Skip to main content

“การคุมประชากรด้วยข้อมูลและแนวคิดที่โกหกอาจจะไม่นำไปสู่ประเทศไทยที่สำเร็จได้ แต่กลับเป็นการทำลายการพัฒนาและอนาคตของสังคมไทยเอง”

ธงชัย วินิจจะกูล
3 มี.ค. 2552




(( ดูวิดีโอการแถลงข่าว คลิกที่นี่ ))

วันที่ 3 มีนาคม 51 เวลา 10.00 น. ที่สมาคมนักข่าวต่างประเทศหรือ FCCT นายธงชัย วินิจจะกูล ศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยวิสคอนสิน แมดิสัน และ นายแอนดรู วอร์เกอร์ นักวิชาการทางด้านไทยศึกษา จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลียได้แถลงข่าว ที่ สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT) ผ่านโปรแกรมสไกป์ (skype) เกี่ยวกับการรณรงค์ของนักวิชาการทางด้านอุษาคเนย์และไทยศึกษา นักวิชาการทางด้านกฎหมาย นักสิทธิมนุษยชน และผู้มีชื่อเสียงแวงวงอื่น ๆ กว่า 50 คนทั่วโลกที่เรียกร้องให้มีการปฎิรูปกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพพระบรมเดชานุภาพ

ก่อนเริ่มแถลงข่าว นายธงชัยได้อธิบายว่าการแถลงข่าวครั้งนี้ไม่ได้เป็นการจัดโดยสมาคมนักข่าวต่างประเทศ แต่ทางเครือข่ายซึ่งเป็นการริเริ่มขึ้นโดยการประสานงานผ่านอีเมล์ โดยที่สมาคมฯ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทางสมาคมนักข่าวฯ ได้ให้ทางเครือข่ายใช้สถานที่เหมือนกับองค์กรอื่น ๆ ที่ต้องจ่ายค่าใช้สถานที่ โดยเครือข่ายเลือกที่จะใช้สมาคมนักข่าวฯ เนื่องจากเป็นที่ ๆ เหมาะสำหรับใช้เป็นที่แถลงข่าวกับนักข่าวต่างประเทศในประเทศไทย

นายธงชัยได้กล่าวต่อในฐานะตัวแทนของเครือข่ายเกี่ยวกับการรณรงค์ที่จะส่งจดหมายต่อนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเกี่ยวกับกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพฯ ว่าทางเครือข่ายมีข้อเรียกร้องให้มีการปฎิรูปกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (ดูรายละเอียดข่าว) http://www.prachatai.com/05web/th/home/15766


สถานการณ์ในประเทศไทยกับกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพฯ 



นายธงชัยระบุว่าสถานการณ์วิกฤติทางการเมืองในประเทศไทยในระยะหลายปีที่ผ่านมาได้นำไปสู่การทำลายประชาธิปไตยและสิทธิ เสรีภาพในหลาย ๆ ด้าน ในไม่กี่เดือนที่ผ่านมากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพฯ ถูกนำมาใช้และมีการฟ้องคดีหมิ่นฯ และจับกุมบุคคลในแวดวงต่าง ๆ หลายคน ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้นำไปสู่การสร้างบรรยากาศแห่งความกลัวขึ้นมาในชุมชนทางการเมืองและชุมชนวิชาการในประเทศ

“ในฐานะที่เราเป็นนักวิชาการและผู้สังเกตการณ์กับสถานการณ์ในประเทศไทย พวกเราได้มีความกังวลเกี่ยวกับการคุกคามประชาชนไทยและประชาชนชาวต่างประเทศโดยใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพฯ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากว่าวิกฤติการณ์ทางการเมืองนำไปสู่เหตุการณ์เหล่านี้”

การใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพบ่อยครั้งต่อกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามเป็นการทำลายกระบวนการทางประชาธิปไตย การที่นักข่าว นักวิชาการ และประชาชนทั่วไปโดยฟ้องโดยกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพฯ เนื่องจากแสดงออกทางการเมืองได้นำไปสู่การปิดกั้นการพูดคุยประเด็นสำคัญในเวทีสาธารณะ ซึ่งการกระทำเหล่านี้แสดงว่าข้อกล่าวอ้างว่าทำไปเพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นการโกหก เนื่องจากคดีต่าง ๆ ของกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไม่ได้ปกป้องชื่อเสียงของสถาบันฯ แต่นำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์สถาบันฯ และประเทศไทย ทั้งในและนอกประเทศ

