Skip to main content


ภาพันธ์ รักษ์ศรีทอง

 

แล้ววันสำคัญทางพุทธศาสนาก็วนเวียนมาบรรจบอีกครั้งหนึ่งในรอบสองพันห้าร้อยห้าสิบเอ็ดปีหลังพระพุทธเจ้าเสด็จสู่นิพพาน เป็นความน่ายินดีที่รัฐไทยซึ่งประกาศตัวเป็นพุทธมามกะประกาศให้เป็นวันหยุดเพื่อแสดงความเคารพอย่างสำคัญและจะได้เปิดโอกาสให้ไปทำบุญทำทานกันตามธรรมเนียมประเพณี แต่สิ่งหนึ่งที่น่าเบื่อหน่ายพ่วงตามมากับบรรยากาศแบบนี้คือไม่สามารถไปหาซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาดื่มกินตามวิสัยได้ เนื่องจากเมื่อปีก่อนรัฐบาลคุณธรรมผลักดันจนมีกฎหมายมาบังคับ ทั้งที่เรื่องของศาสนาและแนวทางการปฏิบัติควรเป็นเรื่องของส่วนบุคคลเสียมากกว่า

คนดื่มเหล้าบางทีอาจไม่ได้เลวกว่าคนกินมังสวิรัติ และก็ไม่อาจบอกได้เช่นกันว่าดีกว่า...ใช่หรือไม่ ??

 

แต่ถ้าหากเชื่อตามแนวทางของรัฐ คือเชื่อว่าเมื่อสามารถควบคุมกิเลสให้พลเมืองได้แล้วบ้านเมืองจะสงบสุข มันก็ชวนให้สงสัยต่อว่าหากรัฐมีอำนาจทีทำได้จริงถึงขนาดนั้นแล้วทำไมจึงไม่ออกกฎหมายไปถึงขั้นบังคับโกนหัว โกนคิ้ว ห่มเหลือง ถือศีล 227 ข้อไปทุเสียเลย เพราะอานิสงค์สูงสุดจะได้พากันหลุดพ้นบ่วงกรรม ว่ายออกจากห้วงทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต บรรลุนิพพานพบความสุขอันเป็นนิรันดร์กันเสียที

แต่ในความเป็นจริงนอกจากจะไม่เป็นแบบนั้นแล้ว สุดท้าย การบังคับใช้อำนาจเพื่อควบคุมพลเมืองผ่านความรู้สึกทางศีลธรรมมันก็เป็นแค่อีก ลูกไม้หนึ่งในการสร้างความชอบธรรมในการใช้อำนาจของรัฐเท่านั้นเอง เมื่อคนเราเกิดความกลัวในบาปหรือเกิดการสะกดจิตตัวเองว่าจะกลายเป็นคนที่ดีบริสุทธิ์กว่ามนุษย์ขี้เหม็นธรรมดาทั่วไปแล้ว การยอมถูกรัฐควบคุมอีกนัยหนึ่งก็คือการทำให้รัฐดำรงตนให้กลายเป็นผู้ใช้อำนาจในการตัดสินมนุษย์ถึงในมิติของบาปบุญและให้คุณโทษแก่การกระทำอันเป็นนามธรรมนั้นได้

การควบคุมกิเลสโดยรัฐผ่านกฎหมายในรอบปีที่ผ่านมามีมากมายโดยที่เราไม่รู้สึกตัว และการที่เราไม่สามารถหาซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กินในวันอาสาฬหบูชาและออกพรรษาทั้งที่เราไม่ได้กระทำผิดอะไร vอีกทางหนึ่งมันก็อาจมาจากเพียงแค่เหตุผลทางภาพลักษณ์ของผู้ก้าวสู่อำนาจ โดยเฉพาะพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 ซึ่งผ่านสภาออกมาในยุคที่ภาพลักษณ์ของทั้งฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติล้วนมากจากการรัฐประหารหรือไม่สง่างามทางความชอบธรมทั้งสิ้น รูปหน้ที่สวยงามจึงเป็นสิ่งสำคัญพอๆกับการมีอำนาจที่ศักดิ์สิทธิ์

กฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 มีมาตราข้อบังคับเข้มๆอย่างเช่น มาตรา 27 ที่ห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวัด สถานศึกษา สถานบริการสาธารณสุข ร้านขายยา หอพัก สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง และสถานที่ราชการ มาตรา 31 ห้ามบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่ห้ามจำหน่ายตาม 27 และบริเวณสวนสาธารณะของราชการ

