เนื้อหาโดย BELILITH
เดือนมีนาคมแล้วค่ะท่านผู้อ่าน
ช่วงเวลาที่นักเรียนชั้น ม.6 ต้องจำจากจรสถาบันอันเป็นที่รักเพื่อก้าวไปข้างหน้า ทั้งจากความต้องการของตัวเองและกระแสสังคมที่ต่างคาดหวังว่าการ ศึกษาคือหนทางแห่งการเป็น “เจ้าคนนายคน”
หากท่านผู้อ่านเคยผ่านช่วงเวลาของการสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ว่าจะเป็นระบบเอนทรานซ์หรือระบบแอดมิชชันคงยังจำช่วงเวลาหฤโหดของการเข้าห้องสอบที่แบกเอาความฝันของตัวเอง ความคาดหวังของผู้บุพการี และหน้าตาของสถาบันระดับมัธยมศึกษา (ที่มักจะวัดกันด้วยจำนวนนักเรียนที่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้)ตลอดจนท่านผู้มีส่วนเกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ครู อาจารย์ ไปจนถึงผู้บริหารสถานศึกษาก็ต่างลุ้นตัวโก่งกับผลการเข้ามหาวิทยาลัยในอีกไม่กี่เดือนหลังจากนั้น ….ช่างเป็นช่วงชีวิตที่ลืมไม่ลง เสียจริง ๆ
แม้การสอบเข้ามหาวิทยาลัยจะไม่ใช่คำตอบของชีวิต มหาวิทยาลัยที่สอบติดหรือคณะที่ได้เรียนอาจจะได้สมดังที่หวังหรือไม่ได้ตามที่ตั้งใจ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเลือกหรือไม่เลือกที่จะเรียนตามผลการสอบย่อมมีผลต่อชีวิตไม่มากก็น้อย บางคนอาจจะเลือกเพราะค้นหาตัวเอง เพื่อรอโอกาสในการสอบอีกครั้งในปีถัดไป เพื่อย้ายคณะ – สาขาวิชาหลังจากเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว หรืออาจจะไม่เลือก แล้วหาทางเดินของตนเองในมหาวิทยาลัยเปิดและมหาวิทยาลัยเอกชน
แต่การสอบเข้ามหาวิทยาลัยอันมีจุดประสงค์เพื่อวัดผลการศึกษาว่าผู้ประสงค์ที่จะเข้าเรียนนั้นมีความรู้เหมาะสมกับการเรียนในคณะนั้นหรือไม่ กลับมีปัญหาในเนื้อหาที่ใช้สอบว่า “ต้องการจะวัดอะไร” จนนักเรียนผู้ได้รับผลกระทบออกมาเรียกร้องให้มีการอธิบายและการแก้ไขข้อสอบในข้อที่มีปัญหา เช่น วิชาสุขศึกษา ที่มีเนื้อเรื่องมาให้และให้เลือกคำตอบที่ถูกที่สุด
แต่การสอบเข้ามหาวิทยาลัยอันมีจุดประสงค์เพื่อวัดผลการศึกษาว่าผู้ประสงค์ที่จะเข้าเรียนนั้นมีความรู้เหมาะสมกับการเรียนในคณะนั้นหรือไม่ กลับมีปัญหาในเนื้อหาที่ใช้สอบว่า “ต้องการจะวัดอะไร” จนนักเรียนผู้ได้รับผลกระทบออกมาเรียกร้องให้มีการอธิบายและการแก้ไขข้อสอบในข้อที่มีปัญหา เช่น วิชาสุขศึกษา ที่มีเนื้อเรื่องมาให้และให้เลือกคำตอบที่ถูกที่สุด
เนื้อเรื่องที่ใช้ในการสอบ
“นิดเรียนอยู่ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 เป็นคนสวย มีเพื่อนชายมาชอบเธอหลายคน เธอมักไม่ปฏิเสธเมื่อมีเพื่อนชายชวนไปเที่ยวกลางคืน ในที่สุดเธอมีความสัมพันธ์ทางเพศกับเพื่อนชายจนมีอาการแพ้ท้อง ด้วยความกลุ้มใจนิดจึงนำเรื่องไปปรึกษาเพื่อนชาย ซึ่งเพื่อนชายแนะนำให้ไปทำแท้งผลสุดท้ายนิดไปทำแท้งแต่ต้องเสียชีวิต
ด้วย อาการตกเลือด”
|
000
บทสัมภาษณ์ นส.ติ่งหู สุภาพชน จากโรงเรียนดงบังชินกิ ประเทศอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่เกาหลีเหนือ โดยบริวารเงา
บริวารเงา: วันนี้เรามาพูดถึงข้อสอบ O-Net กันครับ มีข้อสอบชุดหนึ่งที่น้อง ๆ ติงกันมากคือชุดที่เกี่ยวกับสุขศึกษา เรื่องเกี่ยวกับหญิงวัยเรียนที่ชื่อนิดนะครับ และคำถามของเรื่องนิดนี้ก็เป็นที่ถกเถียงกันมากเช่นข้อนี้
ข้อใดเป็นการแก้ปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยเรียนที่ ดีที่สุด
1.หยุดเรียนไประยะหนึ่งเพื่อคลอดลูก 2.ทำแท้งเพราะไม่สามารถเลี้ยงดูได้ 3.ลาออกจากโรงเรียนแล้วหางานทำเพื่อเลี้ยงลูก 4.แจ้งความเพื่อหาผู้รับผิดชอบ |
บริวารเงา: วันนี้เราจึงมาถามเด็กนักเรียนผู้ที่มีประสบการณ์ตรงจากเรื่องนี้กันนะครับ ในฐานะที่น้อง...เอ่อ....เป็นผู้มีประสบการณ์ท้องในวัยเรียน น้องคิดว่าข้อนี้ควรตอบยังไงครับ
ติ่งหู : กรูไม่ได้ท้องโว้ย กรูแค่อ้วน
บริวารเงา : ...ครับ ๆ ใจเย็น ๆ นะครับ พยายามหลีกเลี่ยงคำหยาบคายด้วยและการสะกดผิดด้วยนะครับ
ติ่งหู : เอ่อ ก็ได้คระ จะพยายามนะคระ
บริวารเงา : ‘คะ’ นะครับ ไม่ใช่ ‘คระ’
ติ่งหู : ตกลงเมิงจะสำพาดหรือจะมานั่งตรวจคำผิดกรูหา ทำอะไรไม่ Practical เลยนี่
บริวารเงา : ครับ ถามเลยนะครับ (ติ่งหูสมัยนี้รู้จักคำว่า Practical ด้วยวุ้ย แล้วตกลงมันแปลว่าอะไรวะ?) คิดว่าข้อนี้น่าจะตอบอะไรครับ
ติ่งหู : ใครจะไปเดาใจอีป้านี่ถูกเล่าวุ้ย!!
