Skip to main content
อีกครั้งที่ ‘เพื่อนผม' มันไปสังเกตุการณ์การเลือกตั้งในบังคลาเทศ (แล้วผมก็เอามาเขียน 555) (จริงๆ มันไปเมื่อนานมาแล้วสักครึ่งปีเห็นจะได้)


มันบอกว่า คำแนะก่อนการเดินทางสำหรับทริปส์นี้ คือ บังคลาเทศเป็นประเทศมุสลิมอันดับ 2 ของโลก หมายถึง การสำรวมกายวาจาใจในฐานะผู้หญิง ต้องปกปิดเนื้อตัวร่างกายตามหลักจารีตอันดีงามที่สั่งสมกันมาตั้งแต่ครั้งกระโน้น จะไปเดินสายเดี่ยวเฉิดฉายเหมือนย่านเซ็นเตอร์พ๊อยท์คงไม่ได้ เข้าทำนองเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามว่างั้นเหอะ


สายการบินไทยโฉบลงรันเวย์สนามบินกรุงดาก้า เมืองหลวงของประเทศ แดดอุ่นไม่ร้อนแผดเหมือนเมืองไทยแต่พอจะทำให้เหงื่อไหลไคลย้อยได้เช่นกัน ตรงกับคำแนะนำเพราะสิ่งแรกที่มันเห็น คือ ผู้หญิงสวมชุดคลุมเบอร์ก้า ตั้งแต่หัวจรดเท้า มองเห็นแต่ตา หากไม่คุ้นเคยคงเดาไม่ออกกันทีเดียวว่าใครเป็นใคร ส่วนผู้ชายจะสวมชุดยาวกรอมข้อเท้า สวมหมวก ขวักไขว่เหมือนในหนังแนวอาหรับราตรี


ในฐานะผู้หญิง มันตั้งข้อสังเกตุแนวสตรีนิยมว่า "แกเชื่อมะ ผู้หญิงจะเดินข้างหลังผู้ชายสองสามก้าว(เสมอ)" คำว่า เสมอนี่ผมเติมเองนะครับ


ระหว่างรอรับกระเป๋าเดินทาง สายพานลำเลียงค่อยๆ ทยอยข้าวของสัมภาระผู้โดยสาร เพื่อนผมมันหมุนคว้างๆ เพราะผู้คนซึ่งเพิ่งเดินทางกลับมาจากการประกอบพิธีฮัจญ์กรูกันเข้าไปมุงอยู่ตรงสายพาน ส่งเสียงโหวกเหวกเอะอะยื้อแย่งเพื่อให้ได้ข้าวของของตนก่อนใครอื่น "แล้วตูจะแย่งกะเขาได้มะเนี่ย"

....


ย่านที่พักถือเป็นย่านหรูที่สุดของเมืองเชียวนะแก (หรูเท่าที่จะหรูได้ในเมืองดาก้า) โรงแรมชื่อโรสวู้ด แถบที่เรียกกันว่า ‘กรูชาน' หมอกยามเช้าระเรี่ยผิวดิน หากมองจากโรงแรมจะเห็นตึกระฟ้าของเมืองโดดเด่นสลับกับชุมชนแออัด เมื่อถึงเวลา คนกลุ่มใหญ่จะพายเรือข้ามมาทำงานในเมือง


บังคลาเทศแยกตัวออกมาจากปากีสถาน ก่อนหน้านี้ ทั้งสองเคยเป็นประเทศเดียวกัน เรียกว่า ปากีสถานตะวันตก(ปากีสถานปัจุบัน)และปากีสถานตะวันออก(บังคลาเทศ) โดยมีอินเดียอยู่ตรงกึ่งกลาง มันบอกว่า หากย้อนไปอีก ทั้งสามประเทศเป็นผืนเดียวกัน ต่อเมื่อ ปากีสถานแยกตัวเองออกมาจากอินเดีย หลังจากนั้น บังคลาเทศจึงประกาศอิสระภาพ ก็นะ ‘คนมันถูกสาปให้มีอิสระภาพ' ผมเสริม


เปล่า มันเป็นเหตุผลทางด้านเชื้อชาติ ภาษาและวัฒนธรรม


งานนั้นมีคนแลกชีวิตเพื่ออิสระภาพมากกว่า 3 ล้านคน (ตัวเลขนี้เป็นที่ยอมรับจากแวดวงนักวิชาการทั่วโลก มันกระซิบ)


"เฮ้ย เราไม่ได้เข้าคอร์สประวัติศาสตร์นะเฟ้ย" ผมเริ่มค้าน

"เออ! จริงๆ เด็กผู้หญิงรุ่นใหม่เขาเลิกคลุมหน้าคลุมตากันแล้ว"

"..."

