คิม ไชยสุขประเสริฐ
ข่าวคราวในวงการกีฬา เมื่อวันที่ 24 ธ.ค. ที่ผ่านมา คงเป็นที่จดจำสำหรับคนไทยที่ชื่นชอบกีฬาฟุตบอลหรือเป็นนักเชียร์ตัวยงสำหรับกีฬาต่างๆ ที่ลงท้ายด้วยทีมชาติไทยพ่ายทีมชาติเวียดนาม 1-2 ประตู ในฟุตบอลอาเซียน ซูซูกิ คัพ 2008 รอบชิงชนะเลิศนัดแรก ซึ่งจัดขึ้นที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน โดยเกมนี้มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมตรี เดินทางไปเชียร์ทีมไทยถึงขอบสนาม
เรียกได้ว่าเป็นการแพ้กันคาบ้าน
โดยรายงานข่าวสรุปเกมส์การเล่นเอาไว้ว่า
"ครึ่งแรกทีมไทยเกือบได้ประตูขึ้นนำหลายครั้ง แต่ผู้รักษาประตูเวียดนามโชว์ซูเปอร์เซฟไว้ได้ จนกระทั่งนาทีที่ 39 เวียดนามได้ประตูออกนำไปก่อนจากจังหวะโต้กลับ และเป็น เหงียน เหวียง กง โหม่งเข้าไป ถัดมาอีก 3 นาทีทีมไทยต้องมาเสียประตูที่ 2 จากจังหวะโต้กลับเช่นเดิม และเป็น เล คอง วิน ที่ยิงเข้าไป จบครึ่งแรกทีมไทยตามหลังเวียดนาม 0-2 ประตู"
"ครึ่งหลังทีมไทยเน้นเกมรุกมาขึ้นแต่จังหวะสุดท้ายยังไม่ดีพอและเกือบเสีย ประตูที่ 3 เช่นกัน แต่แล้วในนาทีที่ 75 รณชัย รังสิโย ตัวสำรอง ที่เพิ่งลงสนามไปแทน ธีรเทพ วิโนทัย ได้เพียงแค่นาทีเดียว สามารถโหม่งให้ทีมไทยไล่ขึ้นมาเป็น 1-2 ประตู หลังจากนั้นทีมไทยโหมบุกอย่างหนักและนาทีที่ 79 ไทยน่าได้ประตูตามตีเสมอจากธีรศิลป์ แดงดา ยิงเข้าไปแต่ผู้ช่วยผู้ตัดสินยกธงล้ำหน้า ทำให้แฟนบอลชาวไทยไม่พอใจ จบเกมทีมไทย พ่าย เวียดนาม คาถิ่น 1-2 ประตู"
000
แม้จะเป็นคนที่ไม่ได้นิยมชมชอบกีฬาประเภทนี้สักกี่มากน้อย แต่ก็แอบลุ้นระทึกไปกับการแข่งขัน และคิดว่าหลังเหตุการความวุ่นวายในบ้านเมืองได้สงบลง (บ้างแล้ว) พร้อมกับการได้นายกฯคนใหม่ที่อาจเป็นทั้งที่พึงใจและไม่พึงใจของใครหลายๆ คน กีฬาจะช่วยเป็นยาวิเศษที่จะทำให้หัวใจคนไทยได้กระชุ่มกระชวย โดยเฉพาะถ้าชนะก็ยิ่งเป็นของขวัญรับเทศกาลคริสต์มาสและเทศกาลปีใหม่ที่จะถึงนี้
เพราะเมื่อดูจากฟอร์มการเล่นที่ผ่านมา ตั้งแต่การแข่งขันฟุตบอลอาเซียน ซูซูกิ คัพ 2008 รอบแรกของกลุ่ม B (ทีมชาติไทย ในฐานะเจ้าภาพร่วม อยู่ร่วมกลุ่มกับทีมชาติเวียดนาม มาเลเซีย และลาว) ที่สนามสุระกุล จังหวัดภูเก็ต ระหว่างทีมชาติไทย กับทีมชาติเวียดนาม ผลการแข่งขันทีมไทยเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ 2-0 และในการแข่งขัน นัดต่อๆ มา ไทยก็ได้รับชัยชนะจนได้เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ทำให้คนเชียร์ต่างคาดหวังกันว่าทีมไทยจะได้รับชัยชนะแบบลอยลำ
อย่างไรก็ตามสำหรับนักดูบอลหลายๆคนยังคงมีความหวัง การแพ้ในนัดแรกนี้ถือเป็นเพียงการอุ่นเครื่องให้คนดูได้ลุ้นกันสนุกขึ้นกับเกมส์การแข่งขันนัดต่อไปอย่างดุเด็ดเผ็ดมันมากขึ้น เพราะทีมไทยยังมีโอกาสแก้ตัวอีกครั้งในรอบชิงชนะเลิศ นัดที่ 2 วันที่ 28 ธันวาคมนี้ ที่สนามกีฬาแห่งชาติเวียดนามหมีดิงกรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม
ถือเป็นนัดชี้ชะตาที่ผู้ชมก็คงต้องคอยลุ้นกันต่อไปว่า นักฟุตบอลทีมชาติไทยจะคว้าชัยชนะมาให้คนไทยมาชื่นชมได้หรือไม่
000
สิ่งที่น่าสนใจไปกว่าการแพ้หรือการชนะในการแข่งขันนัดนี้ คือเรื่องความก้าวหน้าของวงการฟุตบอลทีมชาติไทย ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2458 และบริหารทีมโดยสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ แม้ในปัจจุบัน ทีมชาติไทยยังไม่มีผลงานที่โดดเด่นในระดับโลกหากวัดจากการไม่เคยผ่านเข้ารอบไปฟาดแข้งในการแข่งขันฟุตบอลโลก แต่ทีมชาติไทยก็เคยได้เข้าร่วมแข่งในกีฬาโอลิมปิก 2 ครั้ง ล่าสุดในฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือก ทีมไทยผ่านเข้าสู่รอบที่ 3 โดยจับฉลากแข่งสายเดียวกับ ญี่ปุ่น โอมาน และ บาห์เรน
ส่วนในระดับทวีปเอเชียนั้น ทีมชาติไทย เคยได้อันดับสูงสุดคืออันดับที่ 3 ในเอเชียนคัพ 1972 ในปี พ.ศ. 2515 ที่ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพ และในเอเชียนเกมส์ ทีมไทยได้เข้าร่วม 4 ครั้ง โดยได้อันดับสูงสุดคือได้เข้าร่วมในรอบสี่ทีมสุดท้าย
หันมาดูการแข่งขันในระดับภูมิภาคอาเซียนบ้าง ทีมชาติไทยเป็นแชมป์ซีเกมส์ 13 ครั้ง อาเซียนฟุตบอลแชมเปียนชิพ 3 ครั้ง และคิงส์คัพที่จัดขึ้นในประเทศไทย 12 ครั้ง ล่าสุดทีมชาติไทยได้เหรียญทองในซีเกมส์ 2007 หลังจากชนะทีมชาติพม่า 2 ประตูต่อ 0
จึงอาจเรียกได้ว่าในระดับภูมิภาคฟุตบอลทีมชาติไทยเรียกได้ว่าเป็นดาวเด่นดวงหนึ่ง หรืออาจเรียกได้เลยว่าเป็นพี่ใหญ่ในวงการฟุตบอลระดับอาเซียน แต่ในระยะหลังมานี้เมื่อการเมืองและการพัฒนาในประเทศรอบๆเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้นฝีเท้าของนักเตะเพื่อนบ้านดูเหมือนมีพัฒนาการอย่างค่อนข้างรวดเร็ว สำหรับประเทศไทยแล้วหากไม่มีการพัฒนาระบบในวงการกีฬาเพื่อเพิ่มศักยภาพและฝีมือ ในไม่ช้าความเป็นหนึ่งหรือความเป็นพี่ใหญ่ในวงการฟุตบอลระดับอาเซียนของไทยอาจหลุดลอยไปได้ ยิ่งในหลายประเทศที่อดีตเคยตามหลังในด้านการกีฬา ขณะนี้พากันหันมาแข่งขันกันพัฒนาศักยภาพของนักกีฬา มีเงินอุดหนุน การสนับสนุนการสร้างนักกีฬาอาชีพ และพัฒนาอย่างเป็นระบบจนลีคหลายลีคก็กลายเป็นตลาดที่นักเตะไทยต้องหันไปค้าแข้งมากมาย
เลยแอบอดหวั่นใจเล็ก หากเรายังรอเป็นหมีนอนกิน เชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของชาติมากกว่าความใส่ใจ ความพ้ายแพ้อาจบวกความล้าหลังจนอาจยากเกินกว่าจะแก้ไขทัน
000
ลองมาเปรียบเทียบกับแวดวงฟุตบอลทีมชาติเวียดนาม ในรอบหลายปีที่ผ่านมาสื่อโลกกีฬารายงานถึงทิศทางการพัฒนามาโดยตลอด(ด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและอื่นๆด้วย) ล่าสุดจากการจัดอันดับโดยฟีฟ่า (เว็บไซต์ฟีฟ่า ข้อมูล ธันวาคม 2551) เวียดนาม อยู่ในอันดับที่ 155 ของโลก และเป็นทีมอันดับ 4 ในสหพันธ์ฟุตบอลอาเซียน รองจาก อินโดนีเซีย (อันดับโลก 139) สิงคโปร์ (อันดับโลก 132) และไทย (อันดับโลก 126, อันดับในทวีปเอเชีย 16) ซึ่งขณะนี้เป็นอันดับ 1 ในสหพันธ์ฟุตบอลอาเซียน โดยอันดับสูงสุดจากการจัดอันดับโดยฟีฟ่าที่ทีมชาติไทยเคยได้รับ คือ อันดับที่ 43 ในปี 2541
