ตุลาคม 2551
"พร้อมหรือยัง"
ใครคนหนึ่งตะโกนประโยคซ้ำเมื่อห้านาทีที่แล้ว เมื่อขบวนหนุ่มสาวต่างถิ่นยังคงง่วนอยู่กับการกดชัตเตอร์เก็บภาพ
แสงแดดยามเก้าโมงเช้า ช่างยวนใจให้ไม่อาจละสายตาจากหญิงกระยันที่ปะแป้งแต่งตัวกันจนเป็นที่เรียบร้อย หลายคนจึงยังเสียดายที่จะละกล้องแล้วออกเดินทาง
"หากไปสายกว่านี้เราจะร้อนมากเมื่ออยู่กลางป่า" ฉันเตือนเพื่อนที่ไม่มีประสบการณ์ในการเดินเท้าสู่หมู่บ้านกลางป่าที่อยู่ห่างออกไปจากที่นี่ราวๆ สามกิโลดอย
ต๋อม ตรี แดน แอค และวาซามิหนึ่งสาวญี่ปุ่นที่พูดไทยได้ชัดแจ๋ว กลุ่มนักถ่ายรูปมือสมัครเล่น ที่มาเยือนหมู่บ้านห้วยเสือเฒ่า และได้ค้างแรมหมู่บ้านใต้แสงดาวแห่งนี้เมื่อคืนที่ผ่านมา
เช้านี้ พวกเขาวางแผนจะเดินทางไปถ่ายรูปหมู่บ้านกระเหรี่ยงคอยาวบ้านห้วยปูแกง ฉันจึงถือโอกาสติดตามขบวนของพวกเขา "เพื่อกลับบ้าน" บ้านที่ยังคงอยู่ในความทรงจำเสมอ
บ้านที่ว่านี้ก็คือ หมู่บ้านกลางป่าใหญ่ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนทุ่มงบประมาณเพื่อสร้างโครงการที่สวยหรูในชื่อ "โครงการหมู่บ้านอนุรักษ์วิถีชีวิตชนเผ่ากระเหรี่ยง(ประด่อง)เพื่อความมั่นคงจังหวัดแม่ฮ่องสอน" ที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อราวต้นปี 2550
นึกแล้วก็ใจหาย ฉันแทบจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เข้ามาหมู่บ้านนั้นนานเท่าไรแล้ว นับตั้งแต่ผู้คนได้ย้ายเข้าไปอาศัยในหมู่บ้านเมื่อเดือนกันยายนปีก่อน
ไม่กี่เดือนต่อมาฉันก็ถอยหลังมาเป็นเพียงผู้เฝ้าสังเกตการณ์ มันไม่มีเหตุผลอันใดภายใต้เงื่อนไขของภาวการณ์ดำรงชีวิต ที่ถูกขีดให้ต้องเลือกเอาระหว่างภาระภายในและภาระทางสังคม
ข้อจำกัดของฉันคือภาระภายในที่รุมเร้า ฉันไม่อาจทุ่มเทเวลา สมอง ร่างกาย ให้กับหมู่บ้านในฝันได้เช่นที่เคยทำมาแต่ต้น
ชาวบ้านถูกปล่อยให้สานฝันนั้นแต่ลำพัง ด้วยความคลางแคลงใจว่ากลายเป็นผู้ถูกทอดทิ้งท่ามกลางกระแสลมพายุที่โหมกระหน่ำพัด
ฉันไม่อาจปฏิเสธว่ามีส่วนทำให้หมู่บ้าน ตกอยู่ท่ามกลางพายุที่โหดร้ายโดยไม่ได้เหลียวแล ซึ่งทำให้ฉันไม่กล้าแม้แต่จะจดบันทึกความพ่ายแพ้ที่ย่อยยับลงในเวลาอันสั้น
การเดินทางที่ไม่ได้วางแผน ชักนำให้เท้าก้าวไปตามเส้นทางกลับบ้านที่ถูกปล่อยทิ้งร้าง เส้นทางที่ฉันเลือกเดินเมื่อไฟยังคุกรุ่น
เส้นทางสู่วิหารแห่งชีวิตที่เคยพลีร่างกาย เวลา สติปัญญาและแม้แต่ชีวิต เพื่อให้วิหารของตนเองมีความศักดิ์สิทธิ์สวยงาม แต่แล้วจู่ๆ ฉันกลับทอดทิ้งวิหาร ออกนอกเส้นทางที่เคยเดินโดยไม่ได้ล่ำลา นานเนิ่นนานที่ไม่กล้าแม้แต่จะหวนกลับไปดูซากปรักหักพัง
ข่าวที่แว่วมาว่าหมู่บ้านอนุรักษ์วิถีชีวิตชนเผ่ากระเหรี่ยง (ประด่อง) เพื่อความมั่นคงจังหวัดแม่ฮ่องสอน หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ "บ้านใหม่ห้วยปูแกง" กลายเป็นบ้านร้าง เงียบเป็นป่าช้า และกำลังกลับคืนเป็นป่าหญ้าในอีกไม่นานนั้น วันนี้ฉันจะได้ไปประจักษ์กับตา
เพื่อนร่วมเดินทางดูมีความตื่นเต้นไม่น้อย ทุกคนหยิบสัมภาระไปเพียงน้ำดื่มและกล้องถ่ายรูป สำหรับตรีและพวกเราชาวบ้านที่เคยไปมาหลายครั้งไม่มีวี่แววกังวลเท่าใดนัก
ในขณะที่ต๋อม ดูท่าทางจะตื่นเต้นที่สุด เพราะนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของการมาเยือนแม่ฮ่องสอน และการเดินทางไกลด้วยสองเท้าในเส้นทางที่ไม่รู้จัก
