Skip to main content

อย่างที่รู้ๆ และแทบไม่อยากจะย้ำให้เจ็บช้ำหัวใจกันว่าเศรษฐกิจประเทศไทยได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์ (จากอเมริกา) ที่ส่งกระทบข้ามฟ้ามามาไกลถึงบ้านเรา ทำให้ผู้นำประเทศต้องออกโรงคิดหานโยบายมาแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน

 

บวกด้วยความที่นายกคนหนุ่มอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เห็นว่าคนจนเศรษฐกิจไม่ดี นายกต้องช่วยเหลือ และไม่มีอะไรดีไปกว่าการเพิ่มกำลังซื้อให้กับคน ที่เป็นการช่วยธุรกิจโดยไม่ต้องไปบิดเบือนกลไกตลาด แบบว่าเป็นการช่วยเศรษฐกิจชาติให้มีเงินหมุนเวียน

 

ดังนั้น โครงการใหม่ถอดด้าม “เช็คช่วยชาติ” จึงริเริ่มและดำเนินการอย่างรวดเร็ว เช็คจำนวน 9.6 ล้านใบ ที่คิดเป็นงบประมาณทั้งหมดกว่า 19 พันล้านบาท จากเงินช่วยเหลือ 2,000 บาทต่อคน (ในรูปเช็ค) จึงถูกกระจายให้แก่สมาชิกกองทุนประกันสังคมที่มีทั้งลูกจ้างโรงงาน ข้าราชการ และครู ที่เงินเดือนน้อยกว่า 15,000 บาท 9.6 ล้านคน

 

00000

 

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนี้ของรัฐบาลทำให้ช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ผู้คนกลุ่มต่างๆ คึกคักออกมาให้ความคิดเห็นทั้งหนุนค้าน โดยฝ่ายคัดค้านบางกลุ่มเห็นว่าแจกเงิน 2,000 บาท ไม่พอยาไส้ น้อยไปสำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจ และไม่มีประโยชน์มากนักกับจุดมุ่งหมายที่รัฐตั้งเอาไว้ ไปจนถึงความคิดที่ว่าให้เอาเงินไปทำอย่างอื่นดีกว่า

 

ส่วนกลุ่มลูกจ้างนอกระบบก็ออกมาบอกว่ารัฐอุดหนุนลูกจ้างในระบบประกันสังคม ไม่ดูแลแรงงานนอกระบบที่บางคนมีรายได้ต่ำ และไม่มีหลักประกันในชีวิตเลย

 

ในฐานะคนจนผู้มีรายได้น้อยแต่ทำงานในระบบ รู้สึกงงงวยอยู่ไม่น้อยที่รู้ว่าจะได้เงิน (ในรูปเช็ค) จากรัฐบาลแบบส่งตรงถึงมือ เพราะเกิดมายังไม่เคยพบเคยเจอ อย่างมากที่เห็นก็โครงการประชานิยมอย่างกองทุนหมู่บ้านที่ต้องเขียนโครงการขอเงินมาบริหารจัดการ หรือเข้าโรงพยาบาลจ่ายแค่ 30 บาท เพราะรัฐบาลเอาเงินไปหนุนให้โรงพยาบาล แค่นั้นก็หรูหราอู้ฟู่กันพอดูอยู่แล้ว

 

ก็คงต้องถือว่าเป็นการเปลี่ยนวิกฤติ (เศรษฐกิจ) ให้เป็นโอกาส ที่รัฐบาลจะได้คะแนนนิยม ส่วนเราได้เงินใช้ (แค่เดือนเดียว) แต่ปัญหาที่หนุบหนับในหัวอยู่ตอนนี้ คือเงิน 2,000 บาทจะใช้อย่างไรให้ช่วยชาติได้ ให้สมกับเป็นโครงการ “เช็คช่วยชาติ” ดี

00000

 

... จะเอาเงินไปกินเหล้า ให้เงินเข้ารัฐก็ถูกหาว่าจนไม่เจียม หรือจะหาเลขเด็ดเอาไปซื้อหวยสร้างมูลค่าเพิ่ม แต่เดือนที่แล้วเพิ่งถูกกินไปหลายพันเลยยังขยาดอยู่ จะเอาไปเลี้ยงฉลองร้านหรูก็ดูจะเกินงบ หรือเอาไปท่องเที่ยวค่าใช้จ่ายคงบานตะไทไปเกิน 2,000