บริวารเงา : ใจเย็น ๆ ก่อนครับ มันเป็นข้อสอบยังไงก็ต้องมีข้อที่ถูก
ติ่งหู : แต่เพื่อนหนูมันตอบออกมาไม่เหมือนกันสักคนเรยอ่ะ
บริวารเงา : เห็นมีอาจารย์จากรายการหนึ่งบอกว่าเด็กต้องรู้จักวิเคราะห์น่ะครับ แต่อย่าวิเคราะห์เลยเถิดหรือ Over-analysis เกินไป ในประเทศที่บ้าศีลธรรมในขณะนี้ และกฏหมา-ไม่รองรับการทำแท้ง มันน่าจะเป็นข้อ 3 จริงไหมครับ
ติ่งหู : แล้วแบบนั้นมันต่างจากการอ่านใจคนออกข้อสอบตรงไหนอ่ะคระ ถ้าคนออกข้อสอบเขาเหงด้วยกับการทำแท้งขึ้นมามันจะไม่ต้องไปตอบข้อ 2 หรอ
บริวารเงา : จริงของน้องครับ แต่ยังไงเราก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันของประเทศเรา ฉะนั้นผมว่าตอบข้อ 3 จะดูเป็น ‘คนดี’ ที่สุดครับ ข้อ 3 จึงน่าจะถูก
ติ่งหู : แล้วข้อ 1 มันต่างจากข้อ 3 ยังไงคระ มันเป็นขั้นตอนกันไม่ใช่หรอ มันต้องทำข้อ 1 ก่อน แล้วค่อยทำข้อ 3
บริวารเงา : แล้วข้อนี้ล่ะครับ (ยังไม่ยอมแพ้โว้ย ไม่ให้ใครมาลูบเหลี่ยมเราหรอก)
ติ่งหู : กรูไม่ได้ท้องโว้ย กรูแค่อ้วน
บริวารเงา : ...ครับ ๆ ใจเย็น ๆ นะครับ พยายามหลีกเลี่ยงคำหยาบคายด้วยและการสะกดผิดด้วยนะครับ
ติ่งหู : เอ่อ ก็ได้คระ จะพยายามนะคระ
บริวารเงา : ‘คะ’ นะครับ ไม่ใช่ ‘คระ’
ติ่งหู : ตกลงเมิงจะสำพาดหรือจะมานั่งตรวจคำผิดกรูหา ทำอะไรไม่ Practical เลยนี่
บริวารเงา : ครับ ถามเลยนะครับ (ติ่งหูสมัยนี้รู้จักคำว่า Practical ด้วยวุ้ย แล้วตกลงมันแปลว่าอะไรวะ?) คิดว่าข้อนี้น่าจะตอบอะไรครับ
ติ่งหู : ใครจะไปเดาใจอีป้านี่ถูกเล่าวุ้ย!!
บริวารเงา : ใจเย็น ๆ ก่อนครับ มันเป็นข้อสอบยังไงก็ต้องมีข้อที่ถูก
ติ่งหู : แต่เพื่อนหนูมันตอบออกมาไม่เหมือนกันสักคนเรยอ่ะ
บริวารเงา : เห็นมีอาจารย์จากรายการหนึ่งบอกว่าเด็กต้องรู้จักวิเคราะห์น่ะครับ แต่อย่าวิเคราะห์เลยเถิดหรือ Over-analysis เกินไป ในประเทศที่บ้าศีลธรรมในขณะนี้ และกฏหมา-ไม่รองรับการทำแท้ง มันน่าจะเป็นข้อ 3 จริงไหมครับ
ติ่งหู : แล้วแบบนั้นมันต่างจากการอ่านใจคนออกข้อสอบตรงไหนอ่ะคระ ถ้าคนออกข้อสอบเขาเหงด้วยกับการทำแท้งขึ้นมามันจะไม่ต้องไปตอบข้อ 2 หรอ
บริวารเงา : จริงของน้องครับ แต่ยังไงเราก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันของประเทศเรา ฉะนั้นผมว่าตอบข้อ 3 จะดูเป็น ‘คนดี’ ที่สุดครับ ข้อ 3 จึงน่าจะถูก
ติ่งหู : แล้วข้อ 1 มันต่างจากข้อ 3 ยังไงคระ มันเป็นขั้นตอนกันไม่ใช่หรอ มันต้องทำข้อ 1 ก่อน แล้วค่อยทำข้อ 3
บริวารเงา : แล้วข้อนี้ล่ะครับ (ยังไม่ยอมแพ้โว้ย ไม่ให้ใครมาลูบเหลี่ยมเราหรอก)
|
ติ่งหู : แล้วไอ่คำตอบพวกนี้มันต่างกันยังไงอ่ะ หรือถ้าบอกว่าให้เลือก ‘มากที่สุด’ มันก็เปงเรื่องความเห็นของแต่ละคนแร้ว เท่านั้นยังไม่พอข้อสอบนี้ยังแฝงทัศนคติครอบงำมาเสร็จสรรพแล้วอีกตะหาก
บริวารเงา : เอ่อ...จริงของคุณหนูครับ (โดนติ่งหูข่มเสียแล้วโว้ย เสียฟอร์มหมด แก้แค้นมันไงดีวะ ไอ่ติ่งหูเอ้ย ผมยังแค่กะลาครอบไม่พ้นหูมาข่ม ‘ผู้หญ่าย’ อย่างกรูได้ เผลอเรียกมันคุณหนูด้วยนั่น กรูไม่ใช่น้าต๋อยเซมเบ้นะโว้ย)
ติ่งหู : ‘กู’ ค่ะ ไม่ใช่ ‘กรู’
บริวารเงา : ครับ ๆ ...เฮ้ย! รู้ได้ไง เราคิดดังเกินไปเหรอ
ติ่งหู : ทำไมคระ ทำไมผู้ใหญ่หรือคนที่คิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ชอบตั้งเป้ากับคนที่พวกคุณเรียกว่า ‘ติ่งหู’ อย่างพวกเราเหลือเกิน นู๋อาจจะไม่ฉล้าดฉลาดพอจะเถียงกับผู้ใหญ่หัวหมอ (บ้างก็หัวหม้อ) อย่างคุณ ๆ หรอก แต่พอพวกคุณเห็นพวกนู๋แสดงอารมณ์รุนแรงแบบวัยรุ่นหน่อย ก็มาตอบโต้มาดูถูกว่าพวกนู๋เป็นแค่เด็กบ้าดารา ฯลฯ อย่างกับพวกคุณ ๆ ดำรงชีวิตอยู่โดยไม่มีที่พึ่งพิงทางจิตใจด้วยอย่างงั้นแหละ....