ที่ผ่านมาได้มีข้อเสนอแนะจากหลายส่วนให้มีการปฎิรูปกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านเองก็ได้กล่าวว่าการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์เป็นสิ่งที่กระทำได้ พวกเรามีความกังวลเพราะแทนที่รัฐบาลจะรับฟังข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์เหล่านี้ รัฐบาลกลับนำกฎหมายน้าใช้เพื่อกดขี่สิทธิเสรีภาพและเสรีภาพการแสดงความคิดเห็น ซึ่งได้มีผู้แทนฯ ของรัฐบาลหลายคนกลับเรียกร้องให้มีบทลงโทษกรณีหมิ่นฯ ให้สูงกว่าเดิ่ม โดยอ้างว่าสิ่งเหล่านี้ได้ทำไปเพื่อปกป้องสถาบันฯ 

จากประสบการณ์ของหลาย ๆ ประเทศ ได้เป็นที่รู้กันว่า ความจริง ความโปร่งใส่ การแลกเปลี่ยนอย่างเป็นอารยะ และกระบวนการประชาธิปไตยเท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนความขัดแย้งทางความคิดไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างสันติได้ การกดขี่ทางความคิดไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ แต่กลับมีความเป็นไปได้ในการสร้างโทษให้กับสถาบันฯ มากกว่าสร้างประโยชน์

ความเป็นมาของการรณรงค์นี้

การณรงค์ครั้งนี้เริ่มจากการที่นักวิชาการสามคนที่เป็นที่มีชื่อเสียงทางด้านอุษาคเนย์ศึกษาและไทยศึกษาได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากกฎหมายหมิน คือ อาจารย์เจมส์ สกอตต์ (James C. Scott) จากมหาวิทยาลัยเยล อาจารย์ชาร์ล เอฟ เคน (Charles F. Keyes) จากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน และ อาจารย์เครก เจ เรโนลด์ (Craig J. Reynold) จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย พร้อมกับนายธงชัย และ ดร.แอนดรูว์ ในฐานะเป็นผู้ประสานงาน

โดยการณรงค์นี้ได้ทำให้เกิดการสนใจและกังวลโดยผู้นำทางด้านสิทธิมนุษยชนและสิทธิเสรีภาพ นักวิชาการด้านไทยศึกษา และนักวิชาการทั่วไปจากสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ทั่วโลก โดยการเริ่มลงชื่อได้ริเริ่มขึ้นในต้นเดือนกุมภาพันธ์โดยนักวิชาการสามท่านข้างต้น โดยที่ตอนนี้ไดมีนักวิชาการระดับโลกมาร่วมลงชื่อมากกว่าห้าสิบคน

นายธงชัยได้อธิบายต่อว่าทางกลุ่มขอประกาศว่าบุคคลที่เป็นห่วงกับสถานการณ์ประชาธิปไตยและเสรีภาพในประเทศไทย นักวิชาการทางด้านอุษาคเนย์ศึกษาและไทยศึกษา หรือทางด้านอื่น ๆ จนถึงประชาชนทั่วไป และบุคคลที่ต้องการให้ประเทศไทยพัฒนาไปในอนาคต เพื่อที่จะเป็นตัวอย่างของประเทศที่เป็นประชาธิปไตย เป็นสังคมอารยะ ห่วงใยกัน และเคารพในหลักสิทธิมนุษยชน สามารถลงชื่อในจดหมายที่จะถูกส่งไปให้นายกรัฐมนตรีได้

โดยต่อจากนี้ ทางกลุ่มจะส่งอีเมล์จำนวนมากไปตามอีเมล์กรุ๊ป และองค์กรที่สนใจ โดยจะส่งจมหมายนี้ให้กับ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในปลายเดือนมีนาคมหรือต้นเดือนเมษายน หลังจากที่ได้รายชื่อมากที่สุดเท่าที่ทำได้

ปัญหาของกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพฯ มีปัญหาหลัก ๆ อยู่สามข้อ ประเด็นแรก คือ กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพฯ ได้บิดเบือนเป็นระยะเวลาหลายปี เนื่องจากข้อคิดเห็นที่ตรงไปตรงมา หรือแม้แต่ข้อคิดเห็นที่ไม่รุนแรงหรือข้อคิดเห็นทางการเมืองที่ไม่ได้แสดงความต่อต้านหรือสร้างโทษให้กับสถาบันฯ ได้ถูกอธิบายว่าเป็นอาชญากรรมหรือภัยต่อความมั่นคงแห่งชาติ

เราไม่สามารถอธิบายได้ว่า “การดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้าย” หมายความว่าอะไร คำพูดนี้ไม่ได้มีการให้คำนิยามอย่างชัดเจน แต่ถูกนำมาใช้ในทางที่ผิดอย่างง่ายได้และอย่างไม่มีความรับผิดชอบ นอกจากนี้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพฯ ไม่ได้อธิบายว่าใครบ้างที่ถูกคุ้มครองภายใต้กฎหมายนี้ กฎหมายนี้รวมถึงพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน ราชวงศ์ พระมหากษัตริย์องค์อื่น ๆ จนถึงกษัตริย์อยุธยาด้วยหรือไหม นอกจากนี้ยังที่ผ่านมาได้มีความพยายามในการทำให้กฎหมายนี้ครอบคลุมองคมนตรีด้วย

ประเด็นที่สอง กฎหมายนี้ประชาชนคนไหนก็สามารถแจ้งความได้ โดยที่รัฐมีหน้าที่ในการฟ้อง ต่อใครก็ได้โดยอ้างว่าหมิ่นสถาบันฯ โดยส่วนนี้เปิดโอกาสให้มีการใช้ในทางที่ผิด และได้มีการใช้อย่างมากในการคุกคามกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงกันข้าม บุคคลที่ออกมาวิจารณ์รัฐบาล และนักวิชาการ

ประเด็นสุดท้าย การลงโทษทางสังคมเกิดขึ้นกับผู้ถูกกล่าวหาคดีหมิ่น ฯ ก่อนที่จะมีกระบวนการทางกฎหมายใด ๆ ทั้งสิ้น ประเด็นนี้ไม่ได้แสดงถึงข้อบกพร่องของกฎหมายแต่แสดงให้เห็นปัญหาของกฎหมายโดยตรง

ผลกระทบของกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพฯ 


กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพฯ มีผลกระทบต่อปัจเจกบุคคลที่ได้รับการแจ้งความ เนื่องจากได้ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์และลงโทษก่อนที่มีการพิสูจน์ แต่ผลกระทบนี้เกิดขึ้นมากกว่าแค่กับปัจเจกบุคคล เนื่องจากได้นำไปสู่การสร้างภาวะความกลัวและการถูกกดขี่ทั่วในสังคม ดังนั้นกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพฯ ได้นำไปสู่การสร้างบรรยากาศแห่งความกลัว ทำลายกระบวนการการเมืองแบบประชาธิปไตย สร้างการไม่ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างและขาดมนุษยธรรมต่อประชาชนคนไทย และไม่ได้สร้างประโยชน์กับใครทั้งสิ้น แม้แต่สถาบันพระมหากษัตริย์เอง

นายธงชัยได้ตั้งคำถามต่อคนที่เข้าร่วมแถลงข่าวว่าพวกเขาได้กังวลเกี่ยวกับการแถลงข่าวครั้งนี้หรือไหม เราต้องถามญาติ เพื่อน หรือคนใกล้ชิดของเหยื่อที่ถูกกล่าวหาว่ากลัวที่จะเป็นเหยื่อคนต่อไปหรือไหม ทุกคนกลัวคดีและกลัวการถูกลงโทษทางสังคมก่อนที่คดีจะเริ่ม