 

... จะเอาไปลงกองทุนสังคมสงเคราะห์ก็ไม่ค่อยจะรู้จัก ไม่ไว้ใจ ไม่รู้เขาทำงานเพื่อสังคมหรืออมเงินเข้ากระเป๋าตัวเองกันไปเท่าไหร่

 

... หรือ จะให้ไปแลกเช็คกับบัตรกำนัล คูปองส่วนลด หรือแลกซื้อสินค้า สำหรับโปรโมชั่นของห้างร้านต่างๆ ก็ยังไม่คิดที่จะซื้ออะไรเป็นพิเศษ เพราะที่มีอยู่ก็ยังพอใช้สอบ แถมกลัวว่าถ้าเข้าห้างใหญ่ที่มีส่วนลดเยอะๆ ก็กลัวเงินช่วยเศรษฐกิจไทยจะไหลไปอยู่ในกระเป๋าต่างชาติเสียหมด

 

... ว่าจะเอาเงินไปออมสะสมไว้ ก็จะไม่ช่วยชาติ ไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะรัฐบาลออกมาตรการนี้มาด้วยความคาดหวังช่วยเพิ่มการจับจ่ายใช้สอยและกระตุ้นการบริโภคของประชาชน แถมอุตสาห์ออกเงินมาเป็นเช็คให้เอาไปใช้ ไม่อย่างนั้นคงให้ผ่านธนาคารมาแล้ว

เท่าที่จำได้ ท่านผู้รู้ในจอตู้หลายท่านบอกเอาไว้ว่า การที่วิกฤติเศรษฐกิจที่ผ่านมาไม่ได้กระทบกับเศรษฐกิจบ้านเรามากนัก เพราะคนไทยเรายึดถึงหลักเศรษฐกิจพอเพียงในการดำเนินชีวิต ในหลายปีมานี้เราได้ยึดหลักพอเพียง ประหยัด และรู้จักอดออม เพื่อให้เศรษฐกิจไทยดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในกระแสโลกาภิวัตน์

แต่วันนี้รัฐบาลให้เงินประชาชนมาจับจ่าย บอกเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อช่วยชาติ แล้วความพอเพียงที่เคยช่วยเศรษฐกิจไทยให้อยู่รอด วันนี้รัฐบาลเอาไปวางทิ้งไว้ที่ไหนกัน

00000

หลายคนอาจบอกว่าถ้าค้านมากนัก ไม่เห็นด้วยก็ไม่ต้องเอา หนึ่งคือ เราไม่ได้ค้านหากนี่เป็นนโยบายเพื่อประโยชน์ของประชาชนจริงๆ และรัฐบาลคิดมาดีมากพอแล้ว...

 

และนี่มันเงินนะครับพี่น้อง... แถมไม่ว่าจะเป็นเงินที่เอามาจากประกันสังคม เงินภาษี หรือเงินกู้ต่างชาติ มันก็เป็นเงินของเราและเป็นเงินที่เราทุกคนต้องร่วมรับภาระใช้หนี้ (ที่รัฐบาลกู้) ไม่รู้รัฐบาลชุดนี้จะอยู่กี่ปีแต่หนี้ที่ก่อจะอยู่กับเราไปชั่วหลานหากรัฐบาลบริหารไม่ได้ หาเงินไม่เป็น ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำแล้วก็ชิ่งหนีไป คนไทยมิแย่กันหมดเหรอ

 

เงิน 2,000 วันนี้มันมาจ่อรออยู่ตรงหน้าแล้ว รัฐบาลอนุมัติงบและมีคนได้รับเงินชุดแรกไปแล้ว คนที่ต่อแถวรออยู่ข้างหลังไม่ว่าจะชอบหน้านายกหรือไม่ จะเห็นด้วยหรือเปล่าเขาก็ต้องมีสิทธิที่จะได้รับ และเป็นเรื่องที่ต้องไปจัดการกับเงินจำนวนนี้กันต่อ

