเปียงหลวง คือ ทิวเขาลูกนั้นในสายหมอกโอบอ้อมกับรอยยิ้มอิ่มบุญของคนไต งานปอย-ส่างลองสิ้นสุด พร้อมกับคอนเสริ์ตทิ้งท้ายที่เล่นกันค่อนรุ่ง ความรื่นเริงของคนหนุ่มสาวและส่างลองที่พร้อมจะเข้าสู่โลกแห่งธรรม
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ผมคิดว่าโครงใบหน้าของคนไตดูสวยดี โดยเฉพาะ ,ผู้หญิง ถึงแม้ว่า วันนี้ พวกเธอหลายคนจะต้องออกไปหางานทำนอกหมู่บ้าน , สิ่งที่มากกว่านั้น คือ ความรักและแรงศรัทธาในการร่วมงานบุญ ,และรอยยิ้มของพวกเธอ
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ศูนย์พักรอกุงจ่อ คือ พื้นที่ของผู้หนีภัยการสู้รบจากการปราบปรามอย่างรุนแรงของรัฐบาลทหารพม่า นับจากปี 2545 ชาวไต(ไทใหญ่)ร่วมหนึ่งพันคน เดินเท้าเข้าประเทศไทยทางด่านหลักแต่ง...!!!
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
พ่อส้านและส่างลอง เป็นภาพที่คู่กัน ส่างลองอยู่ที่ไหน พ่อส้านจะอยู่ที่นั่น แต่ละคน แต่ละคู่ ต่างมีลีลาที่แตกต่างกันออกไป ... เชื่อกันว่า ได้บุญใหญ่ ส่างลองในวันนี้จะเป็นพ่อส้านที่ดีในวันหน้า ทั้งนี้ ตามความสมัครใจ เช้า ขี่คอแห่ส่างลองไปตามวัด บ่ายแก่ได้พัก กลางคืนนอนเฝ้าส่างลองหลังซุ้ม ครบ 5 วัน เชื่อกันว่า ได้ขึ้นสวรรค์ !!! ดูลีลาของพวกเขาสิครับ .....
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
บริเวณสนามฟุตบอล โรงเรียนบ้านเปียงหลวงเต็มไปด้วนสีสัน สีสันงานบุญซุ้มส่างลองทั้ง 107 ซุ้มกระจายอยู่โดยรอบสนามฟุตบอล เวทีดนตรีใหญ่หันหน้าประชันกับเวทีลิเกไทใหญ่หรือ "จ๊าดไต" เวทีใหญ่เล่นดนตรีทันสมัย โครงสร้างเวทีทำด้วยแกนเหล็กประกบเสาสูงราวเมตรครึ่ง ,ส่วนเวทีจ๊าดไตทำจากโครงไม้ไผ่ทั้งหลัง ปูพื้นด้วยแผ่นไม้กระดาน ฝาด้านหลังทำด้วยใบตองตึงสีน้ำตาลแห้งเก่าทะลุมองเห็นด้านใน ,วงดนตรีเครื่องสายดีดสีตีเป่าครบ ,นางรำแต่งหน้าทาปาก พันคอด้วยผ้าแถบมันเลื่อม ด้านตรงข้ามแดนเซอร์ชาวดอยวิ่งกระจายออกมาหน้าเวทีใหญ่
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
มีดโกนด้ามใหม่ สีดำสนิท บรรจงกรีดลงไปตามไรผมแต่ละเส้น ส่างลองทุกคนรู้ดีว่า พิธีกรรมต่อจากนี้ไปพวกเขาจะต้องใช้ความอดทนมากแค่ไหนกว่าผมจะหมดศีรษะ บางคนใบหน้าเหยเก บางคนถึงกับร้องไห้ จนพระพี่เลี้ยงและพ่อแม่ต้องหยุดใบมีดเอาไว้ก่อนแล้วตักน้ำส้มป่อยราดหัว ฟอกด้วยยาสระผมแล้วเริ่มโกน โกนจนหมดศีรษะ !!!
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
รถตู้กลางเก่ากลางใหม่ของบริษัทดาวทองขนส่ง จำกัด ออกจากสถานีช้างเผือก 10.30 น. หนุ่มใหญ่วัย 40 เศษ ไว้เคราบางๆและสวมแว่นตาดำตลอดเวลาซิ่งเจ้าเพื่อนยากปุเลงไปตามสันเขาน้อยใหญ่บนเส้นทางเชียงใหม่-เปียงหลวง 161 กิโลเมตร แดดฤดูร้อนจัดจ้านขับให้ดอกหางนกยูงสีแดงข้างทางสดเข้ม ออกจากตัวเมืองเชียงใหม่ผ่านอำเภอเชียงดาวถึงแยกเมืองงาย เลี้ยวซ้ายไปตามถนนสายแม่จา-เปียงหลวง ก่อนที่เส้นทางจะไต่ไปตามสันเขาคดเคี้ยว หนุ่มนักซิ่งของเราจะเตือนผู้โดยสารผ่านน้ำเสียงหนักแน่นว่า
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
... ผู้เฒ่าหญิงชายทั้งในชุดห่มขาวและชุดลำลองทั่วไป ต่อแถว รอพระลงจากกุฏิรับบิณฑบาตร สายหมอกฤดูร้อนห่มคลุมจางๆ ทำให้บรรยากาศรอบๆ ดูเลือนลางกึ่งจริงกึ่งฝัน งานฉลองพิพิธภัณฑ์หลวงปู่ตื้อฯ ที่บ้านข่า อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม มีศาสนิกชนผู้ศรัทธาเนืองแน่นเดินทางมาจากทุกสารทิศงานครั้งนี้เป็นบุญใหญ่ที่มีการเฉลิมฉลองถึง 15 วัน (1-15 พ.ค. 52) ภายในงานเปิดโรงทานโดยผู้มีจิตศรัทธาจะทำอาหารมาเลี้ยงผู้ร่วมงานบุญโดยไม่คิดสตางค์
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์