โศกนาฏกรรมปารีส ถอดหน้ากากจักรวรรดินิยม ต่อต้านการรวมตัวนานาชาติ ปกป้องสิทธิและเสรีภาพของพวกเรา

โศกนาฏกรรมปารีส ถอดหน้ากากจักรวรรดินิยม ต่อต้านการรวมตัวนานาชาติ ปกป้องสิทธิและเสรีภาพของพวกเรา


โดย Révolution – France (Tuesday, 17 November 2015)

แปลโดย Group og Camrades

การโจมตีปารีสหรือการก่อการร้ายเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (13/11/2015) นั้นกระตุ้นให้เกิดความโกรธและความเกลียดชังขึ้นอย่างมากในหมู่ประชากรชาวฝรั่งเศสนับล้านคนทั้งในหมู่กรรมกรและคนหนุ่มสาว แม้เวลาจะผ่านมากว่าสามวันแล้วแต่อารมณ์โกรธแค้นและเกลียดชังดังกล่าวก็ยังคงอยู่และดูเหมือนว่ามันจะไม่หายไปง่ายๆ ความหวาดกลัวต่อการโจมตีระลอกใหม่และความหวาดระแวงปรากฏออกมาอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเกิดจากความล้มเหลวของรัฐบาลฝรั่งเศสในการป้องกันเหตุกราดยิงและก่อการร้ายซึ่งเกิดขึ้นในคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งทิ้งช่วงเพียงสิบเดือนหลังจากกรณี Charlie Hebdo ในวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ท้องถนนในเมืองใหญ่ของฝรั่งเศสถูกทิ้งร้าง ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ถึงความวิตกกังวลและความกลัวร่วมกันของประชาชนชาวฝรั่งเศสต่อการก่อการร้าย

อย่างไรก็ตาม ความกลัวและความไม่พอใจนั้นเป็นของที่อยู่คู่กันพร้อมด้วยคำถามที่กดดันซึ่งจะนำไปสู่ข้อถกเถียงที่น่าสนใจ นอกเหนือจากผู้ก่อการร้ายและผู้วางแผนก่อการร้ายในเหตุกราดยิงแล้ว ใครอีกบ้างที่ควรต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้น? สิ่งที่เราเรียกว่า “รัฐอิสลาม” (Islamic State) นั้นกำเนิดมาจากไหน? ผลลัพธ์อะไรบ้างที่พวกจักรวรรดินิยมผู้สนับสนุนได้รับกลับไปและยังไม่ได้รับกลับไป? ทั้งทางตรงและทางอ้อม? ที่สำคัญคือจักรวรรดินิยมฝรั่งเศสนั้นรับบทบาทไหนและเล่นอยู่ในบทบาทไหนของความขัดแย้งระดับโลกนี้ อะไรคือความคิดหรือจุดยืนที่แท้จริงของชนชั้นปกครองในฝรั่งเศสและรัฐบาลฝรั่งเศสที่ใช้ในการบริหารจัดการต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน ทั้งต่อในฝรั่งเศส ต่อซีเรีย และต่อที่อื่นๆ อะไรคือเป้าหมายที่แท้จริงของการปฏิบัติการทางทหารของฝรั่งเศสในการแทรกแซงซีเรียกันแน่?

รัฐบาลฝรั่งเศสและพวกนักการเมืองชนชั้นกลางพยายามทุกวิถีทางที่จะจมอยู่กับทะเลของคำโกหกหลอกลวงและเสแสร้งที่อธิบายว่านี่เป็นการต่อสู้และสงครามระหว่างฝั่ง “ผู้ปกป้องสันติภาพ” (“Defenders” of “Peace”) และ “ประชาธิปไตย” ซึ่งต่อสู้กับพวกนิยมความป่าเถื่อนในที่อื่นๆ อย่างไรก็ตามกระทั่งในหมู่ผู้ที่ยอมรับคำพูดโง่เขลาดังกล่าวนั้นก็ยังรู้สึกถึงบางสิ่งและเริ่มตั้งข้อสงสัยต่อการสรุปแบบดังกล่าวมากขึ้นเรื่อยๆหลังจากผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ในช่วงเวลาไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมาในฐานะที่เป็นรัฐจักรวรรดินิยม (หรือใช้อำนาจแบบจักรวรรดินิยม) เช่น ฝรั่งเศส ซึ่งมีการแทรกแซงทางการทหารในประเทศแถบตะวันออกกลางพร้อมกับการสร้างความตายและการทำลายล้างในนามของ “สันติภาพ” และ “ประชาธิปไตย” ขณะที่ความป่าเถื่อนหรือผู้นิยมความรุนแรงในตะวันออกกลางซึ่งเป็นข้ออ้างในการแทรกแซงนั้นก็ไม่ได้ลดลงเลย ในทางกลับกันจะเห็นได้ว่ากลุ่มติดอาวุธในตะวันออกกลางนั้นขยายกำลังขึ้นอย่างต่อเนื่องเสียด้วยซ้ำ จากข้ออภิปรายดังกล่าวนั้นก็เหลือเพียงขั้นตอนง่ายๆในการจะทำความเข้าใจหรือนำไปสู่ข้อสรุปเบื้องต้นซึ่งห่างไกลจากข้อสรุปเดิมของพวกนักการเมือง นั่นก็คือในความเป็นจริงแล้วพวกจักรวรรดินิยมตะวันตกนั่นเองที่ควรจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงต่อเหตุการณ์ความรุนแรงและการก่อการร้าย