 

แม้ในส่วนหนึ่งจะรู้สึกเห็นใจกลุ่มแรงงานนอกระบบ ลูกจ้างชั่วคราว เกษตรกร คนหาเช้ากินค่ำ ฯลฯ กลุ่มที่ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์จากประกันสังคมและไม่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐตามนโยบายดังกล่าว แต่ก็เป็นหน้าที่ของรัฐอีกเช่นกันที่ต้องหามาตรการอื่นๆ มารองรับคนกลุ่มต่างๆ ในสังคมให้ทั่วถึงตามฐานะหน้าที่ที่เป็นรัฐบาล

00000

ไหนๆ ก็ไหนๆ สำหรับคนที่ได้รับเงินและยังไม่ถูกกลุ่มเจ้าหนี้ทั้งในและนอกระบบส่งแก๊งทวงหนี้ไปตามประกบเอาเงิน หรือยังไม่ได้ใช้เงินไปกับคูปองส่วนลดในห้างใหญ่ อยากให้ช่วยคิดกันต่อกันอีกสักนิด ว่าจะเอา 2,000 นี้ ไปใช้ทำอะไรช่วยชาติ ให้ “พอ” ตรงใจและตรงเป้ากัับนโยบายรัฐบาลได้บ้าง หรือจะให้กระจายรายได้สู่คนส่วนต่างๆ ในสังคม อย่างไรกันดี

 

ช่วยกันหาวิธีใช้เงินอย่างพอเพียง แทนรัฐบาล ดูกันหน่อยสิ...

 

 

 

 

 

ใครบ้างได้ เงิน 2,000 บาท (แจกเป็นเช็ค)

 

มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติให้ใช้งบกลางแจกจ่ายให้พนักงานราชการ ลูกจ้างราชการ ข้าราชการ (จำนวน 1.3 ล้านคน) และ ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ที่มีฐานรายได้ไม่เกิน 14,999บาท จะได้รับความช่วยเหลือครั้งเดียว คนละ 2,000 บาท เพื่อบรรเทาปัญหาการเลิกจ้างและวิกฤตเศรษฐกิจ

 

1. ประชาชนในระบบประกันสังคมจำนวน 8,138,815 คน

 

* ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ต้องมีสถานะเป็นผู้ประกันตนอยู่ ณ วันที่ 13 มกราคม 2552 และยังไม่สิ้นสภาพความเป็นผู้ประกันตน

 

* ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ผู้ที่ได้รับการอนุมัติให้เป็นผู้ประกันตนภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2551 (หน้าจอ Online แสดงผลวันที่เข้างาน ไม่เกินวันที่ 1 มกราคม 2552 ) และยังไม่สิ้นสภาพความเป็นผู้ประกันตน ณ วันที่ 13 มกราคม 255 การสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 ไม่ว่าจะมาสมัครวันที่เท่าไร ก็จะมีผลการอนุมัติในวันที่ 1 ของเดือนถัดไป

 

* ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ผู้ที่ได้รับการอนุมัติให้เป็น ผปต.และจ่ายเงินสมทบแล้ว (ตรวจสอบฐานข้อมูล ผปต.ณ วันที่ 13 มกราคม 2552 ไม่ว่าจะมาสมัครวันที่เท่าไร ก็จะมีผลการอนุมัติในวันที่ 1 ของเดือนถัดไปส่วนเงินสมทบ จะคิดคำนวณเงินสมทบตั้งแต่เดือนที่เป็นผู้ประกันตนจนถึงวันสิ้น

 

* ผู้ประกันตนตามมาตรา 38(2) คือลูกจ้างที่พ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 แล้วสำนักงานประกันสังคมจะคุ้มครองสิทธิ์ลูกจ้างต่ออีก 6 เดือน มาตรา 38 ความเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 สิ้นสุดลงเมื่อผู้ประกันตนนั่น ตาย และ สิ้นสภาพการเป็นลูกจ้าง ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2552 คณะรัฐมนตรีมีมติให้บุคคลตามมาตรา 38 ที่ถูกเลิกจ้าง หรือลาออกจากงาน ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2551 มีสิทธิได้รับ เช็คช่วยชาติด้วยเช่นกัน

