Skip to main content
ผมยืนมอง ขาหมูอวบๆ สีน้ำตาลเข้มแช่อยู่ในน้ำพะโล้ที่ร้านพรเพ็ญ(ขาหมูเสวย เจ้าเก่า)มันนอนนิ่งๆ รอคนขายเอามีดมาปาดบางๆ โปะลงบนข้าวให้ลูกค้า ไอร้อนหน้าเตาพอจะช่วยให้เนื้อตัวผมเบาขึ้นจากความหนาวนอกร้านที่กัดกร่อนถึงกระดูก
"ซื้อขาหมู 100 บาท ครับ" ผมบอกคนขาย
แกกำลังวุ่นวายอยู่กับงานขายตรงหน้า ลูกค้าเริ่มทยอยเข้ามาหนาตา แดดสายแหย่ตัวรอดตามช่องชายคา ผมคิดว่า เราน่าจะซื้อขาหมูขึ้นไปกินบนดอยหลวงเชียงดาว
...

เรื่องมันเริ่มต้นขึ้นง่ายๆ
"พี่ๆ ไปดอยหลวงฯ กันเป่า" ดาด้า ตัวละคร(เก่า)ของผมเอ่ยขึ้นในวันหนึ่งกลางปีที่ผ่านมา
"มันเป็นที่ที่ฝันเอาไว้เชียวนะ" นั่นไง เธอเริ่มเพ้อ
"เออ ว่ะ ไปๆ ปลายปีดีมะ" ผมใจง่ายทันที เราควรจะมีเวลาหาข้อมูลกันสักหน่อย
...

"เอ่อ พี่กัน ครือออออออ เราคิดว่า เราจะไปสิกขิม มันเป็นอีกสถานที่ที่เราฝันเหมือนกัน"
ประมาณว่า ดอยหลวงฯ เอาไว้ก่อนนะ ให้มันได้อย่างนี้สิ กำ...งอนว่ะ

แต่ถึงยังไง ผมก็จะไป หาทีมใหม่ก็ได้ฟะ
!!!

การเดินทางขึ้นดอยหลวงเชียงดาวถูกวางแผนใหม่อย่างเงียบๆ ด้วยความช่วยเหลือและประสานงานของ ต้น บางใหญ่ ทำให้เราได้ไกด์จากการแนะนำของเพื่อนเขาที่ทำงานอยู่ที่อบต.เชียงดาว เราจัดหาทีมและกำหนดวัน รวมกันแล้ว
6 ชีวิต (พิชิตยอดเชียงดาว อิอิ)
...

ผมหอบถุงใส่ขาหมูขนาดหนึ่งร้อยบาทขึ้นรถ เรานัดพี่แดนไกด์
คนเมียง' เอาไว้ แกว่าให้ขับรถออกมาจากตัวอำเภอเชียงดาว ผ่านป่าช้าบ้านถ้ำจะมีศาลาพักข้างทางตรงแยก แกจะไปรอเราที่นั่น พี่แดนเป็นเจ้าหน้าที่สถานีวิจัยดอยหลวงเชียงดาว วิจัยมันตั้งแต่แมลง พันธุ์พืช ไปจนถึงกวางผา ทำทุกอย่างตั้งแต่ช่วยงานข้อมูลนักวิจัย เดินป่า จนกระทั่งขับรถ

"ไกด์เป็นอาชีพเสริม ผมไม่ได้รับเงินเดือนมา 3 เดือนแล้ว รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ งบไม่ลงมาซะที แต่ไม่เป็นไร ผมรักในอาชีพของผม" แกว่า หลังจากเราเริ่มคุ้นเคยกันมากขึ้น