ในเวลาต่อมาภาพลักษณ์ที่ได้ผล ก็มีผลต่อเนื่องมาทางการสร้างภาพลักษณ์ของกระทรวงมหาดไทยที่มีรัฐมนตรีค่อนข้างยี้ในสายตาสังคม ทำให้เกิดการบังคับต่อเนื่องตามมาในวันเทศกาลหรือวันสำคัญทางศาสนาตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

และด้วยความเข้มงวดของกฎหมายไทย ในวันพระใหญ่จะหาแค่ไก่แช่ไวน์กินสักชิ้นยังลำบากกว่าหาเมียซักคน !!

ซึ่งการกลัวประชาชนมึนเมากับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จนกระทั่งห้ามขายแม้กระทั่งไก่แช่ไวน์ที่เราคงต้องกินกันซักสามเล้าจึงจะเมาเท่ากับเหล้าสักแก้ว บางทีมันก็เป็นเรื่องของสังคม..อีเดียดดด

เมื่อพูดถึงมิติทางสังคมแล้ว ยิ่งต้องมองต่อกันไปให้ลึกซึ้ง สังคมไทยเป็นสังคมที่มีผี และผีกับพุทธก็สัมพันธ์กันมาในวัฒนธรรมจนแยกกันไม่ออก ดังนั้นหากใครยังยืนยันให้บรรจุพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติลงในรัฐธรรมนูญก็ขอให้ใส่นับถือผีลงไปคู่กันด้วย ดังนั้นจงอย่าปฏิเสธเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพราะมันสำคัญนักแลในทางพิธีกรรมซึ่งยังคงปฏิบัติสืบทอดต่อกันมาและยังมีให้เห็นอีกหลายหัวบ้าน อีกทางหนึ่งยังเป็นเรื่องของทางสังคมที่ใช้ดื่มกินสร้างสัมพันธ์กันอย่างสนุกสนาน

ในวันสำคัญทางพุทธศาสนา บางทีก็อยากเอาเหล้าเซ่นผีบรรพบุรุษสักแก้ว แต่เขาไม่ขาย แล้วรัฐธรรมนูญ มาตรา 37 ที่ว่าบุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือศาสนา นิกายของศาสนา หรือลัทธินิยมในทางศาสนา และย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติตามศาสนธรรม ศาสนบัญญัติ หรือปฏิบัติ พิธีกรรมตามความเชื่อถือของตน เมื่อไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมืองและไม่เป็นการขัดต่อ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

ในการใช้เสรีภาพตามวรรคหนึ่ง บุคคลย่อมได้รับความคุ้มครองมิให้รัฐกระทำการใดๆ อันเป็นการรอนสิทธิหรือเสียประโยชน์อันควรมีควรได้ เพราะเหตุที่ถือศาสนา นิกายของศาสนา ลัทธินิยม ในทางศาสนา หรือปฏิบัติตามศาสนธรรม ศาสนบัญญัติ หรือปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อถือ แตกต่าง จากบุคคลอื่น จะตรามาทำไมในเมื่อในทางการปฏิบัติรัฐยังคงให้คุณค่ากับพุทธศาสนาอย่างเดียว กฎหมายบางมาตราของรัฐธรรมนูญกลับถูกใช้ในความเป็นจริงของสังคมไม่ได้

อย่างไรก็ตาม หากคิดในเชิงปัจเจกไม่ต้องอ้างใคร เมื่อรักจะดื่มแล้วคงพูดพียงว่าถึงเวลแล้วคนมันอยากกิน ควักเงินตัวเอง จ่ายเอง ไม่เคยระรานใคร แล้วมันผิดตรงไหนถ้าอยากกินเหล้าตรงกับวันที่เข้าพรรษา

หรือถ้ารัฐมีเจตนาจะเป็น รัฐศาสนาอย่างไม่กระแดะ คือเครียดกับการไม่อยากให้คนกินเหล้า เป็นคนดี อยู่ในศีลในธรรม อย่างจริงจัง หากแน่จริงก็ให้ออกกฎหมายเลิกขายเหล้าในประเทศกันไปเลย คืออย่ามางดเว้นกันพอเป็นพิธี เพราะแค่นี้มันไม่ได้ช่วยให้คนไทยลด ละ เลิกเหล้าได้จริงๆ หรอก