 

หมายเหตุ

- ในกรณีที่ประชาชนแจ้งว่าได้ออกจากงานก่อนวันที่ 13 มกราคมและยังอยู่ระหว่างได้รับการคุ้มครอง 6 เดือนตามมาตรา 38 ได้ไปลงทะเบียนและทางเจ้าหน้าที่ไม่รับลงทะเบียนไปก่อนหน้านี้ ให้แจ้งประชาชนว่าให้ไปติดต่อประกันสังคมโดยตรงเพื่อขอลงทะเบียนใหม่อีก ครั้ง ซึ่งทางเจ้าหน้าที่อาจจะยังไม่ได้รับการประสานข้อมูลจากทางกระทรวงแรงงาน (ข้อมูลจากเลขาธิการ สปส.ผ่านรายการเรื่องเล่าเช้านี้ วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2552

 

2. บุคคลากรภาครัฐ จำนวน 1,324,973 คนประกอบด้วย

 * ข้าราชการพลเรือน

 * ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา

 * ข้าราชการตำรวจ

 * ลูกจ้างประจำ

 * ลูกจ้างชั่วคราว

 * ข้าราชการทหาร รวมทั้งทหารเกณฑ์ (ตามมติ ครม. วันที่ 17 มี.ค. 52)

 * ข้าราชการบำนาญ

 * เจ้าหน้าที่ของรัฐคือ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ อาสาสมัครทหารพราน สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน

 * พนักงานรัฐวิสาหกิจ (ตามมติ ครม. วันที่ 17 มี.ค. 52)

 * บุคลากรของหน่วยงานรูปแบบพิเศษ (องค์กรมหาชน) (ตามมติ ครม. วันที่ 17 มี.ค. 52)

 * บุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ตามมติ ครม. วันที่ 17 มี.ค. 52)

 * บุคลากรขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ (ตามมติ ครม. วันที่ 17 มี.ค. 52)

 

3. กลุ่มครู บุคลากรด้านการศึกษา และบุคลากรอื่นในโรงเรียนเอกชน 132,604 คน (ตามมติ ครม. วันที่ 17 มี.ค. 52) ได้แก่

 * ครูโรงเรียนเอกชนที่อยู่ในระบบกองทุนสงเคราะห์ที่มีสิทธิรับเงิน

 * ครูที่อยู่นอกระบบกองทุนสงเคราะห์ที่ต้องตรวจสอบสาเหตุที่อบู่นอกระบบกองทุนสงเคราะห์

 * กลุ่มบุคลากรอื่นในโรงเรียนเอกชน เช่น พนักงานขับรถยนต์ นักการภารโรง พี่เลี้ยงเด็ก ที่ต้องตรวจสอบว่าบางส่วนอาจจะควรอยู่ในระบบประกันสังคม แต่โรงเรียนไม่จัดเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม

 

4. กรณีที่คณะรัฐมนตรีมีมติเพิ่มเติมให้บุคคลใดเป็นผู้มีสิทธิรับเงิน กำหนดให้หน่วยงานที่บุคคล ดังกล่าวอยู่ในสังกัดดำเนินการเบิกจ่ายเงินตามหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายเงินด้วย

 

ข้อมูลจาก: http://www.pantip.com/cafe/silom/topic/B7671494/B7671494.html

 

 