"เรื่องกระเช้าดอยหลวง น่ะหรือ ผมห้าสิบห้าสิบนะ จริงๆ มันก็เป็นประโยชน์แก่นักท่องเที่ยว เรื่องอนุรักษ์ก็เห็นด้วยอยู่ พวกเอ็นจีโอปลุกระดมชาวบ้านออกมาคัดค้าน พวกนี้ รับเงินต่างชาติมาเป็นล้านๆ" สำทับไปอีกประโยค

ทีมพิชิตดอยหลวงฯ กระโดดขึ้นท้ายรถกระบะ จัดแบ่งสัมภาระเท่าที่จำเป็นเพื่อปีนภู เสื้อผ้าควรจะเอาไปเพียงชุดเดียวเพราะไม่จำเป็นต้องอาบน้ำและควรจะพกกระดาษชำระไปด้วยเยอะๆ ถึงแม้ข้างบนจะไม่มีห้องน้ำแต่เรื่องการขับถ่ายยังคงเป็นเรื่องที่ต้องป้องกันเอาไว้เสมอ

รถกระบะราคาเหมา
1,200 บาท จะส่งเราที่ทางขึ้นปางวัว

การขึ้นยอดดอยหลวงมีด้วยกัน
2 ทาง คือ ปางวัวและเด่นหญ้าขัด ผู้สันทัดอย่างพี่แดนบอกว่าเด่นหญ้าขัดยากลำบากกว่ามากแต่วิวจะสวยกว่าแต่ก็มีบางคนที่รู้สึกว่าปางวัวจะยากลำบากกว่าแต่สำหรับพวกเราแล้วทางไหนมันก็ลำบากพอกันนั่นแหละ

ในทีมเรามีผู้หญิงไปด้วยกัน
2 คน คือ แอม อยุธยา ,ขวัญ กาญจนบุรี และผู้ชายอีก 4 คน คือ ต้น บางใหญ่ ,ปื๊ด เพชรบูรณ์(แต่ตอนนี้ย้ายไปอยู่เชียงใหม่กับขวัญ) ,ประจักษ์ ศรีษะเกษ และผม กัน สงขลา นอกจากนี้ ยังมีทีมงานพี่แดน อีก 2 คน คือ คุณลุงและเพื่อนรุ่นน้องที่พี่แดนบอกว่า รักมากอีก 2 คน พวกเขาเป็นลูกหาบ

ด้วยการประสานงานเป็นอย่างดีของ ต้น บางใหญ่ เราให้พี่แดนจ้างลูกหาบหาบน้ำขึ้นไปทิ้งไว้บนยอดดอยก่อน
50 ลิตร เมื่อถึงวันขึ้นจริงๆ เราซื้อน้ำขึ้นไปเพิ่มอีก 4 โหล ข้าวสาร อาหารแห้ง สูตรตายตัว คือ มาม่ากะปลากระป๋อง ขนมขบเคี้ยว ส้ม อื่นๆ ตามแต่จะคิดได้ ให้พอกินกันทุกคน เต๊นท์ 2 หลัง ถุงนอน ไฟฉายและกระดาษชำระ

แอม อยุธยา ซึ่งดูจะบอบบางมากกว่าคนอื่นๆ ถึงกับต้องพกแพมเพิด สำหรับ(เช็ดก้น)เด็กอ่อนซึ่งในเวลาต่อมา เราได้ใช้ร่วมกันทุกคน

ก่อนจะเดินขึ้นยอดดอยหลวง นักท่องเที่ยวทุกคณะจะต้องแวะไปยังที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยหลวงเชียงดาวเพื่อเช็คจำนวนคนและชำระค่าบริการ คนละ
50 บาท และมัดจำค่าขยะอีก 300 บาท หลังจากกลับลงมาจากยอดดอยจะมีการเช็คจำนวนขยะ หากครบตามจำนวนจะได้รับเงินคืน

"พี่แดน มีเหล้าต้มบ้างเป่า" ผมกระซิบ
"มี" แกชี้ไปซุ้มข้างๆ ศูนย์บริการ
ขวดละ 35 บาท
ผมคิดว่า น่าจะสำรองไปสัก 6 ขวด คงพอจะทำร่างกายให้อบอุ่น!!!
...