บริวารเงา : ครับ ๆ สุดท้ายนี้อยากฝากอะไรบ้างครับ (เลยมาเรื่องนี้เฉยเลยแฮะ เดี๋ยวแอบเอามันไปประจานในเว็บบอร์ดดีกว่า)
ติ่งหู : ติ่งหูก็มีหัวจัยคร่ะ (ประจานไปเลย กรูโดนมองแย่ ๆ อยู่แล้ว)
000
และข้อนี้คือสุดยอดของคำถามที่หลายคนบอกว่าเป็นคำถาม “แฟนพันธุ์แท้” โดยที่เด็กหลายคนโอดครวญผ่านสื่อต่าง ๆ ว่าไม่เคยได้เรียนบ้าง เป็นคำถามเฉพาะทางเกินไปบ้าง แล้วโดยมุมมองของฉันแล้ว ถ้านักเรียนคนนั้นมาจาก โรงเรียนอำเภอรอบนอกแห่งหนึ่งจังหวัดแม่ฮ่องสอน เคยเห็นแต่เครื่องดนตรีพื้นบ้านกับเครื่องดนตรีของวงดุริยางค์เก่านับสิบปี เธออยากเรียนคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ เธอจำเป็นต้อง “รู้” สิ่งเหล่านี้หรือไม่
“การประพันธ์บทเพลงสวดในพุทธศาสนาขนาดใหญ่บท หนึ่ง โดยใช้แนวคิดการประพันธ์แบบบทเพลงสวดของนิกายโรมันแคธอลิก ภาษาที่ใช้เป็นภาษาดั้งเดิมคล้ายภาษาละติน บทสวดเริ่มต้นด้วยความยิ่งใหญ่ หลังจากนั้น เน้นการแสดงความสามารถของการขับร้อง เดี่ยวของนักร้องชายโดยการร้องทำนองที่ไพเราะมาก แบ่งเป็นสองทำนองหลัก โดยทำนองแรกเป็นทำนองที่ยิ่งใหญ่ และทำนองที่สองเป็นทำนองเรียบง่าย และปิดท้ายด้วยทำนองแรกที่มีการ เพิ่มเติมการแสดงความสามารถของนักร้องด้วย บทเพลงดำเนินไปโดยมีการขับร้องหลายรูปแบบ รวมทั้งการขับร้องช่วงหนึ่งที่เป็นการขับร้องระหว่างนักร้องเดี่ยว ชายและหญิงรวม 2 คน และจบลงด้วยความยิ่งใหญ่ของการบรรเลงและขับร้องทั้งหมด
ภาษาที่ควรใช้ในบทเพลงนี้คือ ภาษาอะไร
1. อังกฤษ
2. ไทย 3. บาลี 4. สันสกฤต 5. จีน 6. อาหรับ 7. อินเดีย 8. เนปาล ส่วนเริ่มต้นของบทเพลง ควรเป็นการขับร้องในลักษณะใด
1. Choir
2. Orchestra 3. Quartet 4. Concerto grosso 5. ปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ 6. มโหรีเครื่องใหญ่ 7. เครื่องสายเครื่องใหญ่ 8. ปี่พาทย์เครื่องใหญ่ และการขับร้องของ นักร้องชาย เป็นลักษณะใด
1. Recitative
2. Aria 3. Duet 4. Trio 5. Chorus 6. Ensemble 7. Orchestra 8. Quartet” |
สิ่งที่สังเกตได้จากข้อสอบวิชาสุขศึกษาที่มีปัญหาคือภาษาที่ใช้มีความคลุมเครือทำให้เกิดการตีความ การไม่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับบริบทของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือให้ข้อมูลบริบทแต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคำถาม เช่น ข้อ “น้องนก นักเทนนิสเยาวชนหญิงอายุ 17 ปี…” แม้ผู้แต่งข้อสอบจะมีความตั้งใจให้เกิดการคิดวิเคราะห์เชื่อมโยง แต่เนื้อหากลับครอบจักรวาลและข้อสอบถามรายละเอียดจนต้องกลับมาตั้งคำถามว่าการเรียนการสอนในโรงเรียนก่อนจะมาทำข้อสอบฉบับนี้ควรสอนหลักการสำคัญและการส่งเสริมให้ค้นคว้าต่อยอดโดยใช้แหล่งสารสนเทศแล้วละก็ การทำข้อสอบฉบับนี้ก็ควรสอบแบบ Open book คือสามารถเอาตำราอ้างอิงหรืออัญเชิญเสด็จพ่อ Google เข้าห้องสอบได้ เพื่อตอบสนองความต้องการที่จะให้เด็กไทยเป็นผู้รู้รอบและคิดเป็น
จนขณะนี้ยังไม่ได้ทางออกจากทางผู้ใหญ่นอกเหนือจากการให้คะแนนฟรีสำหรับบางข้อที่มีปัญหาจริง แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งได้จึงเกิดการเคลื่อนไหวของเด็ก ๆ ไปจนถึงผู้ไม่เห็นด้วยกับการวัดผลผ่านทางทางเฟซบุ๊คและไฮไฟว์ ล่าสุดได้มีการออกจดหมายเปิดผนึกถึงผู้อำนวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติเพื่อดำเนินการหามาตรการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อให้เกิดความยุติธรรมกับทุกฝ่ายและหามาตรการป้องกันปัญหาในอนาคตเพื่อการพัฒนาอันยั่งยืนของระบบการศึกษาไทยต่อไป