บล็อกของ Hit & Run

Hit & Run
 หอกหักจูเนียร์  ขณะที่นั่งปั่นข้อเขียนชิ้นนี้ ยังมีสองเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้น และผมต้องอาศัยการแทงหวยคาดเดาเอาคือ1. การเลือกนายกรัฐมนตรี (จะมีในวันที่ 15 ธ.ค. 2551)2. การโฟนอินเข้ามายังรายการความจริงวันนี้ของคุณทักษิณ (จะมีในวันที่ 13 ธ.ค. 2551)เรื่องที่ผมจะพูดก็เกี่ยวเนื่องกับสองวันนั้นและเหตุการณ์หลังสองวันนั้น ผมขอเน้นประเด็น การจัดการ - การบริหาร "ความแค้น" ของสองขั้ว I ขอแทงหวยข้อแรกคือ ในวันที่ 15 ธ.ค. 2551 หากว่า คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะถูกโหวตให้เป็นนายก และพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล (ขออภัยถ้าแทงหวยผิด แต่ถ้าแทงผิด…
Hit & Run
ผู้สื่อข่าวเฉพาะกิจ  หลังการประกาศชัยชนะของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหลังการยุบพรรค แล้วล่าถอยในวันที่ 3 ธ.ค. พอตกค่ำวันที่ 3 ธ.ค. เราจึงกลับมาเห็นบรรยากาศที่ไม่ค่อยคุ้นเคย แทนที่สนธิ ลิ้มทองกุล และแกนนำพันธมิตรฯ จะปราศรัยบนเวที หรือหลังรถปราศรัย ก็กลายเป็นเสวนา และวิเคราะห์การเมืองกันในห้องส่งของสถานีโทรทัศน์ ASTV อย่างไรก็ตาม สนธิ ลิ้มทองกุล ก็พยายามรักษากระแสและแรงสนับสนุนพันธมิตรฯ หลังยุติการชุมนุมเอาไว้ โดยเขาเผยว่าจะจำลองบรรยากาศการชุมนุมพันธมิตรตลอด 6 เดือนที่ผ่านมาไว้ในห้องส่ง เพื่อแฟนๆ ASTV โดยเขากล่าวเมื่อ 3 ธ.ค. [1] ว่า “พี่น้องครับ…
Hit & Run
พิชญ์ รัฐแฉล้ม            นานมากแล้วที่ “ประเทศของเรา” ประสบกับสภาพความมั่นคงและเสถียรภาพที่แหว่งวิ่นเต็มทน และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าความหวังในความสำเร็จของการจัดการกับปัญหายิ่งเลือนรางไปทุกที ทุกเรื่อง ทุกราว กำลังถาโถมเข้ามาจากทุกสารทิศเพื่อมารวมศูนย์ ณ เมืองหลวงมิคสัญญีแห่งนี้ จนกระแสข่าวรายวันจากปักษ์ใต้ อีสาน...แผ่วและเบาเหมือนลมต้นฤดูหนาว   สื่อต่างๆ ทั้งไทย-ต่างประเทศ ประโคมข่าวจากเมืองหลวงกระจายสู่ทุกอณูเนื้อโลก ช่างน่าตกใจ! ภาพแห่ง “ความรุนแรง” ของฝูงชนขาดสติและไม่เหลือแม้สายใยในความเป็นมนุษย์ร่วมกัน ถูกกระจายออกไป…
Hit & Run
  ธวัชชัย ชำนาญ ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นห้วงเวลาที่คนไทยทั่วทุกสารทิศ เดินทางเข้ามาร่วมเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ "พิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ" ความยิ่งใหญ่อลังการที่ทุกคนคงรู้ดีที่ไม่จำเป็นต้องสาธยายเยอะ  แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ ความสงบเงียบของบ้านเมืองที่ดูเหมือนมีพลังอำนาจอะไรบางอย่างมากดทับกลิ่นอายของสังคมไทยที่เคยเป็นอยู่กลิ่นอายที่ว่านั้น..เป็นกลิ่นอายของความขัดแย้ง ความเกลียดชังของคนในสังคมที่ถูกกดทับมาตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา…