แน่นอนว่าความเป็นจริงหรือข้อสรุปดังกล่าวนั้นรุกล้ำหรือคุกคามเข้าไปในความเชื่อคนนับล้าน หน้าที่เบื้องต้นของขบวนการแรงงานก็คือการเข้าไปมีส่วนร่วมในสงครามความคิดดังกล่าว ด้วยการสลายม่านหมอกแห่งการหลอกลวงซึ่งคลุมทับนโยบายการต่างประเทศของฝรั่งเศสในปัจจุบัน รวมทั้งประเทศจักรวรรดินิยมมหาอำนาจอื่นๆ สงครามไม่เคยเป็นอะไรที่มากไปกว่าผลสืบเนื่องของการเมืองไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีการอื่นๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกดำเนินการด้วยพวกชนชั้นปกครองเพื่อให้เป็นไปตามเป้าประสงค์ของตน เช่น ในจุดจบของหนึ่งวันเราต้องผ่านการแข่งขันเพื่อสร้างกำไรในระบบทุนนิยม ขณะที่ในฝรั่งเศสการรื้อถอนโครงสร้างหรือระบบทางสังคมของเรานั้นต้องพ่วงมาด้วยการแบกรับชื่อ “การรักษารูปแบบทางสังคมฝรั่งเศส” ขณะที่สงครามของจักรวรรดินิยมนั้นแบกเอาคำว่า “สันติภาพ” นำหน้าไว้

ด้วยข้อจำกัดในการให้ความเห็นในทางดูถูกถากถางนั้น รัฐบาล ชนชั้นปกครอง พวกฝ่ายขวา และประเทศชั้นนำต่างก็หยิบใช้ประโยชน์จากอารมณ์ความรู้สึกจากความสูญเสียเพื่อกระตุ้นและเพื่อนนำไปสู่การโจมตีและการทำสงคราม รวมทั้งเพื่อการแบ่งแยกกรรมาชีพด้วยมาตรฐานของความเป็นชาติ และศาสนา เพื่อจะนำไปสู่รูปแบบการปกครองใหม่ซึ่งไม่เป็นประชาธิปไตย กฎหมายว่าด้วย “ความปลอดภัย” จะวางมาตรการห้ามการเดินขบวน การชุมนุมประท้วง การนัดหยุดงาน และการนัดชุมนุมสาธารณะ ฯลฯ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ได้เริ่มขึ้นแล้ว หน้าที่หลักของขบวนการแรงงานก็คือการประณามการตอบโต้ด้วยการใช้กำลังทหารรวมทั้งปฏิเสธการเรียกร้องให้ประเทศต่างๆรวมตัวกันเพื่อทำสงคราม เราต้องปฏิเสธข้อจำกัดต่างๆที่ถูกกล่าวอ้างขึ้นในนามของ “ความปลอดภัย” เพื่อที่จะลิดรอนสิทธิและเสรีภาพของเรา ในกรณีเบื้องต้นซึ่งเร่งด่วนนี้ก็คือการประกาศสภาวะฉุกเฉิน (The State of Emergency) ของ Francois Hollande ซึ่งเขาต้องการจะประกาศขยายเวลาบังคับใช้สภาวะฉุกเฉินออกไปอีกสามเดือน ซึ่งการประกาศสภาวะฉุกเฉินนี้จะมีผลกระทบอย่างมากต่อสิทธิและเสรีภาพของเรา แต่ในทางกลับกันก็เป็นที่น่าสงสัยถึงประสิทธิภาพของมันในการป้องกันการก่อการร้ายซึ่งใช้กำลังคนเพียงไม่กี่คนในการขนส่งอาวุธ

