Skip to main content

นานหลายเดือนที่ผมกับยาดาวางแผนการเดินทางไปเวียดนาม ความจริงก็คือ เรามาเร่งหาข้อมูลเอาโค้งสุดท้ายก่อนจะถึงกำหนดเดินทางเพียงอาทิตย์เดียว ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเส้นทางเข้าสู่เวียดนามมาจากหลายทาง ทั้งจากเพื่อนที่เคยไปและไม่เคยไป (แต่มีคนรู้จักหรือมีเพื่อนเคยไป) ทั้งจากหนังสือและเว็บไซต์ ศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศรวมถึงโลนลี่ พลาเน็ต ฉบับเวียดนาม ที่ลงทุนไปหาซื้อมาตั้งแต่ 6 เดือน ก่อนวันออกเดินทาง (16 วัน ระหว่างวันที่ 3-18 เมษายน 51)

ทำไมถึงเวียดนาม อย่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย คือ อยากไปว่ะ!

ผมและเธอ ตัดสินใจใช้เส้นทางมุกดาหาร สะหวันเขต-ด่านลาวบาว-เว้ ด้วยเหตุผลที่ว่า เส้นทางรถโดยสารจะทำให้เรามองเห็นทัศนียภาพ 2 ข้างทางได้ถนัดตามากกว่าโดยสารเครื่องบิน สำหรับเส้นทางนี้ เอาไปเล่าให้ใครฟังแล้วต่างส่ายหน้าก่อนจะบ่นๆ ทำนองว่า “แหม ช่างอึดอดทนกันซะจริงนะยะ” หรือ “ไปเหอะ ช่วงนี้เข่าไม่ดีว่ะเพื่อน” ก่อนจะตบบ่าเราเบาๆ หรือ “เพื่อน เราแก่แล้วอ่ะ” และอื่นๆ อีกสารพัด

ผมจองตั๋วไปมุกดาหารที่สถานีขนส่งหมอชิต ตามสูตรแล้ว ผมควรใช้บริการบริษัทสหพันธ์ร้อยเอ็ด ทัวร์ ที่ได้รับการการันตีจากแหล่งข้อมูลแต่ดูเหมือนโชคชะตาจะมีเหตุผลบางอย่าง เจ้าหน้าที่ซึ่งรับจองตัวของบริษัทไม่อยู่ที่ห้องจองตั๋ว สอบถามได้ความว่า
“พวกเธอไปรับเงินเดือน รออีกสักครู่นะครับ” ชายหนุ่มยื่นหน้ามาบอก

ผมรออยู่ชั่วอึดใจแต่เวลาเหมือนจะเชื่องช้า สายตาจับไปยังห้องที่ว่างเปล่าของบริษัท ก่อนตัดใจ ”จองตั๋วไปมุกดาหาร 2 ที่ครับ” ผมบอกกับเจ้าหน้าที่ของบริษัทเชิดชัยทัวร์หลังจากเช็ควันเวลาในตั๋วเรียบร้อย โดยไม่ได้ตั้งใจ ผมหันไปมองที่ห้องบริษัทสหพันธ์ร้อยเอ็ดทัวร์อีกครั้ง

เอ่อ พวกเธอกลับมานั่งประจำที่เรียบร้อย !

เวลา 18.30 น. ของวันที่ 3 เมษายน เรามาถึงหมอชิตก่อนเวลารถออกครึ่งชั่วโมง ผมรอคอยการเดินทางนัดนี้อย่างใจจดจ่อ ดังนั้น ผมจึงไม่อยากให้มีความผิดพลาดใดใดเกิดขึ้น อากาศครึ้มทั้งที่เป็นฤดูร้อน ข่าวคราวของเวียดนามผ่านเข้าหูหลายเรื่อง ภาคเหนือของประเทศ (ช่วงนั้น) กำลังประสบภาวะหนาวจัด ไปเวียดนามหากไม่ถูกโกง โก่ง ราคา เรียกว่าไปไม่ถึง คนเวียดไม่พูดภาษาอังกฤษ หากซื้อสินค้าต้องต่อราคามากกว่า 80% และสาวเวียดผิวเนียนมั่กๆ ฯลฯ