Hit & Run
 ภาพจากเว็บบอร์ด pantipจันทร์ ในบ่อ เชื่อว่าหลายคนคงได้ชมรายการตีสิบเมื่อสัปดาห์ก่อน โดยเชิญ ‘คุณต้น' อดีตนักร้องวง ‘ทิค แทค โท' บอยแบนด์ไทยสไตล์ญี่ปุ่นรุ่นแรกๆ ที่โด่งดังราวสิบปีก่อนมาออกรายการ เพื่อเป็นอุทธาหรณ์แก่สังคมเรื่องผลเสียจากการใช้ยาเสพติดคุณต้นสูญเสียความทรงจำและมีอาการทางสมองชนิดที่เรียกว่า ‘จิตเภท' จากการใช้ยาเสพติดโดยเฉพาะยาบ้าและยานอนหลับชนิดรุนแรง จนหลายปีมานี้เขาได้หายหน้าหายตาไปจากวงการบันเทิงและจดจำใครไม่ได้เลย คุณแม่เคยสัญญากับคุณต้นไว้ว่า หากอาการดีขึ้นจะพามาออกรายการตีสิบอีกครั้งเพื่อทบทวนเรื่องราวในอดีต เพราะคุณต้นและเพื่อนๆ…
Hit & Run
  คนอเมริกันและลามถึงคนทั่วโลกด้วยกระมัง ที่เหมือนตื่นจากความหลับใหล พบแดดอ่อนยามรุ่งอรุณ เมื่อได้ประธานาธิบดีใหม่ที่ชนะถล่มทลาย คนหนุ่มไฟแรง ผิวสี เอียงซ้ายนิดๆ ผู้มาพร้อมสโลแกน "เปลี่ยน เปลี่ยน เปลี่ยน และเปลี่ยน" แม้ผู้คนยังไม่อาจแน่ใจได้ว่าจะเปลี่ยนได้ไหม เปลี่ยนไปสู่อะไร (เพราะอเมริกาไม่มีหมอลักษณ์ฟันธง หมอกฤษณ์คอนเฟิร์ม) แต่ขอแค่โลกนี้มีหวังใหม่ๆ ความเปลี่ยนแปลงสนุกๆ ก็ทำให้ชีวิตกระชุ่มกระชวย ท้องฟ้าสดใสกว่าที่เคยเป็นได้ง่ายๆ   มองไปที่อื่นฟ้าใส แต่ทำไมฝนมาตกที่ประเทศไทยไม่เลิก บ้านนี้เมืองนี้ ผู้คนพากันนอนไม่หลับ ฟ้าหม่น ฝนตก หดหู่มายาวนาน นานกว่าเมืองหนึ่งใน ‘100…
Hit & Run
    ช่วงนี้มีแต่เรื่องวุ่นวาย ส่วนตัวความจริงแล้วไม่อยากยุ่งเพราะเป็นคนรักสงบและถึงรบก็ขลาด แต่ไม่ยุ่งคงไม่ได้เพราะมันใกล้ตัวขึ้นทุกที ระเบิดมันตูมตามก็ถี่ขึ้นทุกวัน จนไม่รู้ใครเป็นตัวโกง ใครเป็นพระเอก เลยขอพาหันหน้าหาวัดพูดเรื่องธรรมะธรรมโมบ้างดีกว่า แต่ไม่รับประกันว่าพูดแล้วจะเย็นลงหรือตัวจะร้อนรุมๆ ขัดใจกันยิ่งกว่าเดิม ยังไงก็คิดเสียว่าอ่านขำๆ พอฆ่าเวลาปลายสัปดาห์ก็แล้วกัน.....
Hit & Run
< จิรนันท์ หาญธำรงวิทย์ >หลังจากอ่าน บทสัมภาษณ์ของซูโม่ตู้ หรือจรัสพงษ์ สุรัสวดี ในเว็บไซต์ผู้จัดการรายสัปดาห์ออนไลน์ แล้วพบว่าสิ่งหนึ่งที่ควรชื่นชมคือ ความตรงไปตรงมาของจรัสพงษ์ที่กล้ายอมรับว่าตนเองนั้นรังเกียจคนกุลีรากหญ้า ที่ไร้การศึกษา โง่กว่าลิงบาบูน รวมไปถึง “เจ๊ก” และ “เสี่ยว” ที่มาทำให้ราชอาณาจักรไทยของเขาเสียหาย เป็นความตรงไปตรงมาของอภิสิทธิ์ชนที่ปากตรงกับใจ ไม่ต้องอ้อมค้อมให้เสียเวลา ที่คงไม่ได้ยินจากปากนักวิชาการ หรือนักเคลื่อนไหวคนไหน (ที่คิดแบบนี้) (เดี๋ยวหาว่าเหมารวม)
Hit & Run
  ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านไป ความวุ่นวายในเมืองหลวงเริ่มคลีคลาย แต่ความสับสนและกลิ่นอายของแรงกดดันยังบางอย่างภายใต้สถานการณ์บ้านเมืองยังคงคลุกรุ่นอยู่ไม่หาย... ไม่รู้ว่าน่าเสียใจหรือดีใจที่ภารกิจบางอย่างทำให้ต้องเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ ก่อนหน้าเหตุการณ์อันน่าเศร้าที่เรียกกันว่า "7 ตุลาทมิฬ" เพียงข้ามคืน สิ่งที่เกิดขึ้นในความทรงจำจึงเป็นเพียงอีกเรื่องราวของหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ถึงขณะนี้ยังไม่รู้ถึงข้อมูลที่แน่ชัดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ความสูญเสียเกิดจากอะไร เพราะใครสั่งการ ใครจะเป็นคนรับผิดชอบต่อการสูญเสียที่เกิดขึ้น อย่างไร ฯลฯ คำถามมากมายที่ยังรอคำตอบ   …
Hit & Run
   (ที่มาภาพ: http://thaithai.exteen.com/images/photo/thaithai-2550-11-4-chess.jpg)หลังจากการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ความขัดแย้งทางชนชั้น การปะทะกันระหว่าง "ความเชื่อในคุณธรรม vs ความเชื่อในประชาธิปไตย" เริ่มปรากฏตัวชัดขึ้นเรื่อยๆ และได้ก่อให้เกิดความรุนแรงจากมวลชนทั้งสองกลุ่มฝั่งคุณธรรม อาจเชื่อว่า หากคนคิดดี ทำดี ปฏิบัติดีแล้ว เราจะอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข และปัญหาใหญ่ที่สุดของสังคมในขณะนี้คือ จริยธรรมของคนที่ข้องเกี่ยวกับการเมือง ดั้งนั้น จึงพยายามกดดันให้นักการเมืองเข้ากรอบระเบียบแห่งจริยธรรมที่ตนเองคิด หรือไม่ก็ไม่ให้มีนักการเมืองไปเลยฝั่งประชาธิปไตย อาจเชื่อว่า…
Hit & Run
Ko We Kyawเมื่อวันเสาร์ สัปดาห์ก่อน มีการจัดงาน ‘Saffron Revolution, A Year Later' ที่จัดโดยคณะผลิตสื่อเบอร์ม่า (Burma Media Production) หอศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อรำลึกถึง 1 ปี แห่งการปฏิวัติชายจีวร นอกจากการเสวนาและการกิจกรรมเพื่อเป็นการรำลึกแล้ว ภาคบันเทิงในงานก็มีความน่าสนใจเพราะมีการแสดงจากคณะตีเลตี (Thee Lay Thee) ที่มีชื่อเสียงจากพม่าการแสดงในวันดังกล่าว เป็นการแสดงในเชียงใหม่เป็นครั้งที่ 3 ในรอบปี 2551 หลังจากเคยจัดการแสดงมาแล้วในเดือนมกราคม และการแสดงการกุศลเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยนาร์กิส เมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาในพม่า…
Hit & Run
  ขุนพลน้อย       "ผมรู้สึกภูมิใจยิ่งที่สามารถคว้าเหรียญทอง สร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทย แต่ก็แอบน้อยใจบ้างที่เงินอัดฉีดของพวกเราจากรัฐบาลน้อยกว่าคนปกติ นี่ถ้าได้สักครึ่งหนึ่งของพวกเขาก็คงดี"น้ำเสียงของ ‘ประวัติ วะโฮรัมย์' เหรียญทองหนึ่งเดียวของไทย ในกีฬา ‘พาราลิมปิกเกมส์ 2008' หลังเดินทางกลับถึงประเทศไทยในช่วงดึกวันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน 2551 เป็นไปอย่างมุ่งมั่นระคนทดท้อการต้อนรับนักกีฬาในหมู่คนใกล้ชิดและในวงการมีขึ้นอย่างอบอุ่น แต่ความไม่เท่าเทียมกันเมื่อเปรียบเทียบกับนักกีฬาที่ได้รางวันใน ‘โอลิมปิก' คงเป็นภาพที่สะท้อนมองเห็นสังคมแบบบ้านเราได้ชัดเจนขึ้น…