เช่นเดียวกัน นายธงชัยอธิบายว่าเราต้องถามนักข่าวไทยว่าบรรณาธิการจะรายงานการแถลงข่าวครั้งนี้หรือไหม พร้อมกับอธิบายว่าตัวเขาเองได้ข้อมูลว่ามีหลายสำนักข่าวที่ไม่กล้าแม้กระทั้งจะส่งนักข่าวมางานแถลงข่าวครั้งนี้ บางสำนักข่าวได้ส่งคนมาแต่จะไม่รายงานการแถลงข่าวครั้งนี้ คำถาม คือ ทำไมเราต้องเซ็นเซอร์ตัวเองโดยที่ไม่มีภัยคุกคามเช่นมีตำรวจมายืนอยู่หน้าสำนักข่าว ดังนั้นเราจะเรียกสถานการณ์ที่เกิดขี้นนี้ว่าอะไร ถ้าไม่ใช่ภาวะแห่งความกลัว


นอกจากนี้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพพระบรมเดานุภาพได้ทำลายการยอมรับความคิดเห็นและหลักมนุษยธรรมในสังคม ในหลาย ๆ กรณีเมือใครก็ตามถูกมองว่าได้แสดงความไม่เคารพหรือถูกมองว่าแสดงความคิดเห็นที่ไม่เหมาะสมต่อสถาบันกษัตริย์ บุคคลเหล่านั้นจะได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่า “ถ้าไม่ชอบสถาบันฯ ก็น่าจะย้ายไปประเทศอื่น” “คุณไม่น่าเกิดเป็นคนไทย” หรือ “ไร้ค่า มึงเป็นหมา” ซึ่งเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องตลกหรือเรื่องทั่วไป อันตรายที่เกิดขึ้นนี้เป็นจริง ยกตัวอย่างเช่นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากกรณีการแสดงละครแขวนคอ (ที่ถูกอ้างว่าเป็นการหมิ่นสถาบัน) จนนำไปสู่การฆาตกรรมหมู่นักศึกษาในเหตุการณ์หกตุลา

ท้ายสุด นายธงชัยอธิบายว่ากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพพระบรมเดชานุภาพไม่มีประโยชน์กับใครเลยรวมถึงสถาบันฯ ด้วย การคุกคามและกดขี่โดยใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพฯ หรืออ้างว่าเป็นการปกป้องสถาบันสามารถกลายเป็นภัยคุกคามการคงอยู่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ได้

ช่วงถาม-ตอบ

นักข่าวได้ถามนายธงชัยเกี่ยวกับการดำเนินการกรณีกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพฯ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ นายธงชัยได้ตอบว่าในปี 2004 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พูดในที่สาธารณ์ว่าการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันฯ ต้องเป็นสิ่งที่ทำได้ เช่นเดียวกันกับ ดร. เตช บุนนาค ที่ได้พูดว่ากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพฯ มีปัญหา เช่นเดียวกันกับนักวิชาการในไทยที่ได้เสนอว่าต้องมีการปฎิรูปหรือยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

นายธงชัยกล่าวว่าเป็นที่น่าเศร้าที่รัฐบาลไทยและเจ้าหน้าที่รัฐจนรวมถึงคนที่คลั่งเจ้า (Royalist fanatic) พยายามจะทำตรงกันข้าม โดยเชื่อว่าการปราบปรามอย่างรุนแรงเป็นทางออก ปัจจุบันนี้รัฐบาลไทยและวุฒิสภากำลังดูว่าจะเพิ่มโทษกฎหมาย และวิธีที่จะบังคับใช้กฎหมายเพื่อปราบปราม “เว็ปไซต์” ที่เป็นภัยได้อย่างไรบ้าง

ในเดือนที่แล้วมีเว็ปไซต์ “ปกป้องในหลวง” ขึ้นมาเพื่อที่ใครก็ได้จะสามารถรายงานบุคคลที่เชื่อว่าละเมิดสถาบันฯ ซึ่งแสดงว่ารัฐบาลไทยกำลังสร้างสังคมอำนาจนิยมที่กำลังทำให้ประชากรส่วนหนึ่งต้องจับตาดูการกระทำของประชากรด้วยกันเอง

