พิณผกา งามสม
ในระหว่างที่การต่อสู้ทางการเมืองไทยยังคงถกเถียงกันเรื่องโมเดลการเมืองใหม่ การเมืองใหม่กว่า รวมถึงระบบโควตาและระดับความชอบธรรมของ ‘เสียง' การเมืองเพื่อนบ้านของไทยก็กำลังเข้มข้นอยู่บนหนทางเดิมๆ ตามระบอบรัฐสภา
เมื่อนายอันวาร์ อิบราฮิม ผู้นำฝ่ายค้านของมาเลเซียประกาศว่าจะเขย่ารัฐบาลมาเลย์ให้ล่มเพื่อเปิดโอกาสในการจัดสรรที่นั่งในสภากันใหม่ โดยยึดเอาวันที่ 16 กันยายนเป็นวันดีเดย์ แรกทีเดียว หลายฝ่ายอาจคิดว่าเป็นเพียงการสร้างสีสันให้การรณรงค์ทางการเมืองของพรรคฝ่ายค้านอย่างที่เคยทำมาอย่าแข็งขัน เพราะต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า แนวทางของอันวาร์ในการสู้รบกับรัฐบาลที่ครองอำนาจมายาวนานโดยรัฐบาลแนวร่วมแห่งชาตินั้น ต้องถือว่าขยันขันแข็งและใช้เทคโนโลยีสื่อสารได้อย่างมีศักยภาพ
ใครที่อยู่ในเครือข่ายผู้ได้รับข่าวสารทางอีเมล์ของออฟฟิศนายอันวาร์ย่อมทราบดี ว่ากล่องรับข้อความของคุณจะเต็มไปด้วยข้อมูลจากฝ่ายค้าน รายละเอียดความคืบหน้าการเคลื่อนไหว และมีตารางเวลาคอยเป็นตัวกระตุ้นความสนใจอยู่ตลอด ฉะนั้น เมื่อเขาประกาศวาระการเขย่ารัฐบาลครั้งใหญ่ จึงไม่ใช่เรื่องน่าตกใจ แต่ก็น่าติดตาม
เมื่อพรรคยุติธรรมประชาชนกวาดเก้าอี้ได้ 32 ที่นั่ง และรวมกับพรรคฝ่ายค้านอื่นๆ แล้วเป็นจำนวน 82 ที่นั่ง จากจำนวน ส.ส. ทั้งหมด 222 คน พรรคยุติธรรมประชาชนไม่ได้หยุดความฮือฮาไว้แค่นั้น แต่ประกาศเดินหน้าปฏิรูประบบเลือกตั้งและระบบยุติธรรม ซึ่งพรรคถือว่าเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาประชาธิปไตยในมาเลเซีย
นอกจากนี้ ยังประกาศคัดง้างแนวนโยบายหลักที่อัมโนได้ดำเนินมายาวนานก็คือ นโยบาย ภูมิบุตร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายเศรษฐกิจแผนใหม่ (New Economic Policy) ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นนโยบายที่กีดกันเชื้อชาติและเป็นต้นเหตุให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจของคนมาเลย์เชื้อชาติอินเดียและจีน
เมื่อวันที่ 13 กันยายน อันวาร์ ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านที่เรียกขานกันในอีกชื่อว่าแนวร่วมเพื่อประชาชน ได้ประกาศว่า จะมีการเขย่ารัฐบาลครั้งใหญ่และเตรียมจะยึดสภาในวันที่ 16 กันยายน....!!!
จนกระทั่งวันที่ 16 ก.ย. มาถึงจริง อันวาร์ประกาศว่ามีรายชื่อ ส.ส. พรรครัฐบาลอยู่ในมือ 31 คนที่พร้อมจะก้าวมาร่วมหัวจมท้ายกับเขา และนั่นก็จะทำให้พรรคฝ่ายค้านมีที่นั่งรวมกันเกินกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวน ส.ส. ในสภา เขาได้ยื่นจดหมายถึงนายกรัฐมนตรี อับดุลลาห์ อาหมัด บาดาวี ในเวลา 14.30 น. ของวันที่ 16 กันยายน เพื่อขอเปิดการเจรจากันในวันที่ 23 ก.ย. ที่จะถึงนี้
ท่าทีของบาดาวีขณะนี้ยังคงนิ่งเฉยอยู่ และข้อสงสัยของผู้ติดตามข่าวสารคือ รายชื่อ 31 ส.ส. พรรครัฐบาลนั้นมีจริงหรือไม่ และเป็นใครบ้าง ซึ่งคงอีกไม่กี่วันจะได้รู้ผลกัน
อย่างไรก็ตาม แนวทางแบบนี้ของแนวร่วมฝ่ายค้านนั้นน่าสนใจว่า การต่อสู้เพื่อโค่นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยเดินไปตามแบบเผนอย่างน่าทึ่ง เมื่อย้อนมองกลับไป เราจะพบการต่อสู้ที่เป็นระบบ และเป็นกระบวน แยกบทบาทอย่างชัดเจนระหว่างระดับพรรคการเมือง และระดับแนวร่วมภาคประชาชน