เส้นทางปางวัวไม่สูงชัน เต็มไปด้วยหินตะปุ่มตะป่ำ เขาหินปูนตะหง่านเงื้อม สูงและใหญ่โตต้านทานลมหนาวอย่างไม่ยี่หระ ใบไม้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง ดอกบัวตองเฉาหลุบต่ำลงเพราะโดนลมหนาวกัด เส้นทางขึ้นยอดดอยเป็นเส้นทางเล็กและแคบ หากไม่จำเป็นไม่ควรเดินสวนกันเพราะอีกด้านติดผาเหลื่อมลึกลงไปเป็นชั้นๆ บางช่วงจะมองเห็นทิวเขาซ้อนเป็นฉากในหมอกหนาๆ หากมีแดดจะมองเห็นหมู่บ้านและไร่ของคนอยู่ไกลลิบๆ
...

สำหรับผม โลกยังคงเป็นสนามเด็กเล่นอยู่เสมอ
คืนแรก เราค้างแรมกันที่จุดพักแรมดงน้อยแล้วค่อยเดินขึ้นอ่างสลุงในเช้าวันรุ่งขึ้น
ไม่เหนื่อยเราและไม่เหนื่อยลูกหาบ


 
นั่นแหละที่เราจะเดินไป มองจากผืนดิน ยอดดอยหลวงเสียดเมฆ

  
ระหว่างช่องเขา ทิวทัศน์แจ่มๆ เช่นนี้มีให้เห็นเสมอ


ค้อเชียงดาว เรียงตัวเป็นทิว มองไกลๆ เหมือนกับต้นตาลเลย


แดดบ่ายอาบไล้ยอดเขา แดงเถือกไปทั้งเทือก สวยงามดี


เต๊นท์นอนของคุณลุงลูกหาบ เท่ดี ไม่ต้องแบกขาตั้งเต๊นท์ให้เมื่อยตุ้ม


ภาพค้อเชียงดาวอีกมุม

  
ดอยสามพี่น้องยามย่ำสนธยา


ค้อเชียงดาวริมผา มีให้เห็นกันดาษดื่น


หากทัศนวิสัยแจ่มชัดจะมองเห็นหมู่บ้านชาวบ้านอย่างนี้


ความมืดโรยตัวอย่างช้า แสงสีเงินสีทองทำให้ภาพดูแปลกตาไปได้อย่างที่เห็น

บล็อกของ กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์

กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
นานหลายเดือนที่ผมกับยาดาวางแผนการเดินทางไปเวียดนาม ความจริงก็คือ เรามาเร่งหาข้อมูลเอาโค้งสุดท้ายก่อนจะถึงกำหนดเดินทางเพียงอาทิตย์เดียว ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเส้นทางเข้าสู่เวียดนามมาจากหลายทาง ทั้งจากเพื่อนที่เคยไปและไม่เคยไป (แต่มีคนรู้จักหรือมีเพื่อนเคยไป) ทั้งจากหนังสือและเว็บไซต์ ศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศรวมถึงโลนลี่ พลาเน็ต ฉบับเวียดนาม ที่ลงทุนไปหาซื้อมาตั้งแต่ 6 เดือน ก่อนวันออกเดินทาง (16 วัน ระหว่างวันที่ 3-18 เมษายน 51)ทำไมถึงเวียดนาม อย่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย คือ อยากไปว่ะ!
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