นอกจากนี้ได้มีนักข่าวถามว่าคิดยังไงถ้าคนมองว่าการรณรงค์นี้เป็นการรณรงค์ของนักวิชาการต่างประเทศที่ต้องการเข้ามายุ่งกับสถานการณ์การเมืองไทย นายธงชัยตอบว่าในประเทศไทย มีมุมมองที่ชอบอธิบายว่าคนต่างประเทศชอบเข้ามาทำลายประเทศไทยและประชาชนไทย แต่ในอีกมุมหนึ่งพวกเรารู้ว่าประเทศไทยได้มีน้ำใจต่อคนต่างชาติมาก ดังนั้นแสดงว่าคนส่วนใหญ่ไม่ได้มีทัศนะข้างต้น

คนที่มาลงชื่อนี้เป็นคนที่เห็นอกเห็นใจกับประเทศไทย หลาย ๆ คนรักประเทศไทยมาก ดังนั้นถึงอุทิศชีวิตมากกว่าครึ่งหนึ่งของชีวิตเขาเพื่อศึกษาเกี่ยวกับประเทศไทย และต้องการให้ประเทศไทยประสบความสำเร็จ และกลายเป็นที่ ๆ มีความห่วงใยกัน และสามารถยิ้มให้กันได้กันได้ (โดยไม่ต้องเอามีดแทงหลังกัน) เนื่องจากการคุมประชากรด้วยข้อมูลและแนวคิดที่โกหกอาจจะไม่นำไปสู่ประเทศไทยที่สำเร็จได้ แต่กลับเป็นการทำลายการพัฒนาและอนาคตของสังคมไทยเอง

เมือถามว่า การรณรงค์นี้มีความเกี่ยวข้องกับการรณรงค์ของนายใจ อึ๊งภากรณ์หรือไหม นายธงชัยตอบว่าไม่ เพราะเป็นการรณรงค์ที่ต้องการให้มีการปฎิรูปครั้งใหญ่ ไม่ได้มีการติดต่อกับอาจารย์ใจโดยตรง เพราะการรณรงค์ครั้งนี้เป็นการรณรงค์เพื่อปฎิรูปกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพฯ ในภาพรวม แต่ถ้าถามว่านายใจมาลงชื่อได้หรือไหม นายธงชัยบอกได้ แต่โดยส่วนตัวกรณีการปฎิเสธการประกันตัวของนางสาวดารุณี ชาญเชิงศิลปะกุล เป็นกรณีที่ทำให้เขาอยากมารณรงค์กรณีนี้ เนื่องจากส่วนตัวเห็นว่ากรณีนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นการปฎิเสธความยุติธรรม

 

