Skip to main content
 

จันทร์ ในบ่อ

 

วันวาเลนไทน์' หรือ วันเสียตัวแห่งชาติ'เป็นวันที่มีความเชื่อกันว่า ผีกระจู๋' จะถูกปลดปล่อยออกมาเพ่นพ่านด้วยฤทธาแห่งความความกำหนัด โดยเฉพาะในวันที่ความรักเบ่งบานฉ่ำบรรดาพ่อมดหมอผีจะเกรงกลัวเป็นที่สุด เพราะเชื่อกันว่าอิทธิฤทธิ์แห่งมนต์ดำกฤษณาจะเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติอีกหลายเท่าตัว

 

ยิ่งมีความกลัว พ่อมดหมอผีจะยิ่งเร่งทำพิธีกรรมผูกมัดผู้คนให้อยู่ในความเชื่อ หมอผีตัวเป้งๆจะเกลี้ยกล่อมให้เด็กๆเกรงกลัว มักบอกว่ากระจู๋เป็นสิ่งไม่ดี มันเป็นเรื่องสกปรกจนเด็กหลายคนไม่กล้าแม้จะเหลียวลงต่ำ กว่าใต้สะดือ บางกระจู๋ไม่ได้รับการดูแลที่ดีทั้งที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเพศ บางกระจู๋อยู่ในปลอกเพราะไม่กล้าถอกมาโดนน้ำสะอาดจนกลายเป็นวิญาณร้ายเหม็นเน่าก็มี

 

ผีกระจู๋ยังถูกพ่อมดหมอผีพร่ำสอนว่าเป็นภัยต่อน้องกระจิ๋ม เพราะหากเจอกันมันจะดูดเลือดบริสุทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ่อมดเล่าว่าจะเป็นวันที่ผีกระจู๋ต้องหาน้องกระจิ๋มให้ได้ เป็นภัยสังคมอย่างร้ายแรง

 

ดังนั้น ในวันนี้ของทุกปีผีกระจู๋จะถูกไล่ล่าอย่างหนัก ทั้งที่แต่โบราณกาลมาการพบกันของกระจู๋กับกระจิ๋มนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติเสมือนวงโจรของดวงดาวที่บางทีก็ทับกันเป็นคราส แล้วแต่จะเรียกว่าจันทรคราสหรือสุริยคราส

 

แต่สิ่งที่ทับกันมักเป็นความกลัวของของพ่อมดหมอผี การเกิดคราสมักถูกทำนายทายทักในเรื่องร้ายๆ ต้องเซ่นไหว้สังเวย ทำพิธีกรรม พร้อมเผยแพร่คำสอน ขณะเดียวกันก็เป็นการใช้การชี้นำทางความเชื่อเป็นอำนาจเกาะกุมการนำทางสังคมไว้ เช่นเดียวกัน การสร้างกระแสความตระหนกเรื่องผีกระจู๋ก็ทำให้วันแห่งความรักกลายเป็นวันแห่งการเสียตัวได้ทั้งที่ก็เสียกันอยู่แล้วในทุกๆวัน ซึ่งมากบ้างน้อยบ้างคงเป็นเรื่องส่วนตัวคงไม่ต้องให้หมอผีมาแอบซุกนับจากใต้เตียง

 

ที่น่าขันความตื่นตระหนกของพ่อมดหมอผีกลับยิ่งเร่งกระตุ้นให้ผีกระจู๋ยิ่งกระสันต์เสียว ข้อห้าม คำเตือน สถิติยิ่งกลายเป็นความสากล กลายเป็นเทรนด์ของการไล่ล่าดูดเลือดอย่างมีคำอธิบายอันเรียบง่ายต่อน้องกระจิ๋ม

 

"กระจู๋อันไหนก็ไม่บริสุทธิ์กันทั้งนั้นในวันนี้" ผีกระจู๋จะกล่าวอย่างสบายใจ ในขณะที่น้องกระจิ๋มที่เคยกล้าๆกลัวก็จะมีเส้นตัดสินใจ

 

"วันนี้หนูมีเมนส์ ขอผลัดเป็นวันลอยกระทงแล้วกันนะพี่" กระจิ๋มตอบ

 

ความรักและวันแห่งความรัก ในคำสอนที่กลัวแต่การสมสู่ ผีกระจู๋ได้กลายเป็นเหยื่อสังเวยทางศีลธรรมของสังคมที่ซุกความกำหนัดไว้ภายในเพียงแต่รอว่าจะถะถ่างถั่งโถมมาเมื่อใดเท่านั้น ถ้าออกมาตรงจุด ตรงที่ ตรงเวลาก็ดีไป แต่ถ้ามาไม่ถูกทางก็เป็นเรื่องที่อันตรายต่อกระจิ๋มรอบข้างที่มารู้อิโหน่อิเหน่