 

ฝั่งซ้ายของแม่น้ำ คือ ย่านชุมชนแออัด ส่วนฝั่งขวา คือ ย่านหรูที่ว่า เวลากลางคืน ในย่านชุมชนแออัดจะมองเห็นดวงไฟตะเกียงเป็นจุดๆ ส่วนฝั่งขวาจะเห็นไฟนีออนสว่างโร่



เช้าตรู่ บนถนนในกรูชานย่านหรูที่สุดของดาก้า



อนุสรณ์สถานของการประกาศอิสระภาพจากปากีสถาน



บรรยากาศการเลือกตั้งภายในกรุงดาก้า



พระราชวังสุลต่าน ‘ลาบั๊ก ฝอร์ด' โบราณสถานและสถานที่ท่องเที่ยวติดอันดับ



อีกมุมหนึ่งในลาบั๊ก ฝอร์ด



กำแพงลาบั๊ก ฝอร์ด



กำแพงลาบั๊ก ฝอร์ด ในมุมกว้าง มองเห็นชายหญิงมานั่งพักผ่อน



ยามเช้าบริเวณแยกไฟแดง กลางกรุงดาก้า



ชาร้อนๆ ครับ!!

 

บล็อกของ กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์

กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
อยู่ดาก้าเพียง 2 วัน มันถูกส่งขึ้นดอยแดนดงป่า อีกแล้ว (ตรงนี้เพื่อนผมอุทธรณ์ว่า เหมือนอยู่เมืองไทยไม่มีผิด กำ) “ต้องไปเมืองอะไรครับ” เจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดการถาม ‘จิตตะกอง’ “โห โหดน๊า” นั่นหมายถึงคำปลอบโยน
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
อีกครั้งที่ ‘เพื่อนผม' มันไปสังเกตุการณ์การเลือกตั้งในบังคลาเทศ (แล้วผมก็เอามาเขียน 555) (จริงๆ มันไปเมื่อนานมาแล้วสักครึ่งปีเห็นจะได้)
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ภาพสุดท้ายที่ผมมองเห็นก่อนออกจากเปียงหลวง คือ ทิวเขาลูกนั้นในสายหมอกโอบอ้อมกับรอยยิ้มอิ่มบุญของคนไต งานปอย-ส่างลองสิ้นสุด พร้อมกับคอนเสริ์ตทิ้งท้ายที่เล่นกันค่อนรุ่ง ความรื่นเริงของคนหนุ่มสาวและส่างลองที่พร้อมจะเข้าสู่โลกแห่งธรรม
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ผมคิดว่าโครงใบหน้าของคนไตดูสวยดี โดยเฉพาะ ,ผู้หญิง ถึงแม้ว่า วันนี้ พวกเธอหลายคนจะต้องออกไปหางานทำนอกหมู่บ้าน , สิ่งที่มากกว่านั้น คือ ความรักและแรงศรัทธาในการร่วมงานบุญ ,และรอยยิ้มของพวกเธอ
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ศูนย์พักรอกุงจ่อ คือ พื้นที่ของผู้หนีภัยการสู้รบจากการปราบปรามอย่างรุนแรงของรัฐบาลทหารพม่า นับจากปี 2545 ชาวไต(ไทใหญ่)ร่วมหนึ่งพันคน เดินเท้าเข้าประเทศไทยทางด่านหลักแต่ง...!!!
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
พ่อส้านและส่างลอง เป็นภาพที่คู่กัน ส่างลองอยู่ที่ไหน พ่อส้านจะอยู่ที่นั่น แต่ละคน แต่ละคู่ ต่างมีลีลาที่แตกต่างกันออกไป ... เชื่อกันว่า ได้บุญใหญ่ ส่างลองในวันนี้จะเป็นพ่อส้านที่ดีในวันหน้า ทั้งนี้ ตามความสมัครใจ เช้า ขี่คอแห่ส่างลองไปตามวัด บ่ายแก่ได้พัก กลางคืนนอนเฝ้าส่างลองหลังซุ้ม ครบ 5 วัน เชื่อกันว่า ได้ขึ้นสวรรค์ !!! ดูลีลาของพวกเขาสิครับ .....
