Skip to main content
 

cm 

พงษ์พันธุ์ ชุ่มใจ

ใครที่ไม่ได้มาเชียงใหม่หลายปี หากมาเยือนปีนี้ คงผิดหูผิดตาเลยทีเดียว

ไม่ใช่แค่งานพืชสวนโลก ไม่ใช่แค่ ช่วง ช่วง' หรือ หลิน ฮุ่ย' ไม่ใช่แค่ร้าน ไอเบอรี่' ของโน้ต อุดม ที่ทำให้หน้าตา' เมืองเชียงใหม่เปลี่ยนไป

หากแต่ยังมีเจ้าสิ่งก่อสร้างขนาดยักษ์ ที่ชื่อว่า ทางลอด' ผุดขึ้นทุกมุมเมือง ซึ่งเบื้องหลังของมัน ยังมีเรื่องราวอันยาวนานของการพัฒนา เมือง' อีกด้วย!

หลายปีมานี้ ยวดยานใน จ.เชียงใหม่ ต้องประสบกับความทุลักทุเลในการข้ามสี่แยก เนื่องจากมีโครงการก่อสร้างทางลอดแยก ผุดขึ้นบนถนนสายหลักของเมืองเชียงใหม่ เช่น การก่อสร้างทางลอด 7 แห่ง บนถนนสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี หรือถนนวงแหวนรอบกลาง ซึ่งเพิ่งแล้วเสร็จในเดือนตุลาคม 2548 และทางลอดแยก บริเวณสี่แยกสันกำแพงสายเก่า (สี่แยกปอยหลวง) สี่แยกศาลเด็ก และสี่แยกข่วงสิงห์ บนถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ ซึ่งใช้เวลาก่อสร้างอย่างยาวนานหลายรัฐบาลนับตั้งแต่ปี 2546 และเพิ่งแล้วเสร็จ เปิดให้คนเชียงใหม่ใช้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา

โดยทางลอดบริเวณสี่แยกสันกำแพงสายเก่า หรือสี่แยกปอยหลวง สร้างโดยบริษัทเชียงใหม่คอนสตรัคชั่น วงเงินก่อสร้าง 379 ล้านบาท ซึ่งเริ่มสัญญาเมื่อ 3 พฤศจิกายน 2548 และสร้างเสร็จก่อนสิ้นสุดสัญญาในวันที่ 25 มิถุนายน 2550

ส่วนทางลอดบริเวณสี่แยกศาลเด็ก และสี่แยกข่วงสิงห์ ก่อสร้างโดย หจก.จิระเทพ โดยสี่แยกศาลเด็กประมูลได้ 268.8 ล้านบาท จากราคากลาง 347.6 ล้านบาท และสี่แยกข่วงสิงห์ ประมูลได้ในวงเงิน 243 ล้านบาท จากราคากลาง 310 ล้านบาท

ซึ่งสัญญาก่อสร้างทางลอดทั้งสองเริ่มวันที่ 26 กันยายน 2546 กำหนดสิ้นสุดวันที่ 19 พฤษภาคม 2549 แต่ หจก.จิระเทพ ต้องหยุดพักการก่อสร้างเป็นช่วงๆ ช่วงละหลายเดือนตั้งแต่กลางปี 2548 ให้เหตุผลว่า ต้นทุนค่าวัสดุเพิ่มขึ้นมากจากวันยื่นประมูล และขาดเงินทุน หมุนเวียนเนื่องจากสถาบันการเงินที่สนับสนุนคือธนาคารกรุงไทย ไม่ปล่อยกู้เพิ่ม

กรมทางหลวงให้ต่อสัญญาใหม่ถึง 2 ครั้ง และให้ก่อสร้างได้จนถึง 10 เมษายน 2550 แต่ผู้รับเหมาก็ทิ้งงาน เก็บอุปกรณ์ก่อสร้างไปตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2550 ทำให้ศูนย์ก่อสร้างและบูรณะสะพานที่ 2 ขอนแก่น และศูนย์ก่อสร้างและบูรณะสะพานที่ 1 พิจิตร เข้ามาดำเนินการแทน

