Skip to main content

คิม ไชยสุขประเสริฐ

กับภาพเคลื่อนไหวในจอตู้สี่เหลี่ยม...

คุณครูคนหนึ่งกับกิจวัตรประจำวันในการสอนหนังสือ... ดูเป็นเรื่องธรรมดา แต่สิ่งที่สะกิดใจฉันอย่างจังคือประโยคที่ว่า

"จะรู้ว่าใครเก่งแค่ไหนต้องรอดูว่าใคร (สอบ) ได้ที่หนึ่ง... ได้ที่หนึ่งแล้วจะบอกว่าไม่เก่งก็คงไม่ได้"

ครูซึ่งดูก็รู้ว่าเชี่ยวกรำกับวิชาชีพนี้มานานนับสิบปี พูดถึงการวัด ความเก่ง ของเด็กนักเรียน โดยใช้ลำดับที่ของการสอบ ถูกนำไปผูกโยงกับ ตัวสินค้า ในฐานะรถกระบะคันเก่งที่ขายได้เป็นอันดับหนึ่ง' ซึ่งมีสโลแกนว่ารถกระบะอันดันหนึ่งของคนไทย'


ทั้งนี้ เมื่อว่าด้วยเรื่องของการตลาดแล้ว ในฐานะที่ไม่ได้ติดตามในเรื่องนี้ก็ไม่อาจทราบได้ว่า รถกระบะเจ้าไหนจะครองความเป็นเจ้าตลาด หรือเป็นผู้ถือส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุด และไม่รู่ว่าโฆษณาชิ้นนี้บอกเล่าความจริงมากน้อยเพียงใด

แต่มันทำให้ความคิดฉันหมุนวนอยู่กับคำว่า การศึกษาทำให้คนเป็นที่หนึ่ง' คือเก่งที่สุด' และดีที่สุด' ...

000

ย้อนไปเมื่อตอนเด็กๆ นอกจากผู้ใหญ่จะสอนให้เป็นเด็กดีแล้ว เค้ายังบอกให้เด็กน้อยต้องเรียนหนังสือเก่งๆ จะได้มีอาชีพดีๆ มีอนาคตดีๆ...

จำได้ว่าสมัยประถม แม่สร้างแรงจูงใจในการสอบให้เด็กหญิงบ้านนอกแสนขี้เกียจอย่างฉัน ด้วยการเอารางวัลเข้าล่อ เพื่อแลกกับการสอบได้ลำดับที่ดีๆ ของห้อง ยิ่งถ้าสอบได้ที่หนึ่ง จำได้ว่าแม่บอกจะปิดหมู่บ้านเลี้ยงฉลองให้เลยที่เดียว

ในความเป็นจริง การเลี้ยงฉลองให้แก่ที่หนึ่งของฉันไม่เคยเกิดขึ้น เพราะฉันไม่เคยทำได้แม้จะขุดความพยายามออกมามากแค่ไหนก็ตาม ก็เรื่องที่หนึ่งมันไม่สามารถทำได้เพียงไม่กี่วันก่อนสอบ และฉันเองก็ไม่ได้ชอบทุกวิชาที่ต้องเรียนเสียหน่อย หากจะทำคะแนนได้บ้างไม่ดีบ้าง มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

เมื่อโตขึ้นและได้พบปะผู้คนมากขึ้น ทำให้ได้รู้ว่า การได้เป็นที่หนึ่งนอกจากการเรียนซึ่ง (หลายคนบอกว่า) เป็นตัวชี้วัดถึงอนาคตแล้ว มันยังเข้ามาเกี่ยวพันกับการงาน รวมถึงการดำเนินชีวิตด้วย

สำหรับบางคนที่ตั้งความเป็นที่หนึ่งไว้เป็นเป้าของความสำเร็จในชีวิต บางครั้งการมันก็ไม่ได้สร้างความสุขเสมอไป เพราะมันต้องแลกด้วยความทุ่มเทแรงกายแรงใจ ตลอดไปจนถึงต้องสูญเสียอะไรบางอย่าง เพื่อแลกมาซึ่งความเป็นที่หนึ่งบนสุดยอดหอคอย แต่กลับมีเพียงความโดดเดี่ยว และเหลือเพียง 1 เดียวจริงๆ

เมื่อมาถึงจุดนั้น สำหรับบางคนแล้วการได้อยู่ในอันดับที่สอง สาม สี่ หรือในตำแหน่งที่รองๆ ลงมา คงมีความสุขมากกว่า

000

บิล เกตส์ เจ้าพ่อไมโครซอฟท์ เป็นตัวอย่างของคนที่ก้าวลงจากอันดับ 1 เมื่อไม่นานมานี้...