หมายเหตุ แก้ไขล่าสุดเมื่อ2.55น. 7 มี.ค.52

บล็อกของ หัวไม้ story

หัวไม้ story
 ทีมข่าวการเมืองข่าวเรื่องนิตยสาร ดิ อิโคโนมิสต์ ถูกแบน ในประเทศไทย ได้รับการเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของเอพี และเสตรทไทม์ ขณะที่ในเมืองไทย [1] ข่าวดังกล่าวไม่ปรากฏในสื่อกระแสหลัก และเพิ่งมาปรากฏขึ้นในลักษณะของการตอบโต้จากทางการไทย ผ่าน.นายธฤต จรุงวัฒน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งมีหนังสืออย่างเป็นทางการถึงบรรณาธิการนิตรสาร ดิ อิโคโนมิสต์  ระบุว่า....            "รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่งต่อมุมมองและทัศนคติของนิตยสารฉบับดังกล่าว ซึ่งลงบทความเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ไทย และตีความเหตุการณ์ต่างๆ ไปตามการคาดเดา…
หัวไม้ story
“ผมตั้งข้อสังเกตว่าเป็นฝีมือของพวกฉวยโอกาส หากพันธมิตรฯจะทำก็ต้องเป็นตึกไทยคู่ฟ้า ตึกสันติไมตรี เพราะสามารถสร้างความเสียหายมากกว่า ได้ผลมากกว่า และสะใจมากกว่า ไม่อย่างนั้นจะเก็บไว้อย่างดีทำไม” สุริยะใส กตะศิลา, 5 ธ.ค. 2551  ทีมข่าวการเมือง   ภาพในตึกบัญชาการทำเนียบรัฐบาลหลังการชุมนุมยุติที่มาของภาพ: คุณ Me.....O กระดานข่าวพันทิพ ห้องราชดำเนินhttp://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P7288033/P7288033.html  
หัวไม้ story
"ถ้างวดนี้ มีการใช้ความรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง พี่น้องครับ พี่น้อง พ่อแม่พี่น้องทั่วประเทศไทย ต้องลุกฮือขึ้นมาแล้วให้เลือดนองแผ่นดิน"  ... "ผมจะบอกให้พวกสัตว์นรกรู้ ว่างวดนี้ถ้าประชาชนเขามา เขามาพร้อม ‘ของ' กันหมด" - สนธิ ลิ้มทองกุล 20 พ.ย. 2551 ทีมข่าวการเมืองประชาไท สนธิ ลิ้มทองกุล ได้รับการอารักขาโดย ‘นักรบศรีวิชัย’ เมื่อ 26 ส.ค. 51 ที่มาของภาพ adaptorplug (CC)  
หัวไม้ story
  วันที่ 15 พฤศจิกายน คือวันประชุมสุดยอดผู้นำโลก 20 ชาติว่าด้วยเศรษฐกิจ ซึ่งถูกคาดหมายว่า จะเป็นการประชุมเพื่อกำหนดมาตรการทางการเงินของโลกอีกครั้งหลังจากมันเคยเกิดขึ้นแล้วหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเศรษฐกิจโลกพังพาบลง จนนำมาสู้ระบบแลกเปลี่ยนเงินที่ชื่อว่า Bretton Woods SystemG20: "we must rethink we must rethink the financial system from scratch, as at Bretton Woods."นิโคลัส ซาร์โกซี ประธานาธิบดีแห่งฝรั่งเศสเป็นผู้เอ่ยประโยคนี้ เมื่อวันที่ 26 กันยายน ที่ผ่านมา และนำมาสู่การกำหนดการประชุมสุดยอดผู้นำโลกที่จะมีขึ้นในวันที่ 15 พ.ย. นี้
หัวไม้ story
โอบามากับสงครามสีผิวที่กำลังจะเปิดฉาก? ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งเพิ่งจบลงไปด้วยชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของบารัก โอบามา ผู้สร้างประวัติศาสตร์ เป็นคนผิวสี คนแรกที่เดินเข้าสู่ทำเนียบขาวในฐานะประธานาธิบดี โอบามา เป็นลูกผสมระหว่างแม่ซึ่งเป็นคนผิวขาว กับพ่อเชื้อสายแอฟริกัน ซึ่งไม่ได้ย่างเท้าลงบนแผ่นดินอเมริกาในฐานะทาส แต่เป็นนักศึกษา แม้จะไม่ใช่คนผิวดำ หรือลูกหลานแอฟริกันขนานแท้ ที่เติบโตขึ้นจากครอบครัวที่มีบรรพบุรุษเป็นทาส แต่บารัก โอบามา ก็ถูกจำจดในฐานะเป็นตัวแทนของคนผิวสีที่ได้ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดี แม้จะไม่ได้ผ่านประวัติศาสตร์ร่วมกับคนแอฟริกัน-อเมริกัน…
หัวไม้ story