อย่าว่าแต่การสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีปัญหาเลยค่ะท่านผู้อ่าน การประเมินผลตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ (TQF) ก่อสร้างความปั่นป่วนแก่วงการอุดมศึกษากันอย่างทั่วหน้าเช่นกัน โดยเฉพาะการประกันคุณภาพหลักสูตรโดยใช้เกณฑ์บ่งชี้ผลการทำงานและหลักฐานบ่งชี้เชิงปริมาณ ไม่ว่าบุคลากรที่ต้องกรอกภาระงานว่า วัน ๆ ทำงานอะไรไปบ้าง คณาจารย์ที่ต้องหืดขึ้นคอกับงานวิจัยอย่างน้อยปีละ 2ชิ้น ภาวะการทำงานที่บัณฑิตต้องทำงานตรงกับสายที่เรียน ฯลฯ
ในโลกที่มีตัวแปรต่าง ๆ ที่มีความหลากหลายและไม่สามารถทำนายล่วงหน้าได้แม่นยำเป็นความจริงที่ผู้ประเมินผลควรตระหนักแม้ว่าท่านจะพยายามผสานความหลากหลายเหล่านี้ให้เป็นมาตรฐานเดียวก็ตามการใช้รสนิยมส่วนตัว การไม่คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างส่วนกลางและท้องถิ่น และการหวังผลเชิงปริมาณมากกว่าคุณภาพอันมีรากฐานมาจากการมองระบบการศึกษาเป็นโรงงานผลิตแรงงานป้อนสู่ระบบตลาด แต่ขาดการมองมิติทางสังคมและวัฒนธรรม เช่น ทางเลือกในการประกอบอาชีพที่ไม่เท่าเทียมกันของบัณฑิตในแต่สถาบัน อคติทางชาติพันธุ์และความพิการ การมองบัณฑิตในฐานะผลผลิตจากการขัดเกลาทางจรรยาบรรณของแต่ละศาสตร์ในการรับใช้สังคม
หรือบางทีเราอาจจะต้องให้ผู้ประเมินมาเลือก ‘ผ้าปูโต๊ะ’ ให้เข้ากัน ก่อนจะไปประเมินการศึกษาดีกว่าไหมคะ เผื่อจะได้หาวิธีวัดผลทางการศึกษา ได้อย่างเชื่อมโยงอย่างที่ ดร.อุทุมพร ผู้แต่งข้อสอบโอเน็ตปีมั่นใจ
อย่าว่าแต่การสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีปัญหาเลยค่ะท่านผู้อ่าน การประเมินผลตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ (TQF) ก่อสร้างความปั่นป่วนแก่วงการอุดมศึกษากันอย่างทั่วหน้าเช่นกัน โดยเฉพาะการประกันคุณภาพหลักสูตรโดยใช้เกณฑ์บ่งชี้ผลการทำงานและหลักฐานบ่งชี้เชิงปริมาณ ไม่ว่าบุคลากรที่ต้องกรอกภาระงานว่า วัน ๆ ทำงานอะไรไปบ้าง คณาจารย์ที่ต้องหืดขึ้นคอกับงานวิจัยอย่างน้อยปีละ 2ชิ้น ภาวะการทำงานที่บัณฑิตต้องทำงานตรงกับสายที่เรียน ฯลฯ
ในโลกที่มีตัวแปรต่าง ๆ ที่มีความหลากหลายและไม่สามารถทำนายล่วงหน้าได้แม่นยำเป็นความจริงที่ผู้ประเมินผลควรตระหนักแม้ว่าท่านจะพยายามผสานความหลากหลายเหล่านี้ให้เป็นมาตรฐานเดียวก็ตามการใช้รสนิยมส่วนตัว การไม่คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างส่วนกลางและท้องถิ่น และการหวังผลเชิงปริมาณมากกว่าคุณภาพอันมีรากฐานมาจากการมองระบบการศึกษาเป็นโรงงานผลิตแรงงานป้อนสู่ระบบตลาด แต่ขาดการมองมิติทางสังคมและวัฒนธรรม เช่น ทางเลือกในการประกอบอาชีพที่ไม่เท่าเทียมกันของบัณฑิตในแต่สถาบัน อคติทางชาติพันธุ์และความพิการ การมองบัณฑิตในฐานะผลผลิตจากการขัดเกลาทางจรรยาบรรณของแต่ละศาสตร์ในการรับใช้สังคม
หรือบางทีเราอาจจะต้องให้ผู้ประเมินมาเลือก ‘ผ้าปูโต๊ะ’ ให้เข้ากัน ก่อนจะไปประเมินการศึกษาดีกว่าไหมคะ เผื่อจะได้หาวิธีวัดผลทางการศึกษา ได้อย่างเชื่อมโยงอย่างที่ ดร.อุทุมพร ผู้แต่งข้อสอบโอเน็ตปีมั่นใจ
000
บทสัมภาษณ์ ‘ผู้ไม่เชี่ยวชาญ’ ด้านศิลปะจากสถาบันวิจัยการทำน้ำกล้วยปั่นแห่งประเทศเทย โดยคุณบริวารเงา
บริวารเงา : เห็นว่ามีน้อง ๆ หลายคนบ่นกันว่ามีข้อสอบที่ไม่ได้สอนในบทเรียนเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเรื่องศิลปะหรืองานผีมือวันนี้ผมจะสัมภาษณ์ ‘ผู้ไม่เชี่ยวชาญ’ ด้านศิลปะกันครับว่ามีความเห็นอย่างไรบ้าง
ผู้ไม่เชี่ยวชาญ : ก็... (มองผีเสื้อที่บินมาเกาะปลายกิ่งไม้ 2 นาที) ...นานมาแล้วนะครับที่พระเจ้านโปเลียนได้...