หลังครองตำแหน่งคนรวยที่สุดของโลกมา 13 ปี เข้าได้ตกมาอยู่อันดับ 3 ของมหาเศรษฐีโลก ด้วยสินทรัพย์รวม 58,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้น 2,000 ล้านดอลลาร์ (64,000 ล้านบาท) จากปีที่แล้ว

จากการจัดอันดับอภิมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยที่สุดของโลกในปี 2008 โดยนิตยสารฟอร์บส์ (Forbes) ระบุว่า เจ้าพ่อไมโครซอฟท์ได้เสียตำแหน่งคนรวยที่สุดของโลก ให้แก่ วอร์เรน บัฟเฟต์ นักลงทุนชาวอเมริกัน โดย บัฟเฟต์ มีสินทรัพย์เพิ่มพรวดพราดจาก 10,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 320,000 ล้านบาท) เป็น 62,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2 ล้านล้านบาท)

ส่วนอันดับสองคือ เจ้าพ่อเทเลคอมชาวเม็กซิกัน เจ้าของบริษัทอเมริกาโมวิล ผู้นำสินค้าเทคโนโลยีการสื่อสาร คาร์ลอส สลิม เฮลู ผู้มีสินทรัพย์เพิ่มเท่าตัวภายในเวลาเพียง 2 ปี เป็น 60,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.9 ล้านล้านบาท)

อย่างไรก็ตาม เมื่อปีที่แล้ว บิล เกตส์ เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า เขาไม่ได้รู้สึกดีกับการติดอันดับเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกเลย

"I wish I wasn't," Gates replied. "There's nothing good that comes out of that."

หากจะว่ากันถึงเรื่องเหตุผลแล้ว การเป็นคนที่รวยที่สุดของ บิล เกตส์ คงไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีนัก เพราะเมื่อมีรายได้มากภาษีก็มากเป็นเงาตามตัว และการที่เขาหันไปทำงานด้านสาธารณกุศลมากขึ้นตั้งแต่ปี 2543 (คาดการกันว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้อันดับของเขาต่ำลง) ก็อาจเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการลดหย่อนภาษี เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าในสหรัฐ ผู้บริจาคทรัพย์สินให้แก่มูลนิธิเพื่อการกุศลจะได้รับการลดหย่อนภาษีจากรัฐบาล

นอกจากนี้ การที่เขารวยเป็นอันดับสามนั้นไม่ได้หมายความว่ารายได้ของเขาลดลง แต่คนอื่นๆ มีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่าเขาต่างหาก

อย่างไรก็ตาม ความหน้าสนใจของ บิล เกตส์ ไม่ได้อยู่เฉพาะความมีอิทธิพลของเขาในโลกธุรกิจ หรือการติดอันดับเศรษฐีระดับโลก หรือแม้กระทั้งการที่เขาจะเป็นนักบุญที่แท้จริงหรือไม่

เพราะคนเก่งไม่จำเป็นต้องเป็นคนดี นี่คือสิ่งที่คนไทยได้เรียนรู้แล้วจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในช่วงปีที่ผ่านมา

จากประวัติของ บิล เกตส์ เขาเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่ลาออกกลางคัน และอาจมีคนมองว่าเขาล้มเหลวในการเรียน แต่เขาก็ประสบความสำเร็จในประกอบธุรกิจทางด้านซอฟท์แวร์คอมพิวเตอร์จนร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีของโลก

นั่นคงเพราะเขาคิดว่า ที่หนึ่งในห้องเรียนนั้น ไม่ใช่ที่หนึ่งที่เขาต้องการในชีวิต

มันทำให้เกิดคำถามที่ว่า เรายังหลงอยู่กับการเป็นที่หนึ่งตามความคาดหวังบางอย่างของสังคม โดยไม่ได้มองถึงความเป็นจริงและศักยภาพของตนเองกันอยู่หรือเปล่า