ระหว่างรอเวลารถออก หนุ่มใหญ่ในชุดกางเกงยีนส์ เสื้อเชิ้ตลายทางสีเขียวซีดๆ นายหนึ่ง กุมนิตยสารแนวก็อสซิปดาราแนบอก เดินขึ้นมาบนรถอย่างคนคุ้นเคย(เพราะทำมาหากินอยู่แถวนี้) “ดูฟรีจ้า ดูฟรี” แกตะโกน ตามองไปหลังรถทัวร์คันยาว จับจุดอยู่ที่ผนังห้องน้ำสีครีม มือหยิบนิตยสารส่งให้ผู้โดยสารซ้าย-ขวา บางคนรับ-บางคนไม่รับ เราส่ายหน้า เพราะไม่คิดว่าการอ่าน    ก็อดซิปดาราระหว่างนั่งรถโดยสารจะเป็นการฆ่าเวลาที่ดีนัก

หนุ่มใหญ่เดินแจกนิตยสารสุดความยาวของตัวรถ จรดห้องน้ำสีครีม ก่อนจะเดินกุมนิตยสารที่เหลือกลับมา เขาหยุดยืนหน้าผู้โดยสารวัยรุ่น 2 คน ที่รับนิตยสารของเขาไปดู ยื่นมือออกไปพร้อมกับพูดว่า “20 บาท น้อง”

ผมลอบมองใบหน้าเหวอๆ ของวัยรุ่นทั้ง 2 คน อย่างไม่มีเจตนาทำร้ายพวกเขามากไปกว่านี้ ”เออ เยี่ยม นี่ยังไม่ถึงเวียดนามเลยนะเนี๊ยะ” ผมกระซิบ

รถทัวร์มาถึงมุกดาหาร ตี 5 ครึ่งจนได้ หลังจากที่หยุดแวะเช็คยางระหว่างทางเสียมากกว่า 3 ชั่วโมง ก่อความกังวลให้ผู้โดยสารบางจำนวนซึ่งทำได้เพียงแค่หัวเราะขื่นไปตามสถานการณ์ ขนส่งจังหวัดมุกดาหารใหญ่โตกว้างขวาง ภายในตัวอาคารที่พักผู้โดยสารจะเห็นลูกศรสีเหลืองอันขนาดย่อมชี้ไปยังข้อความว่า “เส้นทางสู่สะหวัน”

สำหรับผู้โดยสารที่ต่อรถไปยังแขวงสะหวันเขตให้ขึ้นสกายแล็ป (คล้ายรถตุ๊กๆ ในกรุงเทพฯแต่คันใหญ่กว่ามีที่นั่งและหลังคาคลุมทางตอนหลัง) ตรงจุดนี้ได้เลย รถจะพาไปส่งยังสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ในราคา 50 บาท/หัว หากมีสัมภาระต่อรองเหมาจ่ายกันไปตามราคา

สำหรับคนที่จะไปเว้ สามารถซื้อตั๋วได้ที่สถานีขนส่งเหมือนกัน ต้องซื้อตั๋ว 2 ใบ มุกดาหาร-สะหวันเขต ในราคา 45 บาท และ จองตั๋วสะหวันเขต-เว้ ในราคา 99.000 กีบ (ราคานี้เป็นราคาวีไอพี มีประกันอุบัติเหตุเรียบร้อย)

รถไปเว้จะออกจากแขวงสะหวันเขต เวลา 10.00 น.-18.00 น. รถประจำทางสายนี้มีเพียงเที่ยวเดียว วิ่งทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ พักเว้ 1 คืน แล้วรับคนกลับในวันอังคาร พฤหัส เสาร์ (วันอาทิตย์คาดว่าจะเป็นวันหยุด) หากไปไม่ตรงตามวันเวลาดังกล่าวจะต้องนั่งรถ 2 ต่อ พักที่ด่านลาวบาว 1 คืน ก่อนจะต่อรถเข้าไปเว้ในวันถัดไป เลือกได้ตามความถนัด

เส้นทางหมายเลข 9 (มุกดาหาร-สะหวันเขต-ลาวบาว-เว้) เป็นถนนสายเดียวสำหรับรถประจำทางที่เปิดใช้อยู่ในปัจจุบัน กว่าจะหลุดรอดออกจากแขวงสะหวันเขต เราเจอด่านตรวจคนเข้าเมืองถี่ยิบ ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นชาวลาว ชาวเวียดนามที่ข้ามมาทำงานในประเทศไทย รวมถึงนักท่องเที่ยวที่มีให้เห็นประปราย ต้องขึ้นลงสแตมป์พาสปอร์ต กรอกเอกสาร จ่ายค่าธรรมเนียมกันเป็นที่สนุกสนาน