บล็อกของ Hit & Run

Hit & Run
 หอกหักจูเนียร์  ขณะที่นั่งปั่นข้อเขียนชิ้นนี้ ยังมีสองเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้น และผมต้องอาศัยการแทงหวยคาดเดาเอาคือ1. การเลือกนายกรัฐมนตรี (จะมีในวันที่ 15 ธ.ค. 2551)2. การโฟนอินเข้ามายังรายการความจริงวันนี้ของคุณทักษิณ (จะมีในวันที่ 13 ธ.ค. 2551)เรื่องที่ผมจะพูดก็เกี่ยวเนื่องกับสองวันนั้นและเหตุการณ์หลังสองวันนั้น ผมขอเน้นประเด็น การจัดการ - การบริหาร "ความแค้น" ของสองขั้ว I ขอแทงหวยข้อแรกคือ ในวันที่ 15 ธ.ค. 2551 หากว่า คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะถูกโหวตให้เป็นนายก และพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล (ขออภัยถ้าแทงหวยผิด แต่ถ้าแทงผิด…
Hit & Run
ผู้สื่อข่าวเฉพาะกิจ  หลังการประกาศชัยชนะของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหลังการยุบพรรค แล้วล่าถอยในวันที่ 3 ธ.ค. พอตกค่ำวันที่ 3 ธ.ค. เราจึงกลับมาเห็นบรรยากาศที่ไม่ค่อยคุ้นเคย แทนที่สนธิ ลิ้มทองกุล และแกนนำพันธมิตรฯ จะปราศรัยบนเวที หรือหลังรถปราศรัย ก็กลายเป็นเสวนา และวิเคราะห์การเมืองกันในห้องส่งของสถานีโทรทัศน์ ASTV อย่างไรก็ตาม สนธิ ลิ้มทองกุล ก็พยายามรักษากระแสและแรงสนับสนุนพันธมิตรฯ หลังยุติการชุมนุมเอาไว้ โดยเขาเผยว่าจะจำลองบรรยากาศการชุมนุมพันธมิตรตลอด 6 เดือนที่ผ่านมาไว้ในห้องส่ง เพื่อแฟนๆ ASTV โดยเขากล่าวเมื่อ 3 ธ.ค. [1] ว่า “พี่น้องครับ…
Hit & Run
พิชญ์ รัฐแฉล้ม            นานมากแล้วที่ “ประเทศของเรา” ประสบกับสภาพความมั่นคงและเสถียรภาพที่แหว่งวิ่นเต็มทน และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าความหวังในความสำเร็จของการจัดการกับปัญหายิ่งเลือนรางไปทุกที ทุกเรื่อง ทุกราว กำลังถาโถมเข้ามาจากทุกสารทิศเพื่อมารวมศูนย์ ณ เมืองหลวงมิคสัญญีแห่งนี้ จนกระแสข่าวรายวันจากปักษ์ใต้ อีสาน...แผ่วและเบาเหมือนลมต้นฤดูหนาว   สื่อต่างๆ ทั้งไทย-ต่างประเทศ ประโคมข่าวจากเมืองหลวงกระจายสู่ทุกอณูเนื้อโลก ช่างน่าตกใจ! ภาพแห่ง “ความรุนแรง” ของฝูงชนขาดสติและไม่เหลือแม้สายใยในความเป็นมนุษย์ร่วมกัน ถูกกระจายออกไป…
Hit & Run
  ธวัชชัย ชำนาญ ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นห้วงเวลาที่คนไทยทั่วทุกสารทิศ เดินทางเข้ามาร่วมเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ "พิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ" ความยิ่งใหญ่อลังการที่ทุกคนคงรู้ดีที่ไม่จำเป็นต้องสาธยายเยอะ  แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ ความสงบเงียบของบ้านเมืองที่ดูเหมือนมีพลังอำนาจอะไรบางอย่างมากดทับกลิ่นอายของสังคมไทยที่เคยเป็นอยู่กลิ่นอายที่ว่านั้น..เป็นกลิ่นอายของความขัดแย้ง ความเกลียดชังของคนในสังคมที่ถูกกดทับมาตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา…