พรรคฝ่ายซ้ายและสหภาพแรงงานจะต้องเคลื่อนไหวและชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องมีเสรีภาพในเวลานี้ ขณะเดียวกันพวกเขาก็ต้องระดมกำลังอย่างหนาแน่นเพื่อป้องกันชุมชนมุสลิมจากความก้าวร้าวและความเกลียดชังที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นก่อนที่มันจะเกิดเป็นประเด็นความขัดแย้งใหม่ขึ้นมาซึ่งจะทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายมากกว่าเดิม ในขณะที่พวกฟาสซิสต์ และพวกปัจเจกชนนิยมนั้นได้รับการสนับสนุนจากวาทกรรมต่อต้านมุสลิมของพวกนักการเมืองอนุรักษ์นิยม แน่นอนว่าเราไม่สามารถหวังพึ่งพารัฐได้ในกรณีนี้อันเนื่องมาจากตัวรัฐเองนั่นแหละคือสิ่งที่แทรกแซงเข้าไปในสังคมทุกระดับและแบ่งแยกสังคมออกด้วยเรื่องชาติพันธุ์หรือเชื้อชาติหรือกระทั่งสีผิว

สุดท้ายนี้ ข้อสรุปทางการเมืองจะต้องถูกดึงออกมาจากโศกนาฏกรรมซึ่งพึ่งจะเกิดขึ้นนี้ ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วมันก็เป็นผลมาจากระบบซึ่งติดหล่มลึกอยู่ในวิกฤต เป็นระบบอันเน่าเปื่อยที่ปฏิเสธที่จะตายและยังคงแพร่กระจายความตาย ความทุกข์ยาก สงคราม และความวุ่นวายออกไปในทุกหนทุกแห่ง Lenin เคยกล่าวเอาไว้ว่าทุนนิยมนั้นก็คือ “ความสยดสยองซึ่งไร้ที่สิ้นสุด” ความคิดดังกล่าวนั้นได้แสดงออกมาให้เห็นแล้วผ่านสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นในเมืองใหญ่ มีประชากรจำนวนมากเชื่อว่าพวกเขามีภูมิคุ้มกันที่จะต่อต้านความเน่าเฟะดังกล่าว หากแต่มันไม่เป็นเช่นนั้น เราต้องยอมรับว่ามันไม่เป็นเช่นนั้นและจะไม่มีทางเป็นเช่นนั้นได้ วิกฤตของทุนนิยมโลกและความวุ่นวายจากสงครามของจักรวรรดินิยมนั้นผลักดันให้กลุ่มผู้ก่อการร้ายไม่เหลือที่ยืนหรือพื้นที่ในการเจรจา กรรมาชีพชาวฝรั่งเศสและขบวนการแรงงานสากลจะต้องตอบสนองต่อวิกฤตนี้ด้วยการรื้อฟื้นเป้าหมายในการโค่นล้มทุนนิยม และปิดฉาก “ความสยดสยองซึ่งไร้ที่สิ้นสุด” นี้ลงเสียที

(แปลและเรียบเรียงจาก Reject National Unity, Unmask the Imperialists, Defend our Democratic Freedoms : http://www.marxist.com/reject-national-unity-unmask-the-imperialists-defend-our-democratic-freedoms.htm)

จาก“มดลูกก็ปัจจัยการผลิต” ถึงภาคบริการ: ทำไมผู้หญิงต้องปลดแอกตัวเองจากระบบทุนนิยม

เก่งกิจ กิติเรียงลาภ เขียนถึง “มดลูกก็ปัจจัยการผลิต” ของ แล ดิลกวิทยรัตน์ ที่พยายามเสนอไว้กว่า 40 ปีก่อน และการเรียกร้อง “ค่าแรงสังคม” ที่ไปไกลกว่าการต่อสู้ในชีวิตประจำวันหรือการเรียกร้องให้ผู้หญิงเข้าไปนั่งในสภามากขึ้น น่าจะเป็นสิ่งที่แรงงานหญิงในประเทศนี้ฝันถึง

10 ข้อเสนอเกี่ยวกับ multitude และระบบทุนนิยมแบบหลังฟอร์ด / เปาโล เวอร์โน

ระบบหลังฟอร์ด (และ multitude) ปรากฎตัวขึ้นในอิตาลี พร้อมกับความขัดแย้งทางสังคมที่รุนแรงซึ่งถูกเรียกว่า “ขบวนการปี 1977” คือการบรรลุตัวเองประจักษ์ชัดแจ้งของข้อเขียนของ Marx เกี่ยวกับ “บางเรื่องเกี่ยวกับเครื่องจักร” multitude โดยตัวมันเองคือวิกฤตของสังคมแรงงาน สำหรับ multitude ในระบบหลังฟอร์ด ทุกๆความแตกต่างในเชิงคุณภาพระหว่างเวลาทำงาน (labour time) กับเวลาที่ไม่ได้ทำงาน (non-labour time) ล้วนแล้วแต่ถูกสลายลงไป ฯลฯ