ด่านไทย-สะหวันเขต 40 บาท (รับเงินไทย)
ด่านสะหวันเขต-ลาวบาว 40 บาท (รับเงินไทย)
ด่านลาวบาว-เว้ 10.000 ดอง (รับเงินดองหรือดอลลาร์)


คนขับรถวีไอพีสีฟ้าอ่อนเป็นชายวัยกลางคน ผอมผิวคล้ำน้ำตาลออกแดงเป็นคนในแขวงสะหวันเขต สื่อสารกับคนไทยอย่างเราได้เข้าใจ บนรถมีผู้โดยสารชาวไทยกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งและคุณลุงกับหลานคู่หนึ่งที่มาเที่ยวแบบแบ็กแพ็กสไตล์เพื่อหาประสบการณ์แปลกใหม่ เราทำความรู้จักกันพอหอมปากหอมคอ ก่อนจะเพลิดเพลินพินิจทิวทัศน์ระหว่างเส้นทาง

ที่น่าสนใจ คือ บ้านเรือนแทบทุกหลังจะมีธงชาติ(ลาว)ประดับเอาไว้ที่หน้าต่างหรือตามรั้วบ้าน รวมทั้งค่ายกองทัพประชาชน บ่งบอกความรู้สึกถึงความเป็นชาติของคนลาวอย่างลึกซึ้ง เราได้ลิ้มชิมรสอาหารเวียดนามมื้อแรก ระหว่างรถแวะพักเที่ยง ข้าวเม็ดกลมโต อัดอยู่ในถ้วยก้นลึกกับตะเกียบปลายเรียว กับข้าวมีให้เลือกหลายอย่าง ส่วนใหญ่จะเป็นผัก ทั้งผัดกวางตุ้ง แกงเผ็ดเห็ด กับเนื้อหรือหมูและไก่ ในราคา 50 บาท/ข้าวราด 3 อย่าง

แดดจัดจ้านขึ้นตามลำดับเวลา ต่อเมื่อเรามาถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองลาวบาว ซึ่งเป็นด่านสุดท้ายก่อนจะเข้าสู่ประเทศเวียดนาม จะมองเห็นประตูโค้งขนาดมหึมา “ลาวบาว อินเตอร์เนชั่นแนล บอร์เดอร์ เกท” ฝนจึงเริ่มโปรยเม็ด

ก่อนจะเข้าด่าน วีไอพีสีฟ้าจะหยุดให้ผู้โดยสารทั้งที่เป็นนักท่องเที่ยวลงไปตรวจหลักฐาน จุดนี้ค่อนข้างเข้มงวดและใช้เวลาตรวจครู่ใหญ่ทีเดียว ระหว่างนี้ นักท่องเที่ยวจะได้พบกับนักค้าเงิน(รายย่อย)ระดับชาวบ้าน พวกเธอจะรอลูกค้าอยู่ที่ด่าน ระหว่างที่นักท่องเที่ยวลงไปตรวจหลักฐาน เธอจะรีบขึ้นมาบนรถเพื่อเสนอแลกเปลี่ยนเงินในอัตรา 1บาท/490 ดอง หากใครแลกเงินมาแล้วเธอจะเสนอขายซิมเวียดนามสำหรับโทรศัพท์เป็นลำดับต่อไป

เรื่องอัตราการแลกเปลี่ยนเงินเป็นอีกเรื่องที่ต้องหาข้อมูลศึกษาให้ดี เราใช้วิธีแลกเงินบาทเป็นดอลลาร์แล้วนำไปแลกเงินดองซึ่งจะได้ค่าส่วนต่างมากกว่า ช่วงนั้นเงินดอลลาร์อ่อนค่ากว่าเงินบาท ดังนั้น เราจึงสามารถแลกเงินได้ในอัตราเหรียญละ 512 ดอง (อัตรานี้แลกกับธนาคารเวียดนาม) คิดส่วนต่างได้ +704 ดอง อัตรานี้ = 31.4 บาท/1เหรียญ