โดยนายทรงศักดิ์ แพเจริญ อธิบดีกรมทางหลวง เคยระบุว่าผู้รับเหมาต้องเสียค่าปรับ 50 ล้านบาท ขณะนี้ชำระค่าปรับแล้ว 8 ล้านบาท และกรมทางหลวงจะฟ้องร้องผู้รับเหมารายนี้เพื่อเรียกคืนเงินค่าส่วนต่างที่กรมทางหลวงต้องใช้เพื่อให้การก่อสร้างแล้วเสร็จ ค่าเสียหายที่เกิดจากการทิ้งงานด้วย และตัดออกจากบัญชีผู้รับเหมางานภาครัฐ

โดยทางลอดบริเวณสี่แยกข่วงสิงห์ก็แล้วเสร็จจนได้ในเดือนพฤศจิกายน และล่าสุดทางลอดบริเวณสี่แยกศาลเด็กก็แล้วเสร็จให้รถวิ่งลอด เมื่อวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา

 

000 

อันที่จริงเจ้าสิ่งก่อสร้างขนาดยักษ์ ที่ชื่อว่า ทางลอด' อาจไม่มีทางเกิดขึ้นเลยในเมืองเชียงใหม่

หากในปี 2543 ไม่มีการถกเถียงกันว่า เห็นด้วย' หรือ ไม่เห็นด้วย' กับโครงการก่อสร้างสะพานลอยข้ามจุดตัดและทางแยกสี่แยก ถ.มหิดล ใกล้สนามบินเชียงใหม่ อันเป็นถนนวงแหวนรอบเมืองสายสำคัญ

ในครั้งนั้น กรมทางหลวงทำการศึกษาพบว่า เส้นทางสาย 108 หางดง - เชียงใหม่ มีปริมาณการจราจรสูงถึง 45,232 คัน/วัน ขณะที่ถนนมหิดลซึ่งตัดผ่านกันมีปริมาณราว 25,597 คัน/วัน กรมทางหลวงจึงออกโครงการก่อสร้างสะพานลอยข้ามจุดตัดและทางแยกดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่าเพื่อแก้ปัญหาการจราจรแออัด คับคั่งและป้องกันปัญหาอุบัติเหตุบริเวณทางแยกของทางหลวงหมายเลข 108 ตัดกับถนนมหิดล รวมทั้งทางเชื่อมเข้าสู่สนามบินเชียงใหม่

โดยเริ่มเซ็นสัญญาโครงการเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2543 ด้วยงบประมาณ 236 ล้านบาท และเริ่มดำเนินการก่อสร้างเมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2543 ตามกำหนดจะต้องแล้วเสร็จวันที่ 8 ธ.ค. 2544

แต่อย่างที่กล่าวเอาไว้โครงการนี้มีทั้งเสียง เห็นด้วย' และ ไม่เห็นด้วย'

ฝ่ายเห็นด้วยกับการก่อสร้างทางข้ามแยกแบบ ยกระดับ' ให้เหตุผลว่าเพื่อให้เมืองเชียงใหม่ขยายตัว แก้ปัญหาจราจรติดขัด เศรษฐกิจเจริญก้าวหน้า

ฝ่ายค้าน ซึ่งอันที่จริงก็ไม่ถึงกับค้านการก่อสร้าง พวกเขาเสนอเหตุผล ของการไม่สร้างทางยกระดับ 11 ข้อ เช่น จะบดบังทัศนียภาพของเมืองเชียงใหม่ ไม่สามารถแก้ปัญหาการจราจรได้จริง ฯลฯ ทั้งยังเสนอให้มีการปรับแผนก่อสร้างใหม่ จาก โครงการทางยกระดับ มาเป็น โครงการทางลดระดับ หรือเป็นโครงการอุโมงค์ใต้ดินทั้งหมด ตามโครงการเดิมก่อนที่จะประสบปัญหาเรื่องวิกฤติเศรษฐกิจกระทั่งทำให้งบประมาณถูกตัดทอน