บริวารเงา : เอ่อ...สักครู่นะครับ ผมอยากให้พูดเกี่ยวกับประเด็นที่ว่าเรื่องราวทางศิลปะทั้งหลายนี้ควรมีในข้อสอบหรือไม่ครับ คนที่ไม่ได้ต้องการเรียนมาทางนี้เขาต้องสอบเรื่องนี้ด้วย?
ผู้ไม่เชี่ยวชาญ : เมื่อตอนที่ผมยังเป็นเด็กน่ะ ผมเคยออกไปจับตัวแมงกุ๊ดจี่ ตัวของมันเลื่อมสวยมาก เอามาคั่วกินก็ได้ครับ (เงยหน้ามองท้องฟ้า 2 นาที) ...อา...เด็กสมัยนี้คงไม่รู้จักสินะครับ มันช่างงดงามจริง ๆ ครับ
บริวารเงา : ผมกำลังถามถึงข้อสอบศิลปะครับ ไม่ได้ถามถึงแมงกุ๊ดจี่ครับ
ผู้ไม่เชี่ยวชาญ : คุณกำลังดูถูกแมงกุ๊ดจี่หรือยังไง ไอ่พวกที่อ่านอยู่เนี่ยอย่านึกว่าผมเล่นมุขนะ ผมคิดว่าแมงกุ๊ดจี่เป็นหนึ่งในศิลปะจริง ๆ
บริวารเงา : แล้วคิดว่าควรมีข้อสอบเรื่องศิลปะเพื่อให้เด็กสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้สอบไหมครับ
ผู้ไม่เชี่ยวชาญ : ควรครับ ศิลปะเป็นความงดงามของชีวิตครับ
บริวารเงา : แล้วถ้าสายที่เขาเรียน ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับศิลปะเลยล่ะ
ผู้ไม่เชี่ยวชาญ : ไหนใครบอกว่าเราควรมีสหวิทยาการ แทนที่จะเป็นแค่ชิ้นส่วนเฉพาะด้านถูกผลิตกลายไปเป็นแรงงานทาสในอนาคต นี่ไงครับศิลปะ วิชาที่คุณน่าจะทำความรู้จักไว้บ้าง จะได้มีหัวจิตหัวใจ เรียกว่าคุณอุทุมพร ทำดีทีเดียวเรื่องนี้
บริวารเงา : (เอ่อวุ้ย! เมื่อก่อนก็เคยคิดแบบนี้ แต่จะให้มันหยามไม่ได้ ต้องอัดมันหาเรื่องอัดมันหน่อย) ...แต่ มันก็มีข้อสอบจำพวกจัดผ้าปูโต๊ะเอย ห่อข้าวต้มกุ้งด้วยใบตองเอย ข้อสอบซักผ้าเอย สารพัด
ผู้ไม่เชี่ยวชาญ : น้อง ๆ คิดว่าการซักผ้าไม่สำคัญกับชีวิตเหรอครับ หรือบางคนเป็นคุณหนูไม่เคยซักผ้าด้วยมือตัวเอง อ้า...ช่างน่าเสียดาย ผมรู้จักกวีคนหนึ่งเขาบรรลุอะไรบางอย่างได้ขณะซักผ้าครับ
บริวารเงา : โอเคว่ามันอาจสำคัญกับชีวิตในกรณีที่เครื่องซักผ้าพัง หรือร้านซักรีดปิดนะครับ แต่อย่างเรื่องผ้าปูโต๊ะละครับ
ผู้ไม่เชี่ยวชาญ : ผมชอบนั่งกินกับพื้นครับ ชีวิตคนเราควรเคารพความคิดดินของตนเอง เวลากินมันหมายถึงเวลาที่เราไปพรากชีวิตสิ่งต่าง ๆ จากธรรมชาติมาไม่ว่าชีวิตสัตว์หรือชีวิตพืช ฉะนั้นเราจึงควรทำตัวเองให้ติดดินเวลากินเพื่อรำลึกถึงชีวิตพวกมันที่ต่อชีวิตเรา
บริวารเงา : ก็นี่ไงเล่า คนที่นั่งพื้นกินเขาจะไปตอบเรื่องผ้าปูโต๊ะได้ยังไง ไม่นับคนที่จำใจต้องนั่งพื้นกิน ซื้อข้าวแกงนั่งกินแถวฟุตบาธ เขาจะไปคำนึงถึงผ้าปูโต๊ะได้ไง!!