วาซามิเล่าว่าที่ญี่ปุ่นก็มีภูเขามากมาย เพราะเป็นเกาะมีทะเลล้อมรอบ จึงไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับการเดินทางครั้งนี้ ดูเธอจะเป็นคนเดียวที่ไม่บ่นและเดินด้วยจังหวะเท้าที่สม่ำเสมอเช่นคนชาวป่าอย่างเรา
แอคและแดนนั้น ยังคงง่วนอยู่กับการเก็บภาพ พวกเขาคงจะหอบภาพนับร้อยๆ เพื่อกลับไปบอกเล่าถึงความสนุก ความตื่นเต้นและประทับใจ ที่ได้มาสัมผัสครั้งแรก
คงอีกนานที่พวกเขาจะกลับมาอีก หรืออาจจะนานจนกระทั่งลืมแม้แต่ชื่อผู้คน สถานที่ ที่เคยเก็บภาพไปแล้วก็ได้
หลายสิ่งที่ผ่านเลนส์แห่งชีวิต ไม่ใช่ภาพเสมือน แต่มันชัดเจนและประทับอยู่ในสมองเรา บางครั้งอาจจะลืมภาพผู้คนที่เราผ่านพบ หรือเลือกที่จะจดจำเพียงบางเฟรมแห่งชีวิต แต่เราไม่อาจทอดทิ้งสิ่งที่เราเผชิญอยู่ในปัจจุบันขณะได้ เช่น หมู่บ้านใหม่ห้วยปูแกงใหม่ยามนี้ ที่กำลังจะปิดตำนานลงในเวลาเพียงไม่ถึงสองปี ล้วนเป็นภาพความทรงจำที่ดูเหมือนจะมีไว้ให้ทุกคนรีบลืมมันไป
และแล้วขบวนของเราที่ประกอบด้วยเพื่อนต่างถิ่นห้าคน ฉันและสามี ก็ค่อย ๆ ผ่านแนวป่าเข้าสู่เขตหมู่บ้านเกือบเที่ยงวัน ส่วนพี่เขยและพี่ชายสามีล่วงหน้ามานั่งหย่อนขาอยู่บนกระท่อมก่อนแล้ว
จากแนวป่าที่โอบล้อม คลายออกให้เห็นภาพหลังคากระท่อมนับสิบหลังที่ยืนเรียงรายอย่างสงบ เงียบ และวังเวงในความรู้สึก
กระท่อมหลายหลังทรุดโทรมเหมือนคนป่วยไข้ที่ถูกปล่อยให้นอนคาเตียงอย่างเดียวดาย ดูเหมือนจะมีเพียงมีต้นหญ้าที่สูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างร่าเริง
ผู้คนที่เคยมาเยือนอาจจะนึกภาพไม่ออก ถึงชีวิตใต้กระท่อมใบตองตึง ควันไฟจากการเผาไหม้ที่ลอยคว้างเป็นสายเนิ่นนานวัน แปลงผักจากหยาดเหงื่อแรงงานในครอบครัว รอยยิ้มหัวของลูกเล็กเด็กแดงที่ตื่นเต้นกับสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ
หรืออาจจะเป็นถนนนั่นที่เคยระดมกำลังกันสร้างมันขึ้นมา โดยไม่รู้ว่าในอนาคตที่มาถึงจะกลายเป็นเพียงทางเดินของวัวควาย ไม่ใช่นักท่องเที่ยวอย่างที่หวัง
มีบ้านที่อยู่ใกล้หมู่บ้านห้วยปูแกงเดิมสองสามหลังเท่านั้นที่ยังมีสัญญาณแห่งชีวิต ผู้คนส่วนใหญ่เลือกกลับคืนสู่เส้นทางที่จากมา ไม่ว่าจะหวนคืนสู่บ้านห้วยเสือเฒ่า บ้านเก่าห้วยปูแกง และศูนย์อพยพบ้านในสอย
"ไปดูบ้านเราหน่อยไหม" สามีร้องเตือนเมื่อเห็นฉันยังยืนตะลึงในภาพที่เห็น สายตาที่ตอบไปแทนคำพูดโดยไม่ต้องให้เอ่ยซ้ำ ฉันไม่กล้าแม้แต่จะเดินไปดูบ้านของตัวเอง
มีใครบางคนถามถึงความเป็นมาเป็นไปของหมู่บ้าน ฉันอ้อมแอ้มตอบไปไม่เต็มเสียง
หน่วยความรู้สึกไหลมาจุกที่อกจนไม่อาจเอ่ยคำใดออกมา พี่ชายและพี่เขยคงรู้สึกแบบเดียวกัน มันคือสมรภูมิรบที่เราพ่ายแพ้อย่างยับเยินในเวลาอันรวดเร็ว
สมรภูมิรบที่เรารู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีทางชนะ เราไม่มีเสบียง ไม่มีแม่ทัพ ไม่มีกองหนุนที่มีความจริงใจพอที่จะร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่
เราค่อยๆ หมดสิ้นซึ่งกำลังใจทีละนิดทีละนิด และเมื่อทุกคนเลิกรบ ก็ไม่มีใครที่อยากจะเอ่ยถึงความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้น แม้จะไม่ได้เกิดความเสียหายถึงชีวิตแต่ก็ทิ้งร่องรอยบาดแผลไว้ในใจเราทุกคน.