แต่ที่สุดแล้ว ทิศทางการพัฒนาเมืองเชียงใหม่ในครั้งนั้น ก็เป็นไปตามฝ่ายเห็นด้วยกับการสร้างทางยกระดับ ด้วยถือคติที่ว่าอะไรที่คว้ามาไว้เชียงใหม่ได้ ขอให้คว้าไว้ก่อน ผิด ถูก ผลกระทบว่ากันทีหลัง [1]

อย่างไรก็ดี แม้ว่าทางยกระดับหน้าสนามบินเชียงใหม่ และอีก 2 แห่งในถนนมหิดล คือทางยกระดับสี่แยกหนองหอย ตัดกับ ถ.เชียงใหม่-ลำพูน และ ทางยกระดับข้ามทางรถไฟ จะเกิดขึ้นจนได้ และเมื่อเวลาผ่านไปไม่นานก็พบว่าทางยกระดับข้ามสี่แยกสนามบิน ไม่ได้ช่วยบรรเทาการจราจรมากอย่างที่คิด แถมยังทำให้เสียทัศนียภาพของเมืองไปอีก

 

แต่หลังจากเสียงค้านเล็กๆ ที่สี่แยกสนามบินดังขึ้น ก็ทำให้ต่อมา กรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท ต่างปรับแบบการก่อสร้างจุดตัดทางแยกสำคัญในเขตเมืองเชียงใหม่ ให้กลายเป็นทางลดระดับหรือทางลอดทั้งหมด อย่างที่เห็นในปัจจุบัน

000

 

ในแง่หนึ่งทางลอดข้ามแยก คือผลผลิตจากการถกเถียงขอพลเมืองในเมือง เป็นความสำเร็จระดับหนึ่งของพลเมืองเชียงใหม่ อย่างน้อยก็ทำให้ทิศทางการพัฒนาเมืองพอจะอยู่ในการควบคุมของประชาชนได้บ้าง แต่นี่ก็มิใช่ชัยชนะสมบูรณ์ เมื่อข้าม ทางลอด' นี้ไปแล้ว ใช่ว่าจะถึงจุดหมาย ทิศทางการพัฒนาเมืองเชียงใหม่อย่าง ยั่งยืน' ยังต้องเดินทางอีกยาวไกล

แม้ว่าทางลอดข้ามแยก จะไม่บดบังทัศนียภาพของเมืองเชียงใหม่ แม้ว่าทางลอดข้ามแยกทำให้การจราจรคล่องตัวขึ้น แต่ที่สุดแล้วการแก้ปัญหาจราจรของเชียงใหม่ก็ยังไม่ตรงจุด ต้องไม่ลืมว่ายิ่งขยายถนน ก็ยิ่งสร้างแรงจูงใจให้คนหันมาใช้รถยนต์มากขึ้น ยิ่งถนนกว้างขึ้น ติดไฟแดงน้อยครั้งลง รถยนต์ รถคันใหญ่ ก็ยิ่งเป็นเจ้าถนน เบียดขับให้มอเตอร์ไซต์ พาหนะคนยากนับล้านคันในเชียงใหม่ ตกอยู่ในอันตรายมากขึ้น

ซึ่งทิศทางการแก้ปัญหาจราจรด้วยการขยายถนน สร้างทางข้ามแยกนี้ ยังเป็นวิธีแก้ปัญหาการจราจรไม่ถูกจุด ไม่ผิดกับประสบการณ์ของกรุงเทพมหานครในปลายทศวรรษที่ 2520 ที่เลือกสร้าง ทางด่วน' ทั้งขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 จนเพิ่งจะมารู้ตัวเมื่อไม่นานมานี้ ว่าการแก้ปัญหาการจราจรหัวใจอยู่ที่ระบบขนส่งมวลชน แต่บัดนี้ กรุงเทพฯ มีถนนและทางด่วนเป็นระยะทางรวมกัน 4,000 กว่ากิโลเมตร ขณะที่มีรางสำหรับรถไฟฟ้า เพื่อขนส่งมวลชนทั้งใต้ดินและลอยฟ้ามีเพียง 65 กิโลเมตร [2]