 

ที่สำคัญกระจู๋ที่กระเสือกกระสนในสังคมที่ซุกซ่อนปกปิดของหมอผีกลับยิ่งเพิ่มความเสี่ยงเพราะวิญญาณไม่มีความกล้าในการหาเครื่องป้องกัน

 

กระจู๋ต้องการการพูดความจริงไม่ต้องการเป็นผี ต้องการการกล่าวถึงอย่างมีความรับผิดชอบมากกว่าการพูดถึงข้อห้ามและการจับถ่วงหม้อ แต่หมอผีคงไม่สนใจนักหรอกเพราะการทำงานทางความคิดมันเป็นเรื่องยากกว่าการเทศนา และวันหนึ่งๆหากหากพ่อมดหมอผีไม่ได้พูดเรื่องความกลัวทางศีลธรรม ข้อห้ามเหล่านี้ก็เท่ากับการไม่มีงานอะไรทำ นอกจากไม่สนใจแล้วเหล่าพ่อมดหมอผีเองก็คงไม่มีความคิดพอที่จะพูดอะไรได้นอกเหนือจากการเทศนาในสิ่งที่เหนือโลกีย์เพราะตรวจสอบจับจ้องด้วยเหตุผลไม่ได้ แต่ความจริงแท้แน่นอนกว่าคือมันสร้างภาพได้ง่าย เพียงการประกาศตนว่าไม่กินผักหรือไม่ดื่มสุราเท่านั้นก็สามารถขึ้นไปเป็นเจ้าพิธีเทศน์ในสังคมผีๆนี้ได้

 

กระจู๋วาเลนไทน์' ในสถานการณ์ที่มีแต่พ่อมดหมอผีเพ่นพ่านเช่นนี้จึงเป็นกระจู๋ที่เสี่ยงและน่าสงสาร

 

 