ผู้ไม่เชี่ยวชาญ : ...ครับ ครับ
บริวารเงา : ไหนจะไอ่ภาชนะใส่อาหารอีก อยู่ในยุคไหนของมันไม่มีจานชามให้ใช้มีแต่ใบตอง ใบบ้าอะไรของมันก็ไม่รู้ แถมไม่ได้มีข้อไหนบอกว่าต้องไปเข้าป่าเลยด้วย ในยุคนี้ที่เด็กอยู่ในป่าคอนกรีตกันจะไปหาใบพวกนี้มาจากไหน
ผู้ไม่เชี่ยวชาญ : …ครับ ครับ
บริวารเงา : แถมไอ่ข้อเกี่ยวกับศิลปะทั้งหลาย ตัวผมเองที่เคยค้นคว้าศิลปะร่วมสมัยในห้องสมุดมหาวิทยาลัยมาก่อนมาเจอนี้ยังเอ๋อจับเลย ไอ่ข้อที่ถามเกี่ยวกับนาฎศิลป์อินเดียน่ะ อลาริปปู, ไตรภัณกิ นี้มันอะไรวะ เวทย์มนตร์ในไฟนอล แฟนตาซี หรือไง ใครมันจะไปเคยรู้จักมาก่อน เหมือนไปถามคนฟังแต่เพลงคลาสสิกว่า Black Metal กับ Death Metal ต่างกันยังไงนั่นแหละ
ผู้ไม่เชี่ยวชาญ : ....ครับ ครับ ....ว่าแต่เอ่อ ...ตกลงใครสัมภาษณ์ใครกันแน่ครับ
บริวารเงา : ...ขออภัยครับ ลืมตัว
ผู้ไม่เชี่ยวชาญ : แต่เด็ก ๆ ที่ออกมาต่อต้านเรื่องนี้เขาจริงจังกับเรื่องสอบเข้าจังเลยนะครับ มันไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตนี่ครับ
บริวารเงา : แต่เรื่องนี้หลายคนซีเรียสกับมันมากนะครับ คือความเป็น-ความตาย ของเขาเลยนะครับ ใครบางคนอาจเป็นลูกข้าราชการระดับล่าง ๆ ที่เงินเดือนน้อยอยากอัพฐานะตัวเองไปเรียนอะไรดี ๆ กว่านี้
ผู้ไม่เชี่ยวชาญ : แล้วในคลิปที่เด็ก ๆ เอามาโพสท์ล้อกันนี้มันก็มีท่าทีดูถูกมหาวิทยาลัยเปิดอย่างรามฯ กับพวกมหาวิทยาลัยเอกชนอยู่นะครับ
บริวารเงา : .....
ผู้ไม่เชี่ยวชาญ : ......
บริวารเงา : เราขอจบการสัมภาษณ์แต่เพียงเท่านี้ครับ
ผู้ไม่เชี่ยวชาญ : เฮ้ย! เดี๋ยวเด้! พอเถียงไม่ออกแล้วปิดรายการหนีเลยเหรอ ...เดี๋ยว....เดี๋ยว!
ผู้ไม่เชี่ยวชาญ : ก็... (มองผีเสื้อที่บินมาเกาะปลายกิ่งไม้ 2 นาที) ...นานมาแล้วนะครับที่พระเจ้านโปเลียนได้...
บริวารเงา : เอ่อ...สักครู่นะครับ ผมอยากให้พูดเกี่ยวกับประเด็นที่ว่าเรื่องราวทางศิลปะทั้งหลายนี้ควรมีในข้อสอบหรือไม่ครับ คนที่ไม่ได้ต้องการเรียนมาทางนี้เขาต้องสอบเรื่องนี้ด้วย?
ผู้ไม่เชี่ยวชาญ : เมื่อตอนที่ผมยังเป็นเด็กน่ะ ผมเคยออกไปจับตัวแมงกุ๊ดจี่ ตัวของมันเลื่อมสวยมาก เอามาคั่วกินก็ได้ครับ (เงยหน้ามองท้องฟ้า 2 นาที) ...อา...เด็กสมัยนี้คงไม่รู้จักสินะครับ มันช่างงดงามจริง ๆ ครับ
บริวารเงา : ผมกำลังถามถึงข้อสอบศิลปะครับ ไม่ได้ถามถึงแมงกุ๊ดจี่ครับ
ผู้ไม่เชี่ยวชาญ : คุณกำลังดูถูกแมงกุ๊ดจี่หรือยังไง ไอ่พวกที่อ่านอยู่เนี่ยอย่านึกว่าผมเล่นมุขนะ ผมคิดว่าแมงกุ๊ดจี่เป็นหนึ่งในศิลปะจริง ๆ
บริวารเงา : แล้วคิดว่าควรมีข้อสอบเรื่องศิลปะเพื่อให้เด็กสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้สอบไหมครับ
ผู้ไม่เชี่ยวชาญ : ควรครับ ศิลปะเป็นความงดงามของชีวิตครับ
บริวารเงา : แล้วถ้าสายที่เขาเรียน ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับศิลปะเลยล่ะ
ผู้ไม่เชี่ยวชาญ : ไหนใครบอกว่าเราควรมีสหวิทยาการ แทนที่จะเป็นแค่ชิ้นส่วนเฉพาะด้านถูกผลิตกลายไปเป็นแรงงานทาสในอนาคต นี่ไงครับศิลปะ วิชาที่คุณน่าจะทำความรู้จักไว้บ้าง จะได้มีหัวจิตหัวใจ เรียกว่าคุณอุทุมพร ทำดีทีเดียวเรื่องนี้
บริวารเงา : (เอ่อวุ้ย! เมื่อก่อนก็เคยคิดแบบนี้ แต่จะให้มันหยามไม่ได้ ต้องอัดมันหาเรื่องอัดมันหน่อย) ...แต่ มันก็มีข้อสอบจำพวกจัดผ้าปูโต๊ะเอย ห่อข้าวต้มกุ้งด้วยใบตองเอย ข้อสอบซักผ้าเอย สารพัด
ผู้ไม่เชี่ยวชาญ : น้อง ๆ คิดว่าการซักผ้าไม่สำคัญกับชีวิตเหรอครับ หรือบางคนเป็นคุณหนูไม่เคยซักผ้าด้วยมือตัวเอง อ้า...ช่างน่าเสียดาย ผมรู้จักกวีคนหนึ่งเขาบรรลุอะไรบางอย่างได้ขณะซักผ้าครับ
บริวารเงา : โอเคว่ามันอาจสำคัญกับชีวิตในกรณีที่เครื่องซักผ้าพัง หรือร้านซักรีดปิดนะครับ แต่อย่างเรื่องผ้าปูโต๊ะละครับ
ผู้ไม่เชี่ยวชาญ : ผมชอบนั่งกินกับพื้นครับ ชีวิตคนเราควรเคารพความคิดดินของตนเอง เวลากินมันหมายถึงเวลาที่เราไปพรากชีวิตสิ่งต่าง ๆ จากธรรมชาติมาไม่ว่าชีวิตสัตว์หรือชีวิตพืช ฉะนั้นเราจึงควรทำตัวเองให้ติดดินเวลากินเพื่อรำลึกถึงชีวิตพวกมันที่ต่อชีวิตเรา
บริวารเงา : ก็นี่ไงเล่า คนที่นั่งพื้นกินเขาจะไปตอบเรื่องผ้าปูโต๊ะได้ยังไง ไม่นับคนที่จำใจต้องนั่งพื้นกิน ซื้อข้าวแกงนั่งกินแถวฟุตบาธ เขาจะไปคำนึงถึงผ้าปูโต๊ะได้ไง!!