ประวัติศาสตร์ทีมชาติเวียดนาม ภายหลังจากเวียดนามแบ่งประเทศเป็นเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ ทำให้มีทีมชาติเกิดขึ้นสองทีม แต่เวียดนามเหนือไม่ค่อยมีผลงานในทางฟุตบอลเท่าไร จะเล่นกับทีมอื่นๆในชาติคอมมิวนิสต์เป็นสำคัญ ช่วง พ.ศ. 2499 - พ.ศ. 2509 แต่เวียดนามใต้ได้ร่วมเล่นในเอเชียนคัพและได้อันดับ 4 สองครั้ง และในปี พ.ศ. 2534 ทีมชาติเวียดนามได้ตั้งขึ้นภายหลังจากที่สองประเทศได้รวมกัน โดยรวมทีมเวียดนามเหนือเข้ามา
หลังจากนั้นไม่ถึงสิบปี ทีมชาติเวียดนามก็เริ่มสร้างความคร้ามเกรงให้ทีมอื่นๆร่วมภูมิภาคได้ โดยเฉพาะทีมชาติไทยกับทีมชาติอินโดนีเซียถึงกับพยายามแข่งกันแพ้ในการแข่งขันไทเกอร์คัพ 1998 ที่โฮจิมินห์ซิตี ประเทศเวียดนาม เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2541 เนื่องจากขณะนั้นทั้งสองทีมเข้ารอบรองชนะเลิศแน่นอนแล้ว แต่ผู้ชนะซึ่งจะเป็นที่หนึ่งของกลุ่ม A จะต้องเดินทางไปแข่งในรอบรองชนะเลิศกับ "ทีมชาติเวียดนาม" ที่ฮานอยในวันชาติเวียดนาม
วันนั้นครึ่งแรกไทยและอินโดนีเซียต่างฝ่ายต่างพยายามไม่ยิงประตู แต่หลังจากมีการพูดคุยกันระหว่างกรรมการและโค้ช ครึ่งหลังจึงทำประตูได้ทีมละสองประตู จนกระทั่งใกล้หมดเวลา นักเตะของอินโดนีเซียยิงเข้าประตูตัวเอง ทีมชาติไทยจึงชนะไป 3: 2 ประตู แต่ความอัปยศของการแข่งขันนัดนี้ทำให้ทั้งสองทีมถูกปรับเป็นเงิน 40,000 ดอลลาร์สหรัฐ
เพราะความน่ากลัวของทีมชาติเวียดนามมีจริง และเป็นความน่ากลัวที่ไม่ได้ได้มาเพราะโชคช่วย แต่เป็นความพยายามบวกตั้งใจไม่ว่าจะเป็นในส่วนผู้สนับสนุน ทีมผู้ฝึกสอน หรือตัวนักกีฬาเอง แม้ในปัจจุบันทีมชาติเวียดนามยังไม่มีผลงานระดับโลกหรือระดับเอเชียเท่าไรนัก แต่ในระดับอาเซียนก็คว้ารองชนะเลิศในไทเกอร์คัพมาแล้ว และในอนาคตเส้นทางการเติบโตกำลังรอพวกเขาอยู่
000
ทั้งหลายทั้งแหล่ที่ว่า (และหาข้อมูล) มา ไม่ได้ต้องการตอกย้ำความพ่ายแพ้ของทีมชาติไทย (หากถูกใครนำไปโยงกับการเมืองด้วยก็ไม่ได้ตั้งใจสร้างความไม่สมานฉันท์ให้เกิดแก่คนในชาติ) แต่อยากเพียงให้มองความพ่ายแพ้ที่เป็นบทเรียนของวันข้างหน้าซึ่งไม่ใช่เฉพาะในการกีฬา เพราะกว่าไทยจะเดินทางมาถึงวันนี้ได้ก็อาศัยทั้งความพยายาม หมั่นฝึกฝน สั่งสมประสบการณ์ หรือทั้งช่วงชิงบ้าง จึงไม่อยากให้สูญเสียสิ่งเหล่านี้ไปในวันนี้โดยที่เราหยุดนิ่งเสียเอง
ที่ผ่านมาบ้านเมืองของเราต้องหยุดชะงักเพราะความวุ่นวายภายในกันมากเกินพอแล้ว วันนี้ถึงเวลาเสียทีประเทศต้องตื่นจากหลับและลุกขึ้นมาก้าวเดินหน้ากันเสียที อย่าคิดว่าเรามีดีจนไม่ต้องทำอะไรแล้ว เพราะนั่นมันแค่การปลอบประโลมตัวเองกันไปวันๆ
แต่ยังอยากให้มีพรดีๆ มาเป็นของขวัญกำลังให้คนไทยเวลานี้กันสักข้อ นัดหน้าเลยขอเชียร์ให้ทีมชาติได้รับชัยชนะอีกครั้งค่ะ
......................
ข้อมูลจาก