แม้ว่าข้อกล่าวหาที่พุ่งเป้าไปสู่รัฐบาลมาเลเซียนั้น มี 3 ประเด็นใหญ่ๆ ก็คือ แนวนโยบายแห่งรัฐที่เลือกปฏิบัติทางชาติพันธุ์ การดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจที่ผิดพลาด และการคอร์รัปชั่น
แต่ขบวนการต่อสู้ทางการเมืองครั้งใหญ่ในปีที่ผ่านมา (2007) ของภาคพลเมืองมาเลเซียก็คือ การร่วมมือกันเรียกร้องการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์และเป็นธรรม เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองได้ลงสู่การแข่งขันอย่างเท่าเทียม อย่างไรก็ตามดูเหมือนสาสน์ ที่ส่งออกมาไม่ใช่การส่งไปยังรัฐบาลโดยตรง และแม้หวังส่งสัญญาณไปที่รัฐบาลโดยตรงก็คงต้องบอกว่าไม่ได้ผล เพราะการเลือกประกาศวันเลือกตั้งในวันที่ 8 มีนาคม 2008 นั้นบอกชัดอยู่แล้วว่ารัฐบาลไม่ได้ต้องการสร้างโอกาสที่เป็นธรรมให้แก่นายอันวาร์ซึ่งติดทัณฑ์บนห้ามลงเลือกตั้งจนกว่าจะพ้นวันที่ 14 เมษายนของปีเดียวกัน แต่หากคิดว่าสาสน์นั้นส่งผ่านไปยังประชาชนผู้เป็นเจ้าของคะแนนเสียงที่จะกำหนดทิศทางการเมืองมาเลย์อย่างแท้จริงก็ควรนับว่าได้ผลเมื่อพิจารณาจากผลการเลือกตั้งที่ออกมาชนิดหักปากกาเซียน
พรรคน้องใหม่อย่างพรรคยุติธรรมประชาชนซึ่งในการเลือกตั้งเมื่อปี 2003 ได้ที่นั่งในสภาเพียงที่นั่งเดียว กลับกวาดมาได้ถึง 31 ที่นั่ง ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2008 เมื่อรวมกับพรรคกิจประชาธิปไตย (Chinese-based Democratic Action Party- DAP) ได้ 28 ที่นั่ง และพรรคปาส (Parti Islam Se-Malaysia- PAS) ได้ 23 ที่นั่ง รวมเป็น 82 ที่นั่ง นี่คือจำนวน ส.ส. ฝ่ายค้านที่มากที่สุดในรอบ 40 ปี และนี่เป็นผลการเลือกตั้งที่เขย่าเสถียรภาพของรัฐบาลชนิดที่ช็อกความรู้สึกนักลงทุนและส่งผลให้ตลาดหุ้นดิ่งฮวบทันทีด้วยความไม่แน่ใจในเสถียรภาพของนโยบายเศรษฐกิจ
ขณะที่เส้นทางในระบอบรัฐสภาดำเนินมาได้ด้วยดีด้วยจำนวน ส.ส. ที่มากเป็นประวัติการณ์ และ อันวาร์ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำฝ่ายค้านแม้ตัวเองจะอยู่นอกสภา อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ทางการเมืองเชื่อว่า ที่สุดแล้ว อันวาร์จะต้องได้ลงชิงเก้าอี้ ส.ส.ภายในปีนี้ ในการเลือกตั้งซ้อมเขตใดเขตหนึ่งอย่างแน่นอน และก็เป็นเช่นนั้นจริง
วันที่ 31 ก.ค. ดร. วัน อาซีซาร์ วันอิสมาอิล ประธานพรรคยุติธรรมประชาชน ภรรยาของนายอันวาร์ อิบราฮิม ผู้นำฝ่ายค้านของมาเลเซีย ยื่นจดหมายลาออกจากการเป็นสมาชิกรัฐสภาอย่างเป็นทางการเพื่อเปิดทางให้สามีเข้าสู้สภา
27 สิงหาคม ผลการเลือกตั้งซ่อมในเขต เมืองเปอร์มาตัง ปาอูห์ ในรัฐปีนัง นายอันวาร์ชนะคู่แข่ง เข้าสู่สภาพร้อมประกาศว่าจะรวบรวมสมาชิกฝ่ายรัฐบาลมาเข้าร่วมกับ กับฝ่ายค้าน เพื่อให้ได้เสียงสนับสนุนเพียงพอในการโค่นล้มรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีอับดุลลาห์ อาหมัด บาดาวี ในวันที่ 16 ก.ย. ซึ่งถือเป็นวันชาติของมาเลเซีย (เป็นวันชาติที่มีการรวมรัฐเประ และตรังกานูร์ รวมทั้งสิงคโปร์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซีย ในวันที่ 16 กันยายน พ.ศ.2506 )
ก่อนจะไปถึงวันที่ 23 กันยายน สาสน์ที่นายอันวาร์ส่งถึงประชาชนชาวมาเลเซียนั้น ระบุยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาลว่า ประเด็นที่ผู้นำฝ่ายค้านต้องการเจรจากับนายกรัฐมนตรีนอกเหนือจากเรื่องของตัวผู้นำประเทศที่อาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปตามจำนวน ส.ส. ในสังกัดแล้ว อีก 4 ประการที่รัฐบาลของนายบาดาวี อย่างไรเสียก็ต้องตระหนักคือ
ประการแรก รัฐบาลพรรคแนวร่วมแห่งชาติจะต้องไม่ขัดขวางหรือกีดกัน ส.ส. ในซีกรัฐบาลในการตัดสินใจอย่างเป็นอิสระ และเป็นไปตามสิทธิที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ
ประการที่ 2 รัฐบาลแนวร่วมแห่งชาติจะต้องไม่ นำเอากฎหมายความมั่นคงภายในมาใช้เพื่อกักขังสมชิกรัฐสภาที่มีเจตนาจะเข้าร่วมกับฝ่ายค้าน รวมถึงสมาชิกฝ่ายค้านในปัจจุบัน
ประการที่ 3 รัฐบาลแนวร่วมแห่งชาติจะต้องไม่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือใช้กำลังตำรวจหรือระงับใช้รัฐธรรมนูญ หรือยุบสภาโดยต้องยอมเปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านได้จัดตั้งรัฐบาลใหม่
ประการที่ 4 รัฐบาลแนวร่วมแห่งชาติ ต้องไม่ปิดกั้นถนน ขัดขวางสมาชิกรัฐสภาในการเดินทางไปที่ทำการรัฐสภาและสถานที่ทำการของรัฐบาล
นอกจากนี้ ได้เรียกร้องต่อสื่อมวลชนกระแสหลักให้ยอมรับความเป็นจริงของประวัติศาสตร์การเมืองที่กำลังจะเกิดขึ้นครั้งนี้ และรายงานอย่างเป็นธรรม และปราศจากอคติ
แถลงการณ์ที่ออกมาจากผู้นำฝ่ายค้านมาเลเซียนั้นย่อมสะท้อนภาพปัญหาของการเมืองมาเลเซียที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นการปิดกั้นถนน ทำให้ผู้ชุมนุมในกรณีต่างๆ ไม่สามารถเข้าถึงนักการเมืองที่เป็นเป้าหมายได้ หรือการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมนักเคลื่อนไหวโดยปราศจากการตั้งข้อหา
เฉพาะตัวของนายอันวาร์เองนั้น เผชิญข้อกล่าวหาที่ส่งเขาเข้าคุกไปแล้ว 2 ครั้ง ข้อหาหนึ่งก็คือคอร์รัปชั่น (ถูกตัดสินปี 1999 รับโทษจำคุก 6 ปี ) อีกข้อหาคือ การประพฤติผิดทางเพศ (ถูกตัดสินปี 2000 รับโทษจำคุก 10 ปี) ซึ่งเป็นข้อหาที่เขาถูกกล่าวหาซ้ำอีกเมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เป็นเหจุให้เขาต้องลี้ภัยเข้าไปอยู่ในสถานทูตตุรกีประจำประเทศมาเลเซียเมื่อวันที่ 29 มิ.ย. และต้องเรียกร้องให้รัฐบาลรับประกันความปลอดภัยหากเขาเดินทางออกมาจากสถานทูต
ทั้งนี้ ที่น่าสนใจที่สุดของแถลงการณ์ในวันที่ 16 ซึ่งเป็นแถลงการณ์จากผู้นำฝ่ายค้านที่เผชิญมรสุมจากเกมการเมืองมาเป็นเวลา 10 ปีพอดิบพอดี (เมื่อนับจากการเผชิญข้อกล่าวหาเรื่องคอร์รัปชั่นและประพฤติผิดทางเพศที่ส่งเขาเข้าไปเผชิญการทำร้ายร่างกายในคุก) คงจะเป็นส่วนที่กล่าวว่า....
"เรา ในนามแนวร่วมเพื่อประชาชนเชื่อว่า เราสามารถธำรงรักษามาเลเซียไว้จากภาวะล่มสลายทางเศรษฐกิจ และการเมืองที่กีดกันเชื้อชาติในระดับที่น่าอันตราย เราจะกระทำการอย่างรอบคอบ เป็นไปตามกฎหมาย และจะไม่กระทำการที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงและเสถียรภาพของประเทศรวมถึงความปลอดภัยของประชาชน...
"เราได้รับการยืนยันจากสมาชิกรัฐสภาในจำนวนที่มากพอที่จะก่อตั้งรัฐบาลใหม่ และรัฐบาลของเราจะเป็นภาพสะท้อนความหลากหลายของสังคมมาเลเซีย
การเปลี่ยนผ่านอำนาจอย่างสงบเรียบร้อยคือสิ่งที่เราตระหนัก"