ผู้ไม่เชี่ยวชาญ : ...ครับ ครับ
บริวารเงา : ไหนจะไอ่ภาชนะใส่อาหารอีก อยู่ในยุคไหนของมันไม่มีจานชามให้ใช้มีแต่ใบตอง ใบบ้าอะไรของมันก็ไม่รู้ แถมไม่ได้มีข้อไหนบอกว่าต้องไปเข้าป่าเลยด้วย ในยุคนี้ที่เด็กอยู่ในป่าคอนกรีตกันจะไปหาใบพวกนี้มาจากไหน
ผู้ไม่เชี่ยวชาญ : …ครับ ครับ
บริวารเงา : แถมไอ่ข้อเกี่ยวกับศิลปะทั้งหลาย ตัวผมเองที่เคยค้นคว้าศิลปะร่วมสมัยในห้องสมุดมหาวิทยาลัยมาก่อนมาเจอนี้ยังเอ๋อจับเลย ไอ่ข้อที่ถามเกี่ยวกับนาฎศิลป์อินเดียน่ะ อลาริปปู, ไตรภัณกิ นี้มันอะไรวะ เวทย์มนตร์ในไฟนอล แฟนตาซี หรือไง ใครมันจะไปเคยรู้จักมาก่อน เหมือนไปถามคนฟังแต่เพลงคลาสสิกว่า Black Metal กับ Death Metal ต่างกันยังไงนั่นแหละ
ผู้ไม่เชี่ยวชาญ : ....ครับ ครับ ....ว่าแต่เอ่อ ...ตกลงใครสัมภาษณ์ใครกันแน่ครับ
บริวารเงา : ...ขออภัยครับ ลืมตัว
ผู้ไม่เชี่ยวชาญ : แต่เด็ก ๆ ที่ออกมาต่อต้านเรื่องนี้เขาจริงจังกับเรื่องสอบเข้าจังเลยนะครับ มันไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตนี่ครับ
บริวารเงา : แต่เรื่องนี้หลายคนซีเรียสกับมันมากนะครับ คือความเป็น-ความตาย ของเขาเลยนะครับ ใครบางคนอาจเป็นลูกข้าราชการระดับล่าง ๆ ที่เงินเดือนน้อยอยากอัพฐานะตัวเองไปเรียนอะไรดี ๆ กว่านี้
ผู้ไม่เชี่ยวชาญ : แล้วในคลิปที่เด็ก ๆ เอามาโพสท์ล้อกันนี้มันก็มีท่าทีดูถูกมหาวิทยาลัยเปิดอย่างรามฯ กับพวกมหาวิทยาลัยเอกชนอยู่นะครับ
บริวารเงา : .....
ผู้ไม่เชี่ยวชาญ : ......
บริวารเงา : เราขอจบการสัมภาษณ์แต่เพียงเท่านี้ครับ
ผู้ไม่เชี่ยวชาญ : เฮ้ย! เดี๋ยวเด้! พอเถียงไม่ออกแล้วปิดรายการหนีเลยเหรอ ...เดี๋ยว....เดี๋ยว!