...เรือเล็กทะยานออกจากบ้านท่าตาฝั่ง แหวกสายน้ำเห็นเป็นแนวตามความเร็วของเครื่องยนต์ นกนางแอ่นหางลวดโผตัวอยู่เหนือผิวน้ำสีแดงขุ่น เดือนพฤษภาคม น้ำสาละวินจะเป็นสีแดงขุ่น เป็นไปตามระบบธรรมชาติของแม่น้ำสาละวินที่ถูกยกให้เป็นพื้นที่ของความหลากหลายโลกทั้งในแง่ของชีววิทยาและแง่งามทางวัฒนธรรมแม่น้ำสาละวินเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงชีวิตสองฟากฝั่งน้ำมาอย่างยาวนาน ยาวนานมากพอที่จะสร้างสรรค์รูปแบบทางวัฒนธรรมที่สอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกับระบบทางนิเวศน์วิทยาชนเผ่าโบราณใช้สายน้ำสาละวินเป็นเส้นทางสัญจรติดต่อทำมาค้าขายกันมาตั้งแต่ครั้งอดีตอันรุ่งเรือง ตั้งหลักแหล่งเป็นชุมชนโบราณ…
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
..........‘พวกเรา’ มาถึงหมู่บ้านแม่สามแลบก่อนเที่ยงเล็กน้อยหลังจากที่ต้องผจญกับโค้งนับร้อยโค้งตลอดคืนบนเส้นทางจากกรุงเทพฯถึงตัวอำเภอแม่สะเรียงและจากตัวอำเภอแม่สะเรียงถึงหมู่บ้านแม่สามแลบ ระยะทางที่เหลือ คือ ถนนลูกรังที่เต็มไปด้วยฝุ่นสีแดงและคันดินระหว่างหน้าผาที่ถล่มเป็นโพรงลึกตลอดเส้นทางจุดหมายของการเดินทาง คือ งานพิธีบวชป่าสาละวินเฉลิมพระเกียรติ ‘ในหลวงของเรา’ งานบวชป่าสาละวินเฉลิมพระเกียรติ (6-9 พ.ค. 51) ถูกจัดขึ้น 2 จุด จุดแรก คือ หมู่บ้านท่าตาฝั่ง จุดที่2 คือ หมู่บ้านแม่ดึ๊ ต.แม่คง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน การเดินทางไปยังจุดบวชป่าทั้ง 2 จุด จะต้องโดยสารเรือ จากหมู่บ้านแม่สามแลบ…
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ยามสายวันอาทิตย์ วันหยุดพักผ่อน สำหรับกลุ่มซ.โซ่อาสา กลุ่มอาสาสมัครจะมาสอนเด็กๆ ริมถนนราชดำเนิน ด้านข้างโรงแรมรัตนโกสินทร์......แผ่นกระดาษสีขาวโจทย์บวกลบเลขอย่างง่ายกับโยงคำผิดภาษาไทยได้รับการแจกจ่ายให้เด็กๆ ลูกๆ แม่ค้าพ่อค้าบริเวณนั้นได้ฝึกหัด ...โดยมีอาสาสมัคร กลุ่มซ.โซ่ อาสา เป็นพี่เลี้ยงคอยฝึกสอน...เรียนเล่นและรอยยิ้มสนุกสนานกับขนมนมเนยเล็กๆ น้อยๆ ...ซ.โซ่ อาสา เป็นกลุ่มอาสาสมัครมีมาร่วมกันโดยไม่รู้จักกันมาก่อน เจอเพื่อนใหม่และทำความรู้จักกับกลุ่มครูปู่ http://blogazine.prachatai.com/user/ginnagan/post/101
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