คนที่นั่นสนใจเงินดอลลาร์มากกว่าเงินบาท เพราะฉะนั้น หากไม่จำเป็นห้ามแลกเงินกับนักค้าเงินรายทางแต่ให้ตรวจสอบอัตราแลกเปลี่ยนกับธนาคารในเมืองใหญ่ก่อนตัดสินใจ

ตามสูตรนี้นะครับ
31.4 บาท / 1$ / 512 Dong (ธนาคาร)
1$ / 15.000 Dong หรือ 1 บาท / 490 Dong (รายทาง)
คิดส่วนต่าง 704 Dong / $
ดังนั้น จากพ็อกเก็ต 30.000 บาท / 2 คน เราได้กำไรจากส่วนต่าง 672.600 ดอง
(ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับค่าเงินดอลลาร์ในขณะนั้น)


การเข้าถึง ‘ข้อมูล’ จำเป็นสำหรับคนทุกคนครับ!

20080529 1
วีไอพีสีฟ้าจากแขวงสะหวันเขต

20080529 2
ลุงหลานหัวใจหนุ่มครับ

20080529 3
อาหารรสเวียดนาม มื้อแรก

20080529 4
นักค้าเงินรายย่อย

 

20080529 5

20080529 6
ชาวเวียดนามที่มารับจ้างแบกของบริเวณด่านชายแดน

20080529 7
เอ่อ เด็กสาวชาวเวียดคนแรกที่เจอ

20080529 8
รอยยิ้มพิมพ์ใจ ระหว่างทาง เด็กๆ เหมือนกันทุกที่ในโลก เมื่อยกกล้องขึ้น แกจะเขิน