แม้ว่าคนจนในประเทศไทย จะเลือกตาย ด้วยหวังให้การตายส่งเสียงได้มากกว่ายามที่พวกมีชีวิตอยู่ ทว่า ไม่ช้าไม่นาน ความทรงจำของสังคมก็เลือนรางลงไป แต่คนจนอย่างนวมทอง ไพรวัลย์ เลือกวิธีตาย และเลือกใช้การตายของเขาส่งเสียงดังและอยู่ยาวนาน อย่างน้อยก็ใน 2 ปีต่อมา เขายังไม่ถูกลืมเลือน
หัวไม้ story
ประชาไทขอนำเสนอคลิปวิดิโอ 'หลังทักษิณ' มุมมอง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีจากคนใกล้ตัวที่บ้านเกิด อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ และบทวิเคราะห์การเมืองไทยหลังทักษิณ โดย รศ.ดร.อรรถจักร สัตยานุรักษ์ นักวิชาการภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 
หัวไม้ story
  ทีมข่าวภาคใต้มายาภาพของการต่อสู้ทางการเมืองไทยในห้วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ถูกกล่าวว่าอ้างว่าเป็นสงครมมระหว่างภูมิภาค คือ ภาคใต้ กับภาคเหนือและภาคอิสาน แต่หากมองลึกลงไปในกระบวนการต่อสู้ของฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและพรรคพลังประชาชน อาจพบว่าแท้จริงแล้วการพื้นที่ทางการเมืองระดับนำก็ยังคงเป็นของคนใต้อยู่เช่นเดิม
หัวไม้ story
จับตาการเดินทัพของพันธมิตรฯ จากคำปราศรัยของแกนนำชื่อ ‘สนธิ ลิ้มทองกุล’ หลังประกาศทบทวนแนวทางสันติวิธี ระบุแกนนำทั้งหลายไม่กลัวตาย “แต่ถ้าพวกเราบางคนจะต้องตาย พี่น้องสัญญาอย่าง ต้องให้แผ่นดินนี้ ลุกขึ้นเป็นไฟให้ได้”
หัวไม้ story
  เมื่อพูดกันถึงเรื่องการปฏิรูปการเมืองก็ไม่แคล้วตามมาด้วย การแก้รัฐธรรมนูญอีกครั้ง นับเป็นสิ่งที่สังคมไทยถนัดในการแก้ปัญหาการเมืองโดยการเขียนอะไรบางอย่างขึ้นมาบังคับอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร กระทั่งแม้แต่นักกฎหมายมหาชนเองก็ยังแซวผู้เชี่ยวชาญในสาขาของตัวเองได้ว่า ประเทศไทยนั้นมีความเชี่ยวชาญในการร่างรัฐธรรมนูญที่สุดในโลกนายอุทัย พิมพ์ใจชน อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2539 กล่าวในรายการตอบโจทย์  ทางสถานีไทย เมื่อวันที่ 3 ต.ค. ว่าที่สุดแล้ววิกฤตของการเมืองไทยวันนี้มันก็เริ่มมาจากการแก้รัฐธรรมนูญที่ฝ่ายรัฐบาลนำเสนอนั่นเองย้อนเหตุการณ์ให้ฟังอีกครั้งว่า…
หัวไม้ story
  พิณผกา งามสม   ในระหว่างที่การต่อสู้ทางการเมืองไทยยังคงถกเถียงกันเรื่องโมเดลการเมืองใหม่ การเมืองใหม่กว่า รวมถึงระบบโควตาและระดับความชอบธรรมของ ‘เสียง' การเมืองเพื่อนบ้านของไทยก็กำลังเข้มข้นอยู่บนหนทางเดิมๆ ตามระบอบรัฐสภาเมื่อนายอันวาร์ อิบราฮิม ผู้นำฝ่ายค้านของมาเลเซียประกาศว่าจะเขย่ารัฐบาลมาเลย์ให้ล่มเพื่อเปิดโอกาสในการจัดสรรที่นั่งในสภากันใหม่ โดยยึดเอาวันที่ 16 กันยายนเป็นวันดีเดย์ แรกทีเดียว หลายฝ่ายอาจคิดว่าเป็นเพียงการสร้างสีสันให้การรณรงค์ทางการเมืองของพรรคฝ่ายค้านอย่างที่เคยทำมาอย่าแข็งขัน เพราะต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า…
หัวไม้ story
  วิทยากร  บุญเรืองขณะที่ Frank Lampard ดาวเตะแข้งทองของทีม Chelsea พึ่งบรรลุข้อตกลงสัญญา 5 ปีที่มีมูลค่าสูงถึง 39.2 ล้านปอนด์ โดย Lampard จะได้รับค่า 151,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ หรือคิดเป็น 3,775 ปอนด์ต่อชั่วโมง! แต่จากการสำรวจของ The Fair Pay Network และ Institute of Public Policy Research (IPPR) พบว่าพนักงานทำความสะอาด พ่อครัวแม่ครัว และแรงงานตัวเล็กๆ ทั้งหลาย ของสโมสรอย่าง Chelsea, Spurs, Arsenal, West Ham และ Fulham กลับได้รับค่าเหนื่อยจากสัญญาจ้างค่าแรงขั้นต่ำแค่ 5.52 ปอนด์ต่อชั่วโมงเท่านั้น