ชะตากรรมของเชียงใหม่เอง ก็กำลังเดินตามกรุงเทพฯ เผลอๆ จะยิ่งหลงทางกว่าด้วยซ้ำ

เพราะทุกวันนี้ เชียงใหม่เป็นเมืองใหญ่ติดอันดับของประเทศก็จริง แต่ล้มเหลวด้านการจัดระบบขนส่งมวลชน ปี พ.ศ.2538 ‘รถเมล์เหลือง' ที่วิ่งประจำทางในตัวเมืองเชียงใหม่ขาดทุนเลิกกิจการ ปล่อยให้ สี่ล้อแดง' ผูกขาดวิ่งรับ-ส่งผู้โดยสารในเมือง ไม่มีการจัดเส้นทางการเดินรถแน่นอน ผู้โดยสารกับคนขับต้องต่อรองราคากันเอง และหากเป็นเส้นทางที่ไม่มีผู้โดยสารอื่นร่วมทางมากนัก คนขับก็มักเรียกร้องราคาเกินกว่า 15 บาท ที่ขนส่งจังหวัดกำหนด

ล่าสุด ในปี 2548 มี รถเมล์ขาว' รถปรับอากาศของเทศบาลนครเชียงใหม่ แต่ก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ขาดแคลนระบบขนส่งมวลชนในเมืองเชียงใหม่ดีขึ้น เพราะรถเมล์ขาววิ่งในเส้นทางอ้อม วน และการปล่อยรถชั่วโมงละคัน-สองคัน หลังสองทุ่มรถเมล์หยุดเดิน ทำให้เชียงใหม่อยู่ในสภาพ มี เหมือน ไม่มีรถเมล์'!

ทางออกสำหรับคนเชียงใหม่ ใครที่พอมีปัญญาผ่อนรถก็ผ่อนทั้งรถยนต์ รถกระบะ มือหนึ่ง มือสอง แล้วแต่ทุนทรัพย์ ทำให้เมืองนี้มีรถจักรยานยนต์จดทะเบียนกว่า 1 ล้านคัน ใครที่ไม่มีปัญญาผ่อนส่งก็ต้องทนต่อรองรถแดงเอาเอง

เท่ากับรัฐบาลสร้างถนนให้ทุกคนแล้ว แต่ที่เหลือคือ ราคา' ที่ทุกคนต้องจ่ายเอาเอง ทุกคนต้องลงไปขับขี่บนท้องถนนเอง ทุกคนต้องแบกรับความปลอดภัยในการเดินทางกันเอาเอง ทุกคนต้องแบกรับต้นทุนดูแลรักษายานพาหนะ น้ำมันเชื้อเพลิงกันเอาเอง และทุกคนต้องดูแลชีวิตกันเอาเอง

000

มี ทางลอด' ให้คนเชียงใหม่ลอดกันแล้ว แต่ยังไม่เจอ ทางรอด' เรื่องปัญหาจราจรสักที เพราะเมืองนี้ยังแก้ปัญหาจราจรแบบเกาไม่ถูกที่คัน

เมื่อ 7 ปีก่อน อาจารย์ดวงจันทร์ อาภาวัชรุตม์ นักวิจัยสถาบันพัฒนาสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และคณะทำงาน ศูนย์ศึกษาปัญหาเมืองเชียงใหม่' (ปัจจุบันคือมูลนิธิสถาบันพัฒนาเมือง) เคยเสนอความเห็นไว้ในเวทีสาธารณะ "ทางยกระดับในเมืองเชียงใหม่" ซึ่งจัดที่ศูนย์สตรีศึกษา เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2543 ว่า