000

การเป็นอันดับหนึ่ง สอง สาม...หรืออันดันดับสุดท้าย เป็นเรื่องของตำแหน่งแห่งที่ ซึ่งเกี่ยวข้องสัมพันธ์ในเชิงเปรียบเทียบ และถูกนำมาจัดเรียงลำดับทางสังคม ไม่ว่าในส่วนการจัดอันดับทางการศึกษา การงาน หรือผลประโยชน์

แต่การจัดอันดับนี้ไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการบางอย่างในสังคมได้ทั้งหมด เมื่อสังคมมีความสัมพันธ์ที่หลากหลาย และสำหรับบางคน จุดหมายอาจไม่ได้อยู่ที่การเป็นที่หนึ่งของการจัดอันดับทางสังคมเสมอไป เพราะในบางครั้งการเป็นที่หนึ่งก็ไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของคนแต่ละคนได้

และหากการเป็นที่หนึ่งคือสิ่งที่น่าชื่นชนยินดี การเป็นอยู่ในลำดับต่างๆ ก็เป็นตำแหน่งที่น่าต้องให้ความสนใจ

ในเมื่อที่ 1 ไม่ได้หมายความว่า ดีที่สุด หรือ เก่งที่สุด’ … ที่สุดท้ายก็ไม่ควรจะหมายความถึงแย่ที่สุด หรือ เลวที่สุด เช่นกัน