Hit & Run
 ภาพจากเว็บบอร์ด pantipจันทร์ ในบ่อ เชื่อว่าหลายคนคงได้ชมรายการตีสิบเมื่อสัปดาห์ก่อน โดยเชิญ ‘คุณต้น' อดีตนักร้องวง ‘ทิค แทค โท' บอยแบนด์ไทยสไตล์ญี่ปุ่นรุ่นแรกๆ ที่โด่งดังราวสิบปีก่อนมาออกรายการ เพื่อเป็นอุทธาหรณ์แก่สังคมเรื่องผลเสียจากการใช้ยาเสพติดคุณต้นสูญเสียความทรงจำและมีอาการทางสมองชนิดที่เรียกว่า ‘จิตเภท' จากการใช้ยาเสพติดโดยเฉพาะยาบ้าและยานอนหลับชนิดรุนแรง จนหลายปีมานี้เขาได้หายหน้าหายตาไปจากวงการบันเทิงและจดจำใครไม่ได้เลย คุณแม่เคยสัญญากับคุณต้นไว้ว่า หากอาการดีขึ้นจะพามาออกรายการตีสิบอีกครั้งเพื่อทบทวนเรื่องราวในอดีต เพราะคุณต้นและเพื่อนๆ…
Hit & Run
  คนอเมริกันและลามถึงคนทั่วโลกด้วยกระมัง ที่เหมือนตื่นจากความหลับใหล พบแดดอ่อนยามรุ่งอรุณ เมื่อได้ประธานาธิบดีใหม่ที่ชนะถล่มทลาย คนหนุ่มไฟแรง ผิวสี เอียงซ้ายนิดๆ ผู้มาพร้อมสโลแกน "เปลี่ยน เปลี่ยน เปลี่ยน และเปลี่ยน" แม้ผู้คนยังไม่อาจแน่ใจได้ว่าจะเปลี่ยนได้ไหม เปลี่ยนไปสู่อะไร (เพราะอเมริกาไม่มีหมอลักษณ์ฟันธง หมอกฤษณ์คอนเฟิร์ม) แต่ขอแค่โลกนี้มีหวังใหม่ๆ ความเปลี่ยนแปลงสนุกๆ ก็ทำให้ชีวิตกระชุ่มกระชวย ท้องฟ้าสดใสกว่าที่เคยเป็นได้ง่ายๆ   มองไปที่อื่นฟ้าใส แต่ทำไมฝนมาตกที่ประเทศไทยไม่เลิก บ้านนี้เมืองนี้ ผู้คนพากันนอนไม่หลับ ฟ้าหม่น ฝนตก หดหู่มายาวนาน นานกว่าเมืองหนึ่งใน ‘100…
Hit & Run
    ช่วงนี้มีแต่เรื่องวุ่นวาย ส่วนตัวความจริงแล้วไม่อยากยุ่งเพราะเป็นคนรักสงบและถึงรบก็ขลาด แต่ไม่ยุ่งคงไม่ได้เพราะมันใกล้ตัวขึ้นทุกที ระเบิดมันตูมตามก็ถี่ขึ้นทุกวัน จนไม่รู้ใครเป็นตัวโกง ใครเป็นพระเอก เลยขอพาหันหน้าหาวัดพูดเรื่องธรรมะธรรมโมบ้างดีกว่า แต่ไม่รับประกันว่าพูดแล้วจะเย็นลงหรือตัวจะร้อนรุมๆ ขัดใจกันยิ่งกว่าเดิม ยังไงก็คิดเสียว่าอ่านขำๆ พอฆ่าเวลาปลายสัปดาห์ก็แล้วกัน.....
Hit & Run
< จิรนันท์ หาญธำรงวิทย์ >หลังจากอ่าน บทสัมภาษณ์ของซูโม่ตู้ หรือจรัสพงษ์ สุรัสวดี ในเว็บไซต์ผู้จัดการรายสัปดาห์ออนไลน์ แล้วพบว่าสิ่งหนึ่งที่ควรชื่นชมคือ ความตรงไปตรงมาของจรัสพงษ์ที่กล้ายอมรับว่าตนเองนั้นรังเกียจคนกุลีรากหญ้า ที่ไร้การศึกษา โง่กว่าลิงบาบูน รวมไปถึง “เจ๊ก” และ “เสี่ยว” ที่มาทำให้ราชอาณาจักรไทยของเขาเสียหาย เป็นความตรงไปตรงมาของอภิสิทธิ์ชนที่ปากตรงกับใจ ไม่ต้องอ้อมค้อมให้เสียเวลา ที่คงไม่ได้ยินจากปากนักวิชาการ หรือนักเคลื่อนไหวคนไหน (ที่คิดแบบนี้) (เดี๋ยวหาว่าเหมารวม)
Hit & Run
  ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านไป ความวุ่นวายในเมืองหลวงเริ่มคลีคลาย แต่ความสับสนและกลิ่นอายของแรงกดดันยังบางอย่างภายใต้สถานการณ์บ้านเมืองยังคงคลุกรุ่นอยู่ไม่หาย... ไม่รู้ว่าน่าเสียใจหรือดีใจที่ภารกิจบางอย่างทำให้ต้องเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ ก่อนหน้าเหตุการณ์อันน่าเศร้าที่เรียกกันว่า "7 ตุลาทมิฬ" เพียงข้ามคืน สิ่งที่เกิดขึ้นในความทรงจำจึงเป็นเพียงอีกเรื่องราวของหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ถึงขณะนี้ยังไม่รู้ถึงข้อมูลที่แน่ชัดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ความสูญเสียเกิดจากอะไร เพราะใครสั่งการ ใครจะเป็นคนรับผิดชอบต่อการสูญเสียที่เกิดขึ้น อย่างไร ฯลฯ คำถามมากมายที่ยังรอคำตอบ   …
Hit & Run
   (ที่มาภาพ: http://thaithai.exteen.com/images/photo/thaithai-2550-11-4-chess.jpg)หลังจากการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ความขัดแย้งทางชนชั้น การปะทะกันระหว่าง "ความเชื่อในคุณธรรม vs ความเชื่อในประชาธิปไตย" เริ่มปรากฏตัวชัดขึ้นเรื่อยๆ และได้ก่อให้เกิดความรุนแรงจากมวลชนทั้งสองกลุ่มฝั่งคุณธรรม อาจเชื่อว่า หากคนคิดดี ทำดี ปฏิบัติดีแล้ว เราจะอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข และปัญหาใหญ่ที่สุดของสังคมในขณะนี้คือ จริยธรรมของคนที่ข้องเกี่ยวกับการเมือง ดั้งนั้น จึงพยายามกดดันให้นักการเมืองเข้ากรอบระเบียบแห่งจริยธรรมที่ตนเองคิด หรือไม่ก็ไม่ให้มีนักการเมืองไปเลยฝั่งประชาธิปไตย อาจเชื่อว่า…
Hit & Run
Ko We Kyawเมื่อวันเสาร์ สัปดาห์ก่อน มีการจัดงาน ‘Saffron Revolution, A Year Later' ที่จัดโดยคณะผลิตสื่อเบอร์ม่า (Burma Media Production) หอศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อรำลึกถึง 1 ปี แห่งการปฏิวัติชายจีวร นอกจากการเสวนาและการกิจกรรมเพื่อเป็นการรำลึกแล้ว ภาคบันเทิงในงานก็มีความน่าสนใจเพราะมีการแสดงจากคณะตีเลตี (Thee Lay Thee) ที่มีชื่อเสียงจากพม่าการแสดงในวันดังกล่าว เป็นการแสดงในเชียงใหม่เป็นครั้งที่ 3 ในรอบปี 2551 หลังจากเคยจัดการแสดงมาแล้วในเดือนมกราคม และการแสดงการกุศลเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยนาร์กิส เมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาในพม่า…
Hit & Run
  ขุนพลน้อย       "ผมรู้สึกภูมิใจยิ่งที่สามารถคว้าเหรียญทอง สร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทย แต่ก็แอบน้อยใจบ้างที่เงินอัดฉีดของพวกเราจากรัฐบาลน้อยกว่าคนปกติ นี่ถ้าได้สักครึ่งหนึ่งของพวกเขาก็คงดี"น้ำเสียงของ ‘ประวัติ วะโฮรัมย์' เหรียญทองหนึ่งเดียวของไทย ในกีฬา ‘พาราลิมปิกเกมส์ 2008' หลังเดินทางกลับถึงประเทศไทยในช่วงดึกวันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน 2551 เป็นไปอย่างมุ่งมั่นระคนทดท้อการต้อนรับนักกีฬาในหมู่คนใกล้ชิดและในวงการมีขึ้นอย่างอบอุ่น แต่ความไม่เท่าเทียมกันเมื่อเปรียบเทียบกับนักกีฬาที่ได้รางวันใน ‘โอลิมปิก' คงเป็นภาพที่สะท้อนมองเห็นสังคมแบบบ้านเราได้ชัดเจนขึ้น…