1ตี 5 ครึ่งของวันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม 2549 ท้องฟ้ากำลังจะเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีขาว ชาวจิตอาสา (เกือบ) 20 ชีวิต นัดรวมพลกันหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ บทเริ่มต้นของการเดินทางรวมใจสร้างห้องสมุดดิน (25-27 ส.ค.49) กับกลุ่มรักษ์เขาชะเมา จ.ระยอง คนกวาดถนน รถเก็บขยะและแม่ค้าขายผัก นักเรียน พนักงานห้างและพนักงานออฟฟิศ ผู้บริหาร ครู-อาจารย์และนักการเมือง คือ ลมหายใจของกรุงเทพฯ (มหานครของเรา) กับการเริ่มต้นของชีวิตอีกครั้ง ผมไปถึงที่นัดหมาย 06.00 น. (ฮา)
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ไม่มีของฟรีในโลก ออกจะเป็นวลีที่คุ้นเคยสำหรับคนในโลกยุคนี้ ยิ่งสถานการณ์ราคาน้ำมันแตะเพดานที่ 35 บาท (คาดการณ์ว่าน่าจะเร็วๆ นี้) ทำให้ผู้ประกอบการแท็กซี่ ขสมก. เรือคลองแสนแสบ เรียกว่า ขนส่งมวลชนแทบทุกประเภท ขยับแข้งขาขอขึ้นราคาค่าตัวกันถ้วนหน้ายุคข้าวยากหมากแพง คงไม่ต้องพูดถึงเรื่องการให้งานการให้ในสวน สวนกระแสคำพูดข้างต้น .....ดอกไม้งามในสวนแห่งการให้ถูกจัดขึ้นบริเวณอุทยานเบญจสิริ ภายใต้นิยามที่ว่า “แล้วงานศิลปะแห่งการให้จะกลายเป็นดอกไม้ในสวน” ระหว่างวันที่ 14 กุมภาพันธ์-14 มีนาคม 2551 (mormor.org) เน้นการสร้างสรรค์แนวงานผ่านวิธีคิดของบุคคลในแวดวงแห่งการให้และศิลปินอาสา มากกว่า 100…
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
แถบม่วงของกระหล่ำสีกลีบหยักของกล้วยไม้บางดอกดูแปลกตาดี
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
เสาร์วันหนึ่งกลางสวนรถไฟ กรุงเทพมหานคร ติดตลาดนัดสวนจตุจักรที่คนกรุงคงจะรู้จักกันเป็นอย่างดีเพราะกลางเมืองใหญ่เช่นนี้จะมีสักกี่สถานที่ที่จะมีสีเขียวให้ได้สูดลมหายใจได้เต็มปอดกิ่งใบสีเขียวแก่จัดของต้นก้ามปูใหญ่ยื่นยาวแตกกิ่งก้านสาขาร่มครึ้มอยู่กลางสวน ดอกตะแบกสีม่วงร่วงเกลื่อนพื้นตัดกับสนามหญ้าสีเขียว เด็กผู้พิการทางสายตาจากโรงเรียนสอนคนตาบอด อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ฝั่งโรงพยาบาลราชวิถีส่งเสียงเจี๊ยว รอเวลาที่จะได้ เฮละโลกลุ่มกิจกรรมอิสระเล็กในชื่อกลุ่ม Pay Forward นำเด็กที่มองไม่เห็นมาทำกิจกรรม แรลลี่เพื่อเด็กพิการทางสายตา เด็กๆ จำนวน 24 คน…
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
1.ฉันปลูกต้นไม้วางปุ๋ยเคมีหวังหยั่งรากถึงกิ่งแก้ว2.เนิ่นนานมาแล้วที่จิตสำนึกผมสลายแตกดับพร้อมความดีงาม3.คุณอาจไม่เชื่อเรื่องพรหมลิขิตเมื่อสี่เหลี่ยมรูปหนึ่งตามหาแผ่นดินตาย4.เขาแบ่งปันสีน้ำเงินแก่ผู้ยากไร้หวังลอยสู่ก้อนเมฆ5.ความหวานในทุนนิยมโรยด้วยงาดำตาดำๆ6.ลิ้มรสอำนาจมาหลายสมัยไม่เคยรู้จักพอเพียง คืออะไร7.ผมห่มคลุมแผ่นดินด้วยเงิน บารมีด้วยความชอบธรรม8.ผมไตร่ตรองถึงความซื่อสัตย์และพบเพียงความว่างเปล่าที่ไร้อำนาจ ขอบคุณ ‘โซไรด้า’ น้องที่แสนดี 