20080529 9
ด่านลาวบาว ใหญ่มะครับ

บล็อกของ กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์

กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
อยู่ดาก้าเพียง 2 วัน มันถูกส่งขึ้นดอยแดนดงป่า อีกแล้ว (ตรงนี้เพื่อนผมอุทธรณ์ว่า เหมือนอยู่เมืองไทยไม่มีผิด กำ) “ต้องไปเมืองอะไรครับ” เจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดการถาม ‘จิตตะกอง’ “โห โหดน๊า” นั่นหมายถึงคำปลอบโยน
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
อีกครั้งที่ ‘เพื่อนผม' มันไปสังเกตุการณ์การเลือกตั้งในบังคลาเทศ (แล้วผมก็เอามาเขียน 555) (จริงๆ มันไปเมื่อนานมาแล้วสักครึ่งปีเห็นจะได้)
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ภาพสุดท้ายที่ผมมองเห็นก่อนออกจากเปียงหลวง คือ ทิวเขาลูกนั้นในสายหมอกโอบอ้อมกับรอยยิ้มอิ่มบุญของคนไต งานปอย-ส่างลองสิ้นสุด พร้อมกับคอนเสริ์ตทิ้งท้ายที่เล่นกันค่อนรุ่ง ความรื่นเริงของคนหนุ่มสาวและส่างลองที่พร้อมจะเข้าสู่โลกแห่งธรรม
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ผมคิดว่าโครงใบหน้าของคนไตดูสวยดี โดยเฉพาะ ,ผู้หญิง ถึงแม้ว่า วันนี้ พวกเธอหลายคนจะต้องออกไปหางานทำนอกหมู่บ้าน , สิ่งที่มากกว่านั้น คือ ความรักและแรงศรัทธาในการร่วมงานบุญ ,และรอยยิ้มของพวกเธอ
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ศูนย์พักรอกุงจ่อ คือ พื้นที่ของผู้หนีภัยการสู้รบจากการปราบปรามอย่างรุนแรงของรัฐบาลทหารพม่า นับจากปี 2545 ชาวไต(ไทใหญ่)ร่วมหนึ่งพันคน เดินเท้าเข้าประเทศไทยทางด่านหลักแต่ง...!!!
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
พ่อส้านและส่างลอง เป็นภาพที่คู่กัน ส่างลองอยู่ที่ไหน พ่อส้านจะอยู่ที่นั่น แต่ละคน แต่ละคู่ ต่างมีลีลาที่แตกต่างกันออกไป ... เชื่อกันว่า ได้บุญใหญ่ ส่างลองในวันนี้จะเป็นพ่อส้านที่ดีในวันหน้า ทั้งนี้ ตามความสมัครใจ เช้า ขี่คอแห่ส่างลองไปตามวัด บ่ายแก่ได้พัก กลางคืนนอนเฝ้าส่างลองหลังซุ้ม ครบ 5 วัน เชื่อกันว่า ได้ขึ้นสวรรค์ !!! ดูลีลาของพวกเขาสิครับ .....
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
บริเวณสนามฟุตบอล โรงเรียนบ้านเปียงหลวงเต็มไปด้วนสีสัน สีสันงานบุญซุ้มส่างลองทั้ง 107 ซุ้มกระจายอยู่โดยรอบสนามฟุตบอล เวทีดนตรีใหญ่หันหน้าประชันกับเวทีลิเกไทใหญ่หรือ "จ๊าดไต" เวทีใหญ่เล่นดนตรีทันสมัย โครงสร้างเวทีทำด้วยแกนเหล็กประกบเสาสูงราวเมตรครึ่ง ,ส่วนเวทีจ๊าดไตทำจากโครงไม้ไผ่ทั้งหลัง ปูพื้นด้วยแผ่นไม้กระดาน ฝาด้านหลังทำด้วยใบตองตึงสีน้ำตาลแห้งเก่าทะลุมองเห็นด้านใน ,วงดนตรีเครื่องสายดีดสีตีเป่าครบ ,นางรำแต่งหน้าทาปาก พันคอด้วยผ้าแถบมันเลื่อม ด้านตรงข้ามแดนเซอร์ชาวดอยวิ่งกระจายออกมาหน้าเวทีใหญ่
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
มีดโกนด้ามใหม่ สีดำสนิท บรรจงกรีดลงไปตามไรผมแต่ละเส้น ส่างลองทุกคนรู้ดีว่า พิธีกรรมต่อจากนี้ไปพวกเขาจะต้องใช้ความอดทนมากแค่ไหนกว่าผมจะหมดศีรษะ บางคนใบหน้าเหยเก บางคนถึงกับร้องไห้ จนพระพี่เลี้ยงและพ่อแม่ต้องหยุดใบมีดเอาไว้ก่อนแล้วตักน้ำส้มป่อยราดหัว ฟอกด้วยยาสระผมแล้วเริ่มโกน โกนจนหมดศีรษะ !!!
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
รถตู้กลางเก่ากลางใหม่ของบริษัทดาวทองขนส่ง จำกัด ออกจากสถานีช้างเผือก 10.30 น. หนุ่มใหญ่วัย 40 เศษ ไว้เคราบางๆและสวมแว่นตาดำตลอดเวลาซิ่งเจ้าเพื่อนยากปุเลงไปตามสันเขาน้อยใหญ่บนเส้นทางเชียงใหม่-เปียงหลวง 161 กิโลเมตร แดดฤดูร้อนจัดจ้านขับให้ดอกหางนกยูงสีแดงข้างทางสดเข้ม ออกจากตัวเมืองเชียงใหม่ผ่านอำเภอเชียงดาวถึงแยกเมืองงาย เลี้ยวซ้ายไปตามถนนสายแม่จา-เปียงหลวง ก่อนที่เส้นทางจะไต่ไปตามสันเขาคดเคี้ยว หนุ่มนักซิ่งของเราจะเตือนผู้โดยสารผ่านน้ำเสียงหนักแน่นว่า
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
... ผู้เฒ่าหญิงชายทั้งในชุดห่มขาวและชุดลำลองทั่วไป ต่อแถว รอพระลงจากกุฏิรับบิณฑบาตร สายหมอกฤดูร้อนห่มคลุมจางๆ ทำให้บรรยากาศรอบๆ ดูเลือนลางกึ่งจริงกึ่งฝัน งานฉลองพิพิธภัณฑ์หลวงปู่ตื้อฯ ที่บ้านข่า อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม มีศาสนิกชนผู้ศรัทธาเนืองแน่นเดินทางมาจากทุกสารทิศงานครั้งนี้เป็นบุญใหญ่ที่มีการเฉลิมฉลองถึง 15 วัน (1-15 พ.ค. 52) ภายในงานเปิดโรงทานโดยผู้มีจิตศรัทธาจะทำอาหารมาเลี้ยงผู้ร่วมงานบุญโดยไม่คิดสตางค์
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์