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
บริเวณสนามฟุตบอล โรงเรียนบ้านเปียงหลวงเต็มไปด้วนสีสัน สีสันงานบุญซุ้มส่างลองทั้ง 107 ซุ้มกระจายอยู่โดยรอบสนามฟุตบอล เวทีดนตรีใหญ่หันหน้าประชันกับเวทีลิเกไทใหญ่หรือ "จ๊าดไต" เวทีใหญ่เล่นดนตรีทันสมัย โครงสร้างเวทีทำด้วยแกนเหล็กประกบเสาสูงราวเมตรครึ่ง ,ส่วนเวทีจ๊าดไตทำจากโครงไม้ไผ่ทั้งหลัง ปูพื้นด้วยแผ่นไม้กระดาน ฝาด้านหลังทำด้วยใบตองตึงสีน้ำตาลแห้งเก่าทะลุมองเห็นด้านใน ,วงดนตรีเครื่องสายดีดสีตีเป่าครบ ,นางรำแต่งหน้าทาปาก พันคอด้วยผ้าแถบมันเลื่อม ด้านตรงข้ามแดนเซอร์ชาวดอยวิ่งกระจายออกมาหน้าเวทีใหญ่
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
มีดโกนด้ามใหม่ สีดำสนิท บรรจงกรีดลงไปตามไรผมแต่ละเส้น ส่างลองทุกคนรู้ดีว่า พิธีกรรมต่อจากนี้ไปพวกเขาจะต้องใช้ความอดทนมากแค่ไหนกว่าผมจะหมดศีรษะ บางคนใบหน้าเหยเก บางคนถึงกับร้องไห้ จนพระพี่เลี้ยงและพ่อแม่ต้องหยุดใบมีดเอาไว้ก่อนแล้วตักน้ำส้มป่อยราดหัว ฟอกด้วยยาสระผมแล้วเริ่มโกน โกนจนหมดศีรษะ !!!
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
รถตู้กลางเก่ากลางใหม่ของบริษัทดาวทองขนส่ง จำกัด ออกจากสถานีช้างเผือก 10.30 น. หนุ่มใหญ่วัย 40 เศษ ไว้เคราบางๆและสวมแว่นตาดำตลอดเวลาซิ่งเจ้าเพื่อนยากปุเลงไปตามสันเขาน้อยใหญ่บนเส้นทางเชียงใหม่-เปียงหลวง 161 กิโลเมตร แดดฤดูร้อนจัดจ้านขับให้ดอกหางนกยูงสีแดงข้างทางสดเข้ม ออกจากตัวเมืองเชียงใหม่ผ่านอำเภอเชียงดาวถึงแยกเมืองงาย เลี้ยวซ้ายไปตามถนนสายแม่จา-เปียงหลวง ก่อนที่เส้นทางจะไต่ไปตามสันเขาคดเคี้ยว หนุ่มนักซิ่งของเราจะเตือนผู้โดยสารผ่านน้ำเสียงหนักแน่นว่า
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
... ผู้เฒ่าหญิงชายทั้งในชุดห่มขาวและชุดลำลองทั่วไป ต่อแถว รอพระลงจากกุฏิรับบิณฑบาตร สายหมอกฤดูร้อนห่มคลุมจางๆ ทำให้บรรยากาศรอบๆ ดูเลือนลางกึ่งจริงกึ่งฝัน งานฉลองพิพิธภัณฑ์หลวงปู่ตื้อฯ ที่บ้านข่า อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม มีศาสนิกชนผู้ศรัทธาเนืองแน่นเดินทางมาจากทุกสารทิศงานครั้งนี้เป็นบุญใหญ่ที่มีการเฉลิมฉลองถึง 15 วัน (1-15 พ.ค. 52) ภายในงานเปิดโรงทานโดยผู้มีจิตศรัทธาจะทำอาหารมาเลี้ยงผู้ร่วมงานบุญโดยไม่คิดสตางค์
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์