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
 1.ดอกไม้มวลชนเดินขบวนเรียกร้องแบบเรียนประชาธิปไตย2.เหตุผลของบางคนหักล้างไม่ได้เมื่อเทียบกับกลีบใบของแผ่นดินที่ร่วงหล่น3.สีชมพูแต้มดวงหน้านกขมิ้นคือ ฝันอันเลือนลางของหนุ่มสาว4.ฉันหวังเห็นแผ่นดินสูงขึ้นด้วยความรักมิใช่ด้วยทรราชย์5.เราเรียกร้องด้วยเสียงเพลงขับไล่ความมืดดำบนถนนแห่งเสรีภาพ  6.ฉันเด็ดใบไม้จากราวป่าเก็บมาฝากสังคมเมือง7.ทุกอย่างเคลื่อนไหวด้วยพลังความดีงาม8.เมื่อฉันลอยตัวให้สูงขึ้นจากทุนนิยมจึงเห็นเวิ้งฟ้าสีฟ้าห่มคลุมเม็ดดิน9.เศษดินคือ บางอย่างที่เหมือนจะไร้ค่าทั้งที่ความจริงฉันก็มาจากสิ่งนี้10.…
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
 ‘FREE TIBETAN’08.30 น. - 19 มีนาคม 2551อากาศหน้าสถานทูตจีน ริมถนนรัชดาร้อนสุดขีด พนักงานกทม.บนรถบรรทุกน้ำสีเขียวปล่อยน้ำออกจากสายพลาสติกกลมเทาพุ่งกระจายฟูฝอยเพื่อทำความสะอาดฟุตบาธตามปกติเวลาทำงาน ไล่เรื่อยมาจากแยกพระรามเก้า-อสมท.-ฟอร์จูน ทาวน์-แยกศักดิ์เสนา ก่อนจะหยุดกึกที่หน้าสถานฑูตจีนเพราะเห็นกลุ่มคน กลุ่มใหญ่ชูป้ายกระดาษ กางผืนธงชาติรูปร่างแปลกตา อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน“ประท้วงนี่หว่า” อย่างเห็นเป็นเรื่องธรรมดาเหมือนกับเวลาทำงาน เขาขับรถผ่านไปไม่หันมามอง...ตำรวจนำกำลังมากั้นแผงเหล็กหน้าสถานฑูตตั้งแต่เช้าแล้ว แดดสายเริ่มทวีความร้อนสุดขีดขึ้นทุกขณะ…
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
มีสถานที่ใดบ้างในโลก ที่ทำให้เราคิดถึงได้อย่างจริงๆ จังๆ ,คิดถึงและต้องกลับไปอีกครั้ง หากไม่มีความทรงจำ ,ก็คงไม่มีอดีตและอนาคต หมู่บ้านแม่ดึ๊จึงเป็นหลายเหตุผลที่คนหลายคนควรจะทำความรู้จักหมู่บ้านแม่ดึ๊ ตำบลแม่คง อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นหมู่บ้านริมฝั่งแม่น้ำสาละวิน เพิ่งมีโรงเรียนและครูได้ไม่นานเดือน ,สำหรับคนกะเหรี่ยงที่นั่น โลกภายนอก คือ บางสิ่งที่ควรจะเรียนรู้...“นาย ,นายเคยเขียนแคนโต้เกี่ยวกับแม่ดึ๊เอาไว้ใช่หรือเปล่า” ผมออกปากกะน้องอย่างนั้น“ไมพี่ เขียนไว้นานแล้ว ตั้งแต่ไปค่ายจิตอาสากับพี่นั่นแหละ”“เอ่อ ครือ..ผมคิดว่า เอ่อ...ผมอยากได้งานนายมาประกอบภาพว่ะ”ผม ‘เอ่อ’…