ปัจจุบันการแก้ไขปัญหาการจราจรเมืองเชียงใหม่มองแค่ความต้องการของผู้ใช้รถ แต่ไม่ได้มองว่าถนนในเมืองเชียงใหม่ไม่สามารถเพิ่มได้อีก เพราะจะทำลายสภาพความเป็นเมืองเก่าแก่ทางประวัติศาสตร์ ที่มีอายุถึง 700 ปี ซึ่งเป็นปัจจัยที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว ที่ไม่ได้หวังมาดูสิ่งก่อสร้างที่ทันสมัย แต่มาดูความเป็นเมืองล้านนา ทางที่ดีทางการควรจะมีการพิจารณาทบทวนการแก้ปัญหาจราจรในรูปแบบเดิม  และหันมาส่งเสริมให้มีการสร้างระบบขนส่งมวลชนที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น [3]

อาจารย์ดวงจันทร์พูดไว้ 7 ปี เอามาพูดอีกทีตอนนี้ก็ยังอินเทรนด์!

แล้วเมื่อไหร่เชียงใหม่จะมีระบบขนส่งมวลชนดีๆ บ้างล่ะ จะต้องขี่รถเครื่อง'/‘ขับรถยนต์' ลอดอุโมงค์เช้า-เย็น ไปอีกนานสักเท่าไหร่กัน ^_^

 

เล่าสู่กันฟังเพิ่มเติม

[1] โศกนาฏกรรม ผิด, ถูก, ขอคว้าไว้ก่อน' นี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับเมืองเชียงใหม่ เหมือนกับ การ คว้า' โครงการเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี และโครงการพืชสวนโลก ไว้ก่อน ซึ่งเมื่อ 2 เมกะโปรเจคนี้เกิดขึ้น ก็สร้างผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมไว้ให้กับคนเชียงใหม่สารพัด ส่วนผลประโยชน์ กำไร ที่จะตกแก่ปากท้องคนเชียงใหม่ ก็เป็นเพียงเศษเนื้อ หาได้มากมายอย่างที่ผู้สร้างโฆษณาเอาไว้

[2] อ่านบทความที่สะท้อนความล้มเหลวของการแก้ปัญหาการจราจรที่:

น้ำมันแพง ทางด่วน และระเบิดเวลา, โดย วันชัย ตัน http://www.onopen.com/2006/01/573 ตีพิมพ์ครั้งแรก: หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 14 พฤษภาคม 2549

[3] วุฒิต้านเส้นก๋วยเตี๋ยวเชียงใหม่, ไทยโพสต์ 10 กันยายน 2543 http://www.thaipost.net/index.asp?bk=sunday&post_date=10/Sep/2543&news_id=19248&cat_id=110100