บล็อกของ Hit & Run

Hit & Run
  ตติกานต์ เดชชพงศ  เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ที่ผ่านมา เพิ่งมีโอกาสได้ไปดูฉากโหดๆ อาทิ หัวขาดกระเด็น เลือดสาดกระจาย กระสุนเจาะกระโหลกเลือดกระฉูด ในหนังไทย (ทุ่มทุนสร้างกว่า 80 ล้านบาท!) เรื่อง ‘โอปปาติก'  รู้สึกอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่งว่าหนังเรื่องนี้รอดพ้นเงื้อมมือกองเซ็นเซอร์ผู้เคร่งครัดมาได้ยังไง?เพราะด้วยการทำงานของหน่วยงานเดียวกันนี้ ทำให้หนังเรื่องหนึ่งถูกห้ามฉาย เพราะมีฉากพระสงฆ์เล่นกีตาร์, และฉากนายแพทย์บอกเล่าว่าตนก็มีึความรู้สึกทางเพศ แม้แต่ฉากเด็กผู้หญิงอาบน้ำ (ซึ่งเป็นเพียงตัวการ์ตูนญี่ปุ่น) ก็ยังถูกเซ็นเซอร์มาแล้ว ด้วยข้อหา ‘ทำให้เสื่อมเสียศีลธรรมอันดี'…
Hit & Run
วิทยากร บุญเรือง ผมไปเจอข่าวชิ้นหนึ่ง เหตุเกิดที่โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งไม่ว่าจะยังไง ข่าวชิ้นนี้ผมว่ามันสามารถสะท้อนอะไรได้หลายอย่าง สำหรับสังคมไทยที่เป็นอยู่ในปัจจุบันคือข่าวที่กลุ่มมิจฉาชีพแฝงตัวเข้ามาก่ออาชญากรรมในโรงพยาบาลศิริราช มาหากินกับพสกนิกรผู้จงรักภักดีได้ลงคอ ... (กรุณาอ่านให้จบก่อนด่า)ท่านพงศพัศ พงษ์เจริญ ตำรวจหน้าหล่อ ได้กล่าวว่า ที่โรงพยาบาลศิริราช มีเรื่องซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นนั่นคือมีกลุ่มมิจฉาชีพแฝงตัวเข้ามาก่ออาชญากรรม และที่ไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง คือเป็นการก่อเหตุในเขตพระราชฐาน โดยขณะนี้ตำรวจได้รวบรวมหลักฐานแล้วเตือนไปยังแก๊งมิจฉาชีพที่ตั้งใจมาก่ออาชญากรรมว่า…
Hit & Run
พงษ์พันธุ์ ชุ่มใจ 26 กันยายน 2550ย่านพระเจดีย์สุเล, กรุงย่างกุ้ง   ภาพที่เห็นคือ...ประชาชนหลายพันคนออกมายืนเต็มถนนย่านพระเจดีย์สุเล ซึ่งเป็นย่านกลางเมือง โดยไม่ไกลนักมีกองกำลังรักษาความมั่นคงพม่าตั้งแถวอยู่เบื้องหน้า ป้องกันไม่ให้ประชาชนเข้าใกล้พระเจดีย์แห่งนี้"เราต้องการประชาธิปไตย" ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกล่าว"รัฐบาลนี้อันตรายโคตรๆ" ชายอีกคนหนึ่งกล่าวประชาชนส่วนหนึ่ง พยายามต่อสู้กับทหาร ทหารที่มีทั้งโล่ กระบอง แก๊สน้ำตา กระทั่งปืน โดยประชาชนพยายามขว้างอิฐ ขว้างหิน เข้าใส่แถวแนวของทหารพวกนั้นก้อนแล้ว ก้อนเล่า ... ถูกทุบเป็นก้อนย่อมๆก้อนแล้ว ก้อนเล่า ... ถูกขว้างสุดแรงเกิด…
Hit & Run
  อรพิณ ยิ่งยงพัฒนาดูเหมือนเรื่องน่าจะจบลงไปแล้ว กับความพยายามของ สนช.กว่า 60 คน ที่เข้าชื่อกันยื่นแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา (ป.อาญา) และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิอาญา) ในมาตราที่เกี่ยวข้องกับการทำผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ก่อนที่สุดท้าย สนช.จะตัดสินใจถอนการแก้ไขออกไปก่อนแม้เรื่องนี้มีนัยยะที่น่าสนใจหลายประเด็น แต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ กระแสความคิดที่เกิดขึ้น แม้ภายหลังการถอยและถอนการเสนอแก้กฎหมายแล้วก็ตามสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีจำนวน 242 คน โดย สนช. สามารถเข้าชื่อกันเพื่อเสนอหรือแก้ไขกฎหมายได้ ผ่านการเข้าชื่อเพียงจำนวนไม่น้อยกว่า 25 คน ยกเว้นกฎหมายที่เกี่ยวกับการเงิน…
Hit & Run
จิรนันท์ หาญธำรงวิทย์นอกจาก 24 มิถุนายน 2475 ซึ่งเป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตย และ (อดีต) วันชาติแล้ว วันสำคัญที่เงียบเหงารองลงมา (อีกวัน) ก็คงหนีไม่พ้น 6 ตุลาคม 2519 ที่รับรู้กันว่า เกิดเหตุการณ์สังหารหมู่นักศึกษา ประชาชน เพราะเข้าใจว่าเป็นคอมมิวนิสต์ สำหรับปีที่แล้ว วันนี้อาจคึกคัก เพราะถึงวาระตัวเลขกลมๆ 30 ปี ซ้ำยังเพิ่งผ่านพ้นรัฐประหาร 19 กันยายน มาหมาดๆ กระแสเรื่องการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยจึงยังมีอยู่ แต่พอปีนี้กระแสกลับไปเงียบเหงาเหมือนปีก่อนๆ วันที่ 6 ตุลาในปีนี้ กลายเป็นวันเสาร์ธรรมดาๆเมื่อถามถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา กับหลายๆ คน…
Hit & Run
ภาพันธ์ รักษ์ศรีทองเป็นข่าวคราวกันพักใหญ่ในรอบสัปดาห์จนผู้หลักผู้ใหญ่ต้องรีบออกมาเต้นเร่าร้อนกันทั่ว เมื่อคุณหนูสาวๆ มีแฟชั่นเทรนใหม่เป็นการนุ่งกระโปงสั้นจุ๊บจิมโดยไม่สวมใส่ ‘กุงเกงลิง’ ความนิยมนี้เล่นเอาหลายคนหน้าแดงผ่าวๆจนพากันอุทาน ต๊ายยย ตาย อกอีแป้นจะแตก อีหนูเอ๊ยย ทำกันไปได้อย่างไร ไม่อายผีสาง เทวดาฟ้าดินกันบ้างหรืออย่างไรจ๊ะ โอ๊ย..ย สังคมเป็นอะไรไปหมดแล้ว รับแต่วัฒนธรรมตะวันตกมาจนไม่ลืมหูลืมตา วัฒนธรรมไทยอันดีงามของไทยไปไหนโม๊ดดดดเรื่องนี้มองเล่นๆ เหมือนจะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่มันก็ไม่เล็ก จะว่าเป็นเรื่องใหญ่ก็ไม่ใหญ่ แต่ไปๆ มาๆ คล้ายกับว่ารอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ‘กุงเกงลิง’…