บล็อกของ Hit & Run
Hit & Run
ตติกานต์ เดชชพงศ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ที่ผ่านมา เพิ่งมีโอกาสได้ไปดูฉากโหดๆ อาทิ หัวขาดกระเด็น เลือดสาดกระจาย กระสุนเจาะกระโหลกเลือดกระฉูด ในหนังไทย (ทุ่มทุนสร้างกว่า 80 ล้านบาท!) เรื่อง ‘โอปปาติก' รู้สึกอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่งว่าหนังเรื่องนี้รอดพ้นเงื้อมมือกองเซ็นเซอร์ผู้เคร่งครัดมาได้ยังไง?เพราะด้วยการทำงานของหน่วยงานเดียวกันนี้ ทำให้หนังเรื่องหนึ่งถูกห้ามฉาย เพราะมีฉากพระสงฆ์เล่นกีตาร์, และฉากนายแพทย์บอกเล่าว่าตนก็มีึความรู้สึกทางเพศ แม้แต่ฉากเด็กผู้หญิงอาบน้ำ (ซึ่งเป็นเพียงตัวการ์ตูนญี่ปุ่น) ก็ยังถูกเซ็นเซอร์มาแล้ว ด้วยข้อหา ‘ทำให้เสื่อมเสียศีลธรรมอันดี'…
Hit & Run
วิทยากร บุญเรือง ผมไปเจอข่าวชิ้นหนึ่ง เหตุเกิดที่โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งไม่ว่าจะยังไง ข่าวชิ้นนี้ผมว่ามันสามารถสะท้อนอะไรได้หลายอย่าง สำหรับสังคมไทยที่เป็นอยู่ในปัจจุบันคือข่าวที่กลุ่มมิจฉาชีพแฝงตัวเข้ามาก่ออาชญากรรมในโรงพยาบาลศิริราช มาหากินกับพสกนิกรผู้จงรักภักดีได้ลงคอ ... (กรุณาอ่านให้จบก่อนด่า)ท่านพงศพัศ พงษ์เจริญ ตำรวจหน้าหล่อ ได้กล่าวว่า ที่โรงพยาบาลศิริราช มีเรื่องซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นนั่นคือมีกลุ่มมิจฉาชีพแฝงตัวเข้ามาก่ออาชญากรรม และที่ไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง คือเป็นการก่อเหตุในเขตพระราชฐาน โดยขณะนี้ตำรวจได้รวบรวมหลักฐานแล้วเตือนไปยังแก๊งมิจฉาชีพที่ตั้งใจมาก่ออาชญากรรมว่า…
Hit & Run
พงษ์พันธุ์ ชุ่มใจ 26 กันยายน 2550ย่านพระเจดีย์สุเล, กรุงย่างกุ้ง ภาพที่เห็นคือ...ประชาชนหลายพันคนออกมายืนเต็มถนนย่านพระเจดีย์สุเล ซึ่งเป็นย่านกลางเมือง โดยไม่ไกลนักมีกองกำลังรักษาความมั่นคงพม่าตั้งแถวอยู่เบื้องหน้า ป้องกันไม่ให้ประชาชนเข้าใกล้พระเจดีย์แห่งนี้"เราต้องการประชาธิปไตย" ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกล่าว"รัฐบาลนี้อันตรายโคตรๆ" ชายอีกคนหนึ่งกล่าวประชาชนส่วนหนึ่ง พยายามต่อสู้กับทหาร ทหารที่มีทั้งโล่ กระบอง แก๊สน้ำตา กระทั่งปืน โดยประชาชนพยายามขว้างอิฐ ขว้างหิน เข้าใส่แถวแนวของทหารพวกนั้นก้อนแล้ว ก้อนเล่า ... ถูกทุบเป็นก้อนย่อมๆก้อนแล้ว ก้อนเล่า ... ถูกขว้างสุดแรงเกิด…
Hit & Run
อรพิณ ยิ่งยงพัฒนาดูเหมือนเรื่องน่าจะจบลงไปแล้ว กับความพยายามของ สนช.กว่า 60 คน ที่เข้าชื่อกันยื่นแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา (ป.อาญา) และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิอาญา) ในมาตราที่เกี่ยวข้องกับการทำผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ก่อนที่สุดท้าย สนช.จะตัดสินใจถอนการแก้ไขออกไปก่อนแม้เรื่องนี้มีนัยยะที่น่าสนใจหลายประเด็น แต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ กระแสความคิดที่เกิดขึ้น แม้ภายหลังการถอยและถอนการเสนอแก้กฎหมายแล้วก็ตามสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีจำนวน 242 คน โดย สนช. สามารถเข้าชื่อกันเพื่อเสนอหรือแก้ไขกฎหมายได้ ผ่านการเข้าชื่อเพียงจำนวนไม่น้อยกว่า 25 คน ยกเว้นกฎหมายที่เกี่ยวกับการเงิน…
Hit & Run
จิรนันท์ หาญธำรงวิทย์นอกจาก 24 มิถุนายน 2475 ซึ่งเป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตย และ (อดีต) วันชาติแล้ว วันสำคัญที่เงียบเหงารองลงมา (อีกวัน) ก็คงหนีไม่พ้น 6 ตุลาคม 2519 ที่รับรู้กันว่า เกิดเหตุการณ์สังหารหมู่นักศึกษา ประชาชน เพราะเข้าใจว่าเป็นคอมมิวนิสต์ สำหรับปีที่แล้ว วันนี้อาจคึกคัก เพราะถึงวาระตัวเลขกลมๆ 30 ปี ซ้ำยังเพิ่งผ่านพ้นรัฐประหาร 19 กันยายน มาหมาดๆ กระแสเรื่องการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยจึงยังมีอยู่ แต่พอปีนี้กระแสกลับไปเงียบเหงาเหมือนปีก่อนๆ วันที่ 6 ตุลาในปีนี้ กลายเป็นวันเสาร์ธรรมดาๆเมื่อถามถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา กับหลายๆ คน…
Hit & Run
ภาพันธ์ รักษ์ศรีทองเป็นข่าวคราวกันพักใหญ่ในรอบสัปดาห์จนผู้หลักผู้ใหญ่ต้องรีบออกมาเต้นเร่าร้อนกันทั่ว เมื่อคุณหนูสาวๆ มีแฟชั่นเทรนใหม่เป็นการนุ่งกระโปงสั้นจุ๊บจิมโดยไม่สวมใส่ ‘กุงเกงลิง’ ความนิยมนี้เล่นเอาหลายคนหน้าแดงผ่าวๆจนพากันอุทาน ต๊ายยย ตาย อกอีแป้นจะแตก อีหนูเอ๊ยย ทำกันไปได้อย่างไร ไม่อายผีสาง เทวดาฟ้าดินกันบ้างหรืออย่างไรจ๊ะ โอ๊ย..ย สังคมเป็นอะไรไปหมดแล้ว รับแต่วัฒนธรรมตะวันตกมาจนไม่ลืมหูลืมตา วัฒนธรรมไทยอันดีงามของไทยไปไหนโม๊ดดดดเรื่องนี้มองเล่นๆ เหมือนจะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่มันก็ไม่เล็ก จะว่าเป็นเรื่องใหญ่ก็ไม่ใหญ่ แต่ไปๆ มาๆ คล้ายกับว่ารอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ‘กุงเกงลิง’…