บล็อกของ Hit & Run

Hit & Run
  ตติกานต์ เดชชพงศ  เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ที่ผ่านมา เพิ่งมีโอกาสได้ไปดูฉากโหดๆ อาทิ หัวขาดกระเด็น เลือดสาดกระจาย กระสุนเจาะกระโหลกเลือดกระฉูด ในหนังไทย (ทุ่มทุนสร้างกว่า 80 ล้านบาท!) เรื่อง ‘โอปปาติก'  รู้สึกอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่งว่าหนังเรื่องนี้รอดพ้นเงื้อมมือกองเซ็นเซอร์ผู้เคร่งครัดมาได้ยังไง?เพราะด้วยการทำงานของหน่วยงานเดียวกันนี้ ทำให้หนังเรื่องหนึ่งถูกห้ามฉาย เพราะมีฉากพระสงฆ์เล่นกีตาร์, และฉากนายแพทย์บอกเล่าว่าตนก็มีึความรู้สึกทางเพศ แม้แต่ฉากเด็กผู้หญิงอาบน้ำ (ซึ่งเป็นเพียงตัวการ์ตูนญี่ปุ่น) ก็ยังถูกเซ็นเซอร์มาแล้ว ด้วยข้อหา ‘ทำให้เสื่อมเสียศีลธรรมอันดี'…
Hit & Run
วิทยากร บุญเรือง ผมไปเจอข่าวชิ้นหนึ่ง เหตุเกิดที่โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งไม่ว่าจะยังไง ข่าวชิ้นนี้ผมว่ามันสามารถสะท้อนอะไรได้หลายอย่าง สำหรับสังคมไทยที่เป็นอยู่ในปัจจุบันคือข่าวที่กลุ่มมิจฉาชีพแฝงตัวเข้ามาก่ออาชญากรรมในโรงพยาบาลศิริราช มาหากินกับพสกนิกรผู้จงรักภักดีได้ลงคอ ... (กรุณาอ่านให้จบก่อนด่า)ท่านพงศพัศ พงษ์เจริญ ตำรวจหน้าหล่อ ได้กล่าวว่า ที่โรงพยาบาลศิริราช มีเรื่องซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นนั่นคือมีกลุ่มมิจฉาชีพแฝงตัวเข้ามาก่ออาชญากรรม และที่ไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง คือเป็นการก่อเหตุในเขตพระราชฐาน โดยขณะนี้ตำรวจได้รวบรวมหลักฐานแล้วเตือนไปยังแก๊งมิจฉาชีพที่ตั้งใจมาก่ออาชญากรรมว่า…
Hit & Run
พงษ์พันธุ์ ชุ่มใจ 26 กันยายน 2550ย่านพระเจดีย์สุเล, กรุงย่างกุ้ง   ภาพที่เห็นคือ...ประชาชนหลายพันคนออกมายืนเต็มถนนย่านพระเจดีย์สุเล ซึ่งเป็นย่านกลางเมือง โดยไม่ไกลนักมีกองกำลังรักษาความมั่นคงพม่าตั้งแถวอยู่เบื้องหน้า ป้องกันไม่ให้ประชาชนเข้าใกล้พระเจดีย์แห่งนี้"เราต้องการประชาธิปไตย" ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกล่าว"รัฐบาลนี้อันตรายโคตรๆ" ชายอีกคนหนึ่งกล่าวประชาชนส่วนหนึ่ง พยายามต่อสู้กับทหาร ทหารที่มีทั้งโล่ กระบอง แก๊สน้ำตา กระทั่งปืน โดยประชาชนพยายามขว้างอิฐ ขว้างหิน เข้าใส่แถวแนวของทหารพวกนั้นก้อนแล้ว ก้อนเล่า ... ถูกทุบเป็นก้อนย่อมๆก้อนแล้ว ก้อนเล่า ... ถูกขว้างสุดแรงเกิด…
Hit & Run
  อรพิณ ยิ่งยงพัฒนาดูเหมือนเรื่องน่าจะจบลงไปแล้ว กับความพยายามของ สนช.กว่า 60 คน ที่เข้าชื่อกันยื่นแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา (ป.อาญา) และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิอาญา) ในมาตราที่เกี่ยวข้องกับการทำผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ก่อนที่สุดท้าย สนช.จะตัดสินใจถอนการแก้ไขออกไปก่อนแม้เรื่องนี้มีนัยยะที่น่าสนใจหลายประเด็น แต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ กระแสความคิดที่เกิดขึ้น แม้ภายหลังการถอยและถอนการเสนอแก้กฎหมายแล้วก็ตามสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีจำนวน 242 คน โดย สนช. สามารถเข้าชื่อกันเพื่อเสนอหรือแก้ไขกฎหมายได้ ผ่านการเข้าชื่อเพียงจำนวนไม่น้อยกว่า 25 คน ยกเว้นกฎหมายที่เกี่ยวกับการเงิน…
Hit & Run
จิรนันท์ หาญธำรงวิทย์นอกจาก 24 มิถุนายน 2475 ซึ่งเป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตย และ (อดีต) วันชาติแล้ว วันสำคัญที่เงียบเหงารองลงมา (อีกวัน) ก็คงหนีไม่พ้น 6 ตุลาคม 2519 ที่รับรู้กันว่า เกิดเหตุการณ์สังหารหมู่นักศึกษา ประชาชน เพราะเข้าใจว่าเป็นคอมมิวนิสต์ สำหรับปีที่แล้ว วันนี้อาจคึกคัก เพราะถึงวาระตัวเลขกลมๆ 30 ปี ซ้ำยังเพิ่งผ่านพ้นรัฐประหาร 19 กันยายน มาหมาดๆ กระแสเรื่องการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยจึงยังมีอยู่ แต่พอปีนี้กระแสกลับไปเงียบเหงาเหมือนปีก่อนๆ วันที่ 6 ตุลาในปีนี้ กลายเป็นวันเสาร์ธรรมดาๆเมื่อถามถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา กับหลายๆ คน…
Hit & Run
ภาพันธ์ รักษ์ศรีทองเป็นข่าวคราวกันพักใหญ่ในรอบสัปดาห์จนผู้หลักผู้ใหญ่ต้องรีบออกมาเต้นเร่าร้อนกันทั่ว เมื่อคุณหนูสาวๆ มีแฟชั่นเทรนใหม่เป็นการนุ่งกระโปงสั้นจุ๊บจิมโดยไม่สวมใส่ ‘กุงเกงลิง’ ความนิยมนี้เล่นเอาหลายคนหน้าแดงผ่าวๆจนพากันอุทาน ต๊ายยย ตาย อกอีแป้นจะแตก อีหนูเอ๊ยย ทำกันไปได้อย่างไร ไม่อายผีสาง เทวดาฟ้าดินกันบ้างหรืออย่างไรจ๊ะ โอ๊ย..ย สังคมเป็นอะไรไปหมดแล้ว รับแต่วัฒนธรรมตะวันตกมาจนไม่ลืมหูลืมตา วัฒนธรรมไทยอันดีงามของไทยไปไหนโม๊ดดดดเรื่องนี้มองเล่นๆ เหมือนจะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่มันก็ไม่เล็ก จะว่าเป็นเรื่องใหญ่ก็ไม่ใหญ่ แต่ไปๆ มาๆ คล้ายกับว่ารอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ‘กุงเกงลิง’…