บล็อกของ Hit & Run

Hit & Run
 หอกหักจูเนียร์  ขณะที่นั่งปั่นข้อเขียนชิ้นนี้ ยังมีสองเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้น และผมต้องอาศัยการแทงหวยคาดเดาเอาคือ1. การเลือกนายกรัฐมนตรี (จะมีในวันที่ 15 ธ.ค. 2551)2. การโฟนอินเข้ามายังรายการความจริงวันนี้ของคุณทักษิณ (จะมีในวันที่ 13 ธ.ค. 2551)เรื่องที่ผมจะพูดก็เกี่ยวเนื่องกับสองวันนั้นและเหตุการณ์หลังสองวันนั้น ผมขอเน้นประเด็น การจัดการ - การบริหาร "ความแค้น" ของสองขั้ว I ขอแทงหวยข้อแรกคือ ในวันที่ 15 ธ.ค. 2551 หากว่า คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะถูกโหวตให้เป็นนายก และพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล (ขออภัยถ้าแทงหวยผิด แต่ถ้าแทงผิด…
Hit & Run
ผู้สื่อข่าวเฉพาะกิจ  หลังการประกาศชัยชนะของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหลังการยุบพรรค แล้วล่าถอยในวันที่ 3 ธ.ค. พอตกค่ำวันที่ 3 ธ.ค. เราจึงกลับมาเห็นบรรยากาศที่ไม่ค่อยคุ้นเคย แทนที่สนธิ ลิ้มทองกุล และแกนนำพันธมิตรฯ จะปราศรัยบนเวที หรือหลังรถปราศรัย ก็กลายเป็นเสวนา และวิเคราะห์การเมืองกันในห้องส่งของสถานีโทรทัศน์ ASTV อย่างไรก็ตาม สนธิ ลิ้มทองกุล ก็พยายามรักษากระแสและแรงสนับสนุนพันธมิตรฯ หลังยุติการชุมนุมเอาไว้ โดยเขาเผยว่าจะจำลองบรรยากาศการชุมนุมพันธมิตรตลอด 6 เดือนที่ผ่านมาไว้ในห้องส่ง เพื่อแฟนๆ ASTV โดยเขากล่าวเมื่อ 3 ธ.ค. [1] ว่า “พี่น้องครับ…
Hit & Run
พิชญ์ รัฐแฉล้ม            นานมากแล้วที่ “ประเทศของเรา” ประสบกับสภาพความมั่นคงและเสถียรภาพที่แหว่งวิ่นเต็มทน และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าความหวังในความสำเร็จของการจัดการกับปัญหายิ่งเลือนรางไปทุกที ทุกเรื่อง ทุกราว กำลังถาโถมเข้ามาจากทุกสารทิศเพื่อมารวมศูนย์ ณ เมืองหลวงมิคสัญญีแห่งนี้ จนกระแสข่าวรายวันจากปักษ์ใต้ อีสาน...แผ่วและเบาเหมือนลมต้นฤดูหนาว   สื่อต่างๆ ทั้งไทย-ต่างประเทศ ประโคมข่าวจากเมืองหลวงกระจายสู่ทุกอณูเนื้อโลก ช่างน่าตกใจ! ภาพแห่ง “ความรุนแรง” ของฝูงชนขาดสติและไม่เหลือแม้สายใยในความเป็นมนุษย์ร่วมกัน ถูกกระจายออกไป…
Hit & Run
  ธวัชชัย ชำนาญ ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นห้วงเวลาที่คนไทยทั่วทุกสารทิศ เดินทางเข้ามาร่วมเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ "พิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ" ความยิ่งใหญ่อลังการที่ทุกคนคงรู้ดีที่ไม่จำเป็นต้องสาธยายเยอะ  แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ ความสงบเงียบของบ้านเมืองที่ดูเหมือนมีพลังอำนาจอะไรบางอย่างมากดทับกลิ่นอายของสังคมไทยที่เคยเป็นอยู่กลิ่นอายที่ว่านั้น..เป็นกลิ่นอายของความขัดแย้ง ความเกลียดชังของคนในสังคมที่ถูกกดทับมาตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา…
Hit & Run
 ภาพจากเว็บบอร์ด pantipจันทร์ ในบ่อ เชื่อว่าหลายคนคงได้ชมรายการตีสิบเมื่อสัปดาห์ก่อน โดยเชิญ ‘คุณต้น' อดีตนักร้องวง ‘ทิค แทค โท' บอยแบนด์ไทยสไตล์ญี่ปุ่นรุ่นแรกๆ ที่โด่งดังราวสิบปีก่อนมาออกรายการ เพื่อเป็นอุทธาหรณ์แก่สังคมเรื่องผลเสียจากการใช้ยาเสพติดคุณต้นสูญเสียความทรงจำและมีอาการทางสมองชนิดที่เรียกว่า ‘จิตเภท' จากการใช้ยาเสพติดโดยเฉพาะยาบ้าและยานอนหลับชนิดรุนแรง จนหลายปีมานี้เขาได้หายหน้าหายตาไปจากวงการบันเทิงและจดจำใครไม่ได้เลย คุณแม่เคยสัญญากับคุณต้นไว้ว่า หากอาการดีขึ้นจะพามาออกรายการตีสิบอีกครั้งเพื่อทบทวนเรื่องราวในอดีต เพราะคุณต้นและเพื่อนๆ…
Hit & Run
  คนอเมริกันและลามถึงคนทั่วโลกด้วยกระมัง ที่เหมือนตื่นจากความหลับใหล พบแดดอ่อนยามรุ่งอรุณ เมื่อได้ประธานาธิบดีใหม่ที่ชนะถล่มทลาย คนหนุ่มไฟแรง ผิวสี เอียงซ้ายนิดๆ ผู้มาพร้อมสโลแกน "เปลี่ยน เปลี่ยน เปลี่ยน และเปลี่ยน" แม้ผู้คนยังไม่อาจแน่ใจได้ว่าจะเปลี่ยนได้ไหม เปลี่ยนไปสู่อะไร (เพราะอเมริกาไม่มีหมอลักษณ์ฟันธง หมอกฤษณ์คอนเฟิร์ม) แต่ขอแค่โลกนี้มีหวังใหม่ๆ ความเปลี่ยนแปลงสนุกๆ ก็ทำให้ชีวิตกระชุ่มกระชวย ท้องฟ้าสดใสกว่าที่เคยเป็นได้ง่ายๆ   มองไปที่อื่นฟ้าใส แต่ทำไมฝนมาตกที่ประเทศไทยไม่เลิก บ้านนี้เมืองนี้ ผู้คนพากันนอนไม่หลับ ฟ้าหม่น ฝนตก หดหู่มายาวนาน นานกว่าเมืองหนึ่งใน ‘100…
Hit & Run
    ช่วงนี้มีแต่เรื่องวุ่นวาย ส่วนตัวความจริงแล้วไม่อยากยุ่งเพราะเป็นคนรักสงบและถึงรบก็ขลาด แต่ไม่ยุ่งคงไม่ได้เพราะมันใกล้ตัวขึ้นทุกที ระเบิดมันตูมตามก็ถี่ขึ้นทุกวัน จนไม่รู้ใครเป็นตัวโกง ใครเป็นพระเอก เลยขอพาหันหน้าหาวัดพูดเรื่องธรรมะธรรมโมบ้างดีกว่า แต่ไม่รับประกันว่าพูดแล้วจะเย็นลงหรือตัวจะร้อนรุมๆ ขัดใจกันยิ่งกว่าเดิม ยังไงก็คิดเสียว่าอ่านขำๆ พอฆ่าเวลาปลายสัปดาห์ก็แล้วกัน.....
Hit & Run
< จิรนันท์ หาญธำรงวิทย์ >หลังจากอ่าน บทสัมภาษณ์ของซูโม่ตู้ หรือจรัสพงษ์ สุรัสวดี ในเว็บไซต์ผู้จัดการรายสัปดาห์ออนไลน์ แล้วพบว่าสิ่งหนึ่งที่ควรชื่นชมคือ ความตรงไปตรงมาของจรัสพงษ์ที่กล้ายอมรับว่าตนเองนั้นรังเกียจคนกุลีรากหญ้า ที่ไร้การศึกษา โง่กว่าลิงบาบูน รวมไปถึง “เจ๊ก” และ “เสี่ยว” ที่มาทำให้ราชอาณาจักรไทยของเขาเสียหาย เป็นความตรงไปตรงมาของอภิสิทธิ์ชนที่ปากตรงกับใจ ไม่ต้องอ้อมค้อมให้เสียเวลา ที่คงไม่ได้ยินจากปากนักวิชาการ หรือนักเคลื่อนไหวคนไหน (ที่คิดแบบนี้) (เดี๋ยวหาว่าเหมารวม)
Hit & Run
  ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านไป ความวุ่นวายในเมืองหลวงเริ่มคลีคลาย แต่ความสับสนและกลิ่นอายของแรงกดดันยังบางอย่างภายใต้สถานการณ์บ้านเมืองยังคงคลุกรุ่นอยู่ไม่หาย... ไม่รู้ว่าน่าเสียใจหรือดีใจที่ภารกิจบางอย่างทำให้ต้องเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ ก่อนหน้าเหตุการณ์อันน่าเศร้าที่เรียกกันว่า "7 ตุลาทมิฬ" เพียงข้ามคืน สิ่งที่เกิดขึ้นในความทรงจำจึงเป็นเพียงอีกเรื่องราวของหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ถึงขณะนี้ยังไม่รู้ถึงข้อมูลที่แน่ชัดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ความสูญเสียเกิดจากอะไร เพราะใครสั่งการ ใครจะเป็นคนรับผิดชอบต่อการสูญเสียที่เกิดขึ้น อย่างไร ฯลฯ คำถามมากมายที่ยังรอคำตอบ   …
Hit & Run
   (ที่มาภาพ: http://thaithai.exteen.com/images/photo/thaithai-2550-11-4-chess.jpg)หลังจากการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ความขัดแย้งทางชนชั้น การปะทะกันระหว่าง "ความเชื่อในคุณธรรม vs ความเชื่อในประชาธิปไตย" เริ่มปรากฏตัวชัดขึ้นเรื่อยๆ และได้ก่อให้เกิดความรุนแรงจากมวลชนทั้งสองกลุ่มฝั่งคุณธรรม อาจเชื่อว่า หากคนคิดดี ทำดี ปฏิบัติดีแล้ว เราจะอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข และปัญหาใหญ่ที่สุดของสังคมในขณะนี้คือ จริยธรรมของคนที่ข้องเกี่ยวกับการเมือง ดั้งนั้น จึงพยายามกดดันให้นักการเมืองเข้ากรอบระเบียบแห่งจริยธรรมที่ตนเองคิด หรือไม่ก็ไม่ให้มีนักการเมืองไปเลยฝั่งประชาธิปไตย อาจเชื่อว่า…
Hit & Run
Ko We Kyawเมื่อวันเสาร์ สัปดาห์ก่อน มีการจัดงาน ‘Saffron Revolution, A Year Later' ที่จัดโดยคณะผลิตสื่อเบอร์ม่า (Burma Media Production) หอศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อรำลึกถึง 1 ปี แห่งการปฏิวัติชายจีวร นอกจากการเสวนาและการกิจกรรมเพื่อเป็นการรำลึกแล้ว ภาคบันเทิงในงานก็มีความน่าสนใจเพราะมีการแสดงจากคณะตีเลตี (Thee Lay Thee) ที่มีชื่อเสียงจากพม่าการแสดงในวันดังกล่าว เป็นการแสดงในเชียงใหม่เป็นครั้งที่ 3 ในรอบปี 2551 หลังจากเคยจัดการแสดงมาแล้วในเดือนมกราคม และการแสดงการกุศลเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยนาร์กิส เมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาในพม่า…
Hit & Run
  ขุนพลน้อย       "ผมรู้สึกภูมิใจยิ่งที่สามารถคว้าเหรียญทอง สร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทย แต่ก็แอบน้อยใจบ้างที่เงินอัดฉีดของพวกเราจากรัฐบาลน้อยกว่าคนปกติ นี่ถ้าได้สักครึ่งหนึ่งของพวกเขาก็คงดี"น้ำเสียงของ ‘ประวัติ วะโฮรัมย์' เหรียญทองหนึ่งเดียวของไทย ในกีฬา ‘พาราลิมปิกเกมส์ 2008' หลังเดินทางกลับถึงประเทศไทยในช่วงดึกวันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน 2551 เป็นไปอย่างมุ่งมั่นระคนทดท้อการต้อนรับนักกีฬาในหมู่คนใกล้ชิดและในวงการมีขึ้นอย่างอบอุ่น แต่ความไม่เท่าเทียมกันเมื่อเปรียบเทียบกับนักกีฬาที่ได้รางวันใน ‘โอลิมปิก' คงเป็นภาพที่สะท้อนมองเห็นสังคมแบบบ้านเราได้